เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 27
คนพวกนั้นหันกลับมองสหายที่ตาบอดไปเรียบร้อยแล้ว
หวาดกลัวจนตัวสั่น
ทุกคนมองหน้ากัน หมุนตัวเตรียมหนี แต่คิดไม่ถึงว่า ยังวิ่งไปไม่ทันได้กี่ก้าว จิ่วหุนขยับร่างคล้ายวิญญาณ ปรากฎกายหน้าพวกเขา ปิดทางหนีพวกเขาเอาไว้
เขาเคร่งขรึม ทั้งไม่พูดจา ใช้สายตาเย็นเยือก มองคนตรงหน้าเหล่านั้น
พวกเขาตกใจจนถอยหนี
แต่ว่าเบื้องหลังคือเยี่ยเม่ย เบื้องหน้าคือจิ่วหุน
พวกเขาเวลานี้รู้สึกถึงเบื้องหน้าพบหมาป่าถอยหลังพบพยัคฆ์ อยากร้องไห้ แต่สองคนนี้ มองดูก็รู้ว่าเป็นเทพหายนะ เขาสามารถพาพวกเขาไปหาคุณชายได้จริงหรือไม่ หากพวกเขาลงมือกับคุณชาย แล้วคุณชายเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร
ในอารามร้อนรน เยี่ยเม่ยก้าวเท้าเข้าใกล้พวกเขา
เยี่ยเม่ยปรายตามองด้านข้างของคนตาบอดกลิ้งไปมา ดึงมีดสั้นราคาแพงออกจากดวงตาคนผู้นั้น มองเลือดบนมีดสั้น
ภายใต้สายตาหวาดกลัวของคนเหล่านั้น เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “กลิ่นคาวเลือดชวนให้หลงใหล หากยังไม่พาข้าไปอีก คนที่จะเกิดเรื่องเป็นรายต่อไป ข้าไม่รับประกันว่าเป็นผู้ใดแล้ว”
สายตาของนางเสาะหาไปที่คนเหล่านั้น
การกระทำน่ากลัวเช่นนี้ ทำให้คนเหล่านั้นมองหน้ากัน แตกตื่นเสียสติเลอะเลือน แตกตื่นลนลาน “ตึง” เสียงคุกเข่าดัง “อย่า อย่าฆ่าข้า ข้าพาเจ้าไป”
“พวกเราพาเจ้าไป”
การแสดงออกย่างอวดดีของสตรีผู้นี้ ซ้ำยังมีการกระทำคลุ้มคลั่งของนาง พวกเขาไม่กล้าดื้อดึงอีกต่อไปแล้ว
พวกเขาเอ่ยจบก็ลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก
มองเยี่ยเม่ย เสียงสั่น “อย่า อย่าฆ่าพวกเรา พวกคุณชายเขา มีเรือนสำหรับล่าสัตว์อยู่ชานเมืองหลังหนึ่ง พวกเราจะพาเจ้าไป”
พวกเขาเอ่ยจบ รีบเตรียมนำทาง
ความจริงเยี่ยเม่ยคาดเคาได้ว่าบุตรชายนายอำเภอผู้นั้นต่อให้เหิมเกริมแค่ไหน ก็ไม่กล้าพาเด็กกลับไปยังที่ว่าการอำเภอแน่ หากผู้เคราะห์ร้ายขอให้ผู้มีอำนาจช่วยเหลือได้ จับคนถึงบ้าน อย่างนั้นนายอำเภอก็ปกป้องเขาไม่ได้อีก ดังนั้นนางถึงต้องเค้นถามพวกเขา
ผลคือพวกเขาล้วนอยู่ที่เรือนล่าสัตว์
เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองชายคนนั้น ในใจหนักอึ้ง ทั้งพูดไม่ออก เค้นคำพูดออกมาว่า “รอเถอะ ข้าจะพยายามพานางกลับมาอย่างเต็มกำลัง”
พูดเช่นนี้เพราะนางไม่มั่นใจว่า แม่นางน้อยผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
อย่างไรก็เป็นแม่นางที่ยังเด็กปานนั้น…
เมื่อคิดถึงจุดนี้ นางโกรธจนนิ้วมือสั่นระริก
เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน เสียงเย็นเอ่ยว่า “เจ้าพาเขากับภรรยาไปหาหมอก่อน จบเรื่องแล้วค่อยมาหาข้า”
จิ่วหุนมองนาง คล้ายไม่ยินยอม
ทว่าภายใต้แววตาหนักแน่นของเยี่ยเม่ย เขาพยักหน้า พยุงชายผู้นั้นขึ้นจากพื้น
เยี่ยเม่ยหมุนกาย จากไปกับคนเหล่านั้น
เพิ่งเดินออกไปได้สองก้าว น้ำเสียงอ่อนของจิ่วหุนดังนั้นจากด้านหลังนางว่า “หากข้าหาเจ้าไม่พบแล้วจะทำอย่างไร”
เยี่ยเม่ยหันกลับมองเขา เสียงนิ่งตอบ “จัดการเรื่องเสร็จแล้วไปที่ที่ว่าการอำเภอ ข้าจะรอเจ้าที่นั่น หากเจ้าถึงก่อนก็รอข้า”
นายอำเภอสั่งสอนบุตรไม่ดี รอนางจัดการเดียรัจฉานนั่นแล้ว ก็ยินดีที่จะสั่งสอนครอบครัวนายอำเภอสักยกหนึ่ง
“ได้” ในที่สุดจิ่วหุนก็วางใจ พยุงชายผู้นั้นจากพื้น
เยี่ยเม่ยไม่หยุด สาวเท้ายาวจากไป
……
เมื่อถึงทางเข้าเรือนล่าสัตว์ เหล่าคนใช้ต่างตัวสั่น ชี้ที่ประตูใหญ่
คนผู้หนึ่งเอ่ยว่า “อยู่…อยู่ในนั้น…”
เยี่ยเม่ยก้าวเท้ายาวข้ามประตูเข้าไป หันกลับมามองพวกเขา “ห้ามไปไหนแม้แต่คนเดียว รอข้ากลับมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า จำไว้ ใครหนีไป คนผู้นั้นก็ไม่ได้เห็นแสงตะวันอีก”
นางเอ่ย ก็เดินเข้าไป
บ่าวพวกนั้นตกใจเสียแทบจะร้องไห้
ตอนนี้หนีก็ไม่ได้ รั้งอยู่ก็ไม่ถูก…ในใจเริ่มแค้นที่ไฉนตัวเองต้องฉุดคร่าเด็ก ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
……
หลังจากเยี่ยเม่ยเดินเข้าเรือนไป
บุรุษชุดขาวก้าวเดินเชื่องช้ามาถึงหน้าประตูเรือน ท่วงท่าสง่างามคล้ายแมวเปอร์เซีย ถึงสวมชุดขาวก็ยังแผ่ไอชั่วร้ายออกมาดั่งเดิม เป็นกลิ่นอายปีศาจที่ชวนให้คนตัวสั่น
นั่นคือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ไม่ว่าสวมเสื้อผ้าสีใด ก็ล้วนหล่อเหลา ซ้ำเหมือนกับปีศาจที่ทำให้คนตกใจ
เขายิ่มยกมุมปาก เอ่ยเนิบๆ “ในที่สุดก็หานางพบ เยี่ยนสงบใจได้เสียที”
อวี้เหว่ยมองใบหน้าด้านข้างของเตี้ยนเซี่ย
ความจริงพวกเขาได้ยินเรื่องที่เกินขึ้นบนถนน ชาวบ้านช่วยชี้ทางถึงตามมา
ถัดมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเขา “เยี่ยนวันนี้ น่ามองหรือไม่ จะถูกนางหาว่าแต่งกายประหลาดอีกหรือเปล่า”
อวี้เหว่ยกระตุกมุมปาก ในใจ ‘หากแม่นางผู้นั้นยังเห็นว่าแปลกประหลาดอยู่ ท่านเตรียมจะเอาเสื้อผ้าอาภรณ์สีม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดง เจ็ดสีพวกนั้นมาใส่ให้ครบเลยหรือเปล่า’
อวี้เหว่ยตอบ “เตี้ยนเซี่ย ปกติมาก ทั้งน่ามองมาก”
“อืม” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เอ่ยช้าๆ “เพื่อเอาชนะใจนาง เยี่ยนสิ้นเปลืองความคิดจิตใจ แม้แต่แต่งกายยังเปลี่ยนไปพิถีพิถันเช่นนี้”
สิ้นคำพูด เขาขยับร่างเล็กน้อย ผ่านเข้าประตูเรือนไป ปรากฎกายอยู่บนหลังคา
เห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจไม่เผยโฉมหน้าออกไปชั่วคราว
อวี้เหว่ยฟังคำพูดผีสางของเขา มุมปากกระตุก รีบติดตามไป
……
ภายในเรือนล่าสัตว์
เยี่ยเม่ยเข้าด้านในก็ได้ยินเสียงหัวเราะยินดี ซ้ำยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กๆ หลายเสียง
สีหน้านางเย็นเยียบ เดิมตามเสียงไปจนถึงหน้าประตู ยิ่งนางเดินเข้าใกล้ เสียงร้องไห้ภายในยิ่งดังชัดเจน นางก้าวเข้าไปอีกหลายก้าว ถีบประตูออกโดยแรง
เวลานั้น สภาพเบื้องหน้าทิ่มแทงเสียทำให้นางรู้สึกเจ็บตา
สายตาพร่าเลือนขาวโพลนไปชั่วขณะ
ในห้องห้องนี้คล้ายขุมนรกบนดิน
เหล่าบุรุษเปลือยกาย เด็กทั้งหลายกำลังถูกทารุณ ไม่เพียงแค่เด็กคนเดียว มีหลายคน ถึงกระทั่งมีเด็กผู้ชาย ส่วยเซียนเซียน…
สายตานางเสาะหา เห็นเซียนเซียนขดตัวอยู่มุมห้อง
เด็กคนนั้นร่างกายเต็มบาดด้วยแผล ร่องรอยถูกทารุณ นางสาวเท้ากว้างเข้าไปข้างกายเซียนเซียน ยื่นมือกอดนางเข้ามาในอก ถึงกับเอ่ยอย่างอ่อนโยนด้วยเส้นเสียงเย็นชาของตัวเอง “เซียนเซียน?”
เซียนเซียนคล้ายสติหลุดลอย นัยน์ตาดูไม่เหลือแววเลยสักน้อย
เยี่ยเม่ยเห็นสภาพนางเช่นนี้ กังวลใจบ้าง เขย่าตัวนาง “เซียนเซียน?”
การเขย่าครั้งนี้ทำให้นางได้สติ กระพริบตามองเยี่ยเม่ย พลันมีปฏิกิริยาตอบรับ พุ่งเข้าในอ้อมอกนาง ส่งเสียงร้องไห้ออกมา “พี่สาว พี่สาว เซียนเซียนเจ็บมาก เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย พวกเขากำลังทำอะไรกัน พี่สาว เซียนเซียนเจ็บ เจ็บแทบตายแล้ว พี่สาว…”
เยี่ยเม่ยเห็นสภาพเช่นนี้ของนาง นางใช้มือลูบหลังเด็ก
ทว่าเห็นรอยเขียวช้ำที่แผ่นหลัง หากลูบไปกลับทำให้นางเจ็บ ดังนั้นมือที่ยกขึ้นมาได้ครึ่งทางไม่ได้วางลงไป
เสี้ยวเวลานั้นนางรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน
นี่เป็นเด็กคนหนึ่ง พวกเขาเป็นเพียงเด็กเท่านั้น เด็กที่ไม่รู้ความอะไร มีจิตใจเมตตา คนเหล่านี้ทำได้อย่างไร เงามืดดำหลงเหลือในใจของเด็กๆ ภายหน้าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร จะผ่านพ้นชีวิตวัยเด็กที่สมควรมีความสุขไร้เดียงสานี้ไปอย่างไร
ในที่สุดคุณชายทั้งหลายก็รู้สึกตัว
มองเยี่ยเม่ย
มีคนถามว่า “เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรกัน”
จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเยาะจากชายอีกคนหนึ่ง “คงไม่รู้จักประมาณตน มาช่วยคนกระมัง แต่ว่าเจ้าหน้าตาสะสวยไม่เลว หลายปีมานี้ข้าไม่เห็นสตรีโฉมงามเช่นเจ้ามาก่อน มาสนุกด้วยกันไหม”
เหล่าบุรุษหัวเราะออกมาพร้อมกัน
เยี่ยเม่ยไม่ส่งเสียง กอดเซียนเซียนเงียบๆ จนกระทั่งนางร้องไห้จะเหนื่อยแล้ว ค่อยวางนางลงข้างกำแพง
เยี่ยเม่ยลุกขึ้น
มองใบหน้าเจ็บปวดหวาดกลัวเหล่านั้น รวมถึงเหม่อลอยรู้สึกเพียงแค่เจ็บปวด เพราะเด็กอายุเยาว์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตน
ความเดือดดาลทั้งหมดของนางแปรเปลี่ยนไปเป็นจิตสังหาร
ดวงตาเย็นนชาเต็มไปเส้นเลือดสีแดง
ล้วงมีดสั้นออกจากเอว มองคนเหล่านั้น กัดฟันเอ่ย “ข้าเป็นใครหรือ ข้าคือคนมาส่งพวกเจ้าไปลงนรกยังไงเล่า”