เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 271 เตี้ยนเซี่ย กูเยว่อู๋เหินมาตามหาคู่
ในเมืองชายแดน
อวี้เหว่ยยืนหน้าสลดรายงานอยู่ด้านข้างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เตี้ยนเซี่ย พวกเราไม่พบร่องรอยของแม่นางเยี่ยเม่ยเลย ซือหม่าหรุ่ยเพียงบอกว่านางเดินทางไปทางเจียงหนาน แต่คนของเราตามไปทางเจียงหนาน แม้แต่เงาของนางก็หาไม่พบ!”
อวี้เหว่ยรายงานไปก็ตื่นเต้นมาก กลัวเตี้ยนเซี่ยจะบันดาลโทสะ กำจัดปลาน้อยที่น่าสงสารในบ่ออย่างเขาทิ้งซะ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบเสริมขึ้นประโยคหนึ่ง “แต่ว่าเตี้ยนเซี่ย เรื่องนี้ก็หาใช่ข่าวร้ายไปเสียทีเดียว ข้าน้อยคิดว่าไม่ใช่แค่พวกเราที่หาแม่นางเยี่ยเม่ยไม่พบ ความจริงคนของเป่ยเฉินอี้ก็คิดตามหานางเหมือนกัน ในเมื่อพวกเราหาไม่พบ พวกเขาก็ย่อมไม่พบ!”
ที่สำคัญคือเยี่ยเม่ยถนัดการพรางตนมากเกินไปแล้ว
ครั้งแรกที่นางออกจากชายแดน หากมิใช่เพราะนางต้องกลับมาช่วยจิ่วหุน ไม่แน่ว่ายามนั้นพวกเขาก็คงไม่อาจพบนางได้ง่ายๆ
ยามนี้นางออกไปคนเดียว ทั้งยังจงใจไม่ให้คนหาพบ คิดหาร่องรอยของนาง ย่อมยากขึ้นไปอีก!
ถึงยามนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกมานวดหว่างคิ้ว ในใจครุ่นคิดถึงสถานที่ที่นางอาจไป ความจริงคิดตามหานางไม่ใช่เรื่องยาก มีเส้นทางสองสายที่ต้องไป
หนทางแรกคือไปถามเป่ยเฉินอี้ แต่วิธีนี้หลายวันก่อนพวกเขาก็ยกเลิกความคิดไปแล้ว
หนทางที่สองคือสอบสวนซือหม่าหรุ่ยอย่างรุนแรง หรือไม่ก็หาจุดอ่อนของซือหม่าหรุ่ยบีบบังคับให้นางเอ่ยปาก ในเมื่อไปเจียงหนานหาตัวเยี่ยเม่ยไม่พบ เท่ากับว่าคำพูดของซือหม่าหรุ่ยคือคำโกหก ไม่ว่าอย่างไร เยี่ยเม่ยไม่มีเหตุผลที่จะหลบเลี่ยงคนของเขา
เพียงแต่…หากลงมือกับซือหม่าหรุ่ย รอเยี่ยเม่ยรู้เรื่องเข้า ต้องเป็นการยั่วโทสะนางแน่
อวี้เหว่ยหาใช่คนโง่ ย่อมมองออกว่า เตี้ยนเซี่ยของตนคิดอะไรอยู่
เขาเอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ยามนี้ไม่อาจแตะต้องซือหม่าหรุ่ย ไม่ว่าอย่างไรแม่นางเยี่ยเม่ยก็บอกแล้วว่านางออกไปเพียงสองสามวันเท่านั้น ไม่ช้าก็จะกลับมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านสงบใจรอสักสองสามวัน หากผ่านไปแล้วนางยังไม่กลับมา ท่านค่อยลงมือก็ยังไม่สาย ตอนนี้หากเสี่ยงลงมือกับซือหม่าหรุ่ย เมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยกลับมาแล้ว ท่านก็ยากจะอธิบายกับนาง!”
ว่าไปแล้วอวี้เหว่ยยังเหนื่อยใจแทนเตี้ยนเซี่ยของเขาเลย
เมื่อก่อนเตี้ยนเซี่ยกำเริบเสิบสานแค่ไหน ใครก็ขวางเตี้ยนเซี่ยไม่ได้ เสินเซ่อเทียนผู้อยู่เหนือคนทั่วหล้าก็ยังไม่ขัดขวางเตี้ยนเซี่ยง่ายๆ ไม่ว่าเตี้ยนเซี่ยจะกระทำเรื่องอะไรก็ล้วนอยู่ที่ความยินดีของตน ไม่เคยคิดถึงความคิดผู้อื่นทั้งนั้น
ยามนี้กลับแปลกนัก!
ต้องคอยใคร่ครวญถึงความคิดแม่นางเยี่ยเม่ยไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่น่ากลัวก็คือ ถึงแม้รู้ว่าซือหม่าหรุ่ยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเยี่ยเม่ย ถึงกลับมีขวัญกล้าเทียมฟ้าหลอกลวงเตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ยยังเห็นแก่หน้าแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ก่อเรื่องทั้งไม่ลงมือ นี่มันอะไรกันแน่เนี่ย!
อวี้เหว่ยรู้สึกว่า บางทีเตี้ยนเซี่ยน่าจะให้เขาช่วยซื้อจิ้งหรีดสองตัวมาเล่นแก้เหงา เพื่อสลายความกลัดกลุ้มในใจ ไม่เช่นนั้นหากยังเป็นเช่นนี้นานเข้า เตี้ยนเซี่ยคงจะโมโหแย่
คิดไม่ถึงว่า
ในเวลานี้ด้านนอกเกิดเรื่องชวนให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งโมโห
เพียงเห็นเซียวเยว่ชิงวิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน ราวกับว่าด้านหลังมีหมาป่าวิ่งไล่ล่า สีน้าเจ็บปวดเกินเปรียบ หลังจากเข้ามาแล้วก็เอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย คือ…เกิดเรื่องแล้ว กูเยว่อู๋เหินมาถึงแล้ว เขาบอกว่ามาตามหาคู่หมั้น พวกเรารั้งเขาไว้ไม่ได้ เขาบุกเข้ามาเมืองมาแล้ว!”
“คู่หมั้น?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง แฝงด้วยความอ่อนโยนยากบรรยายได้
ทว่ากลับทำให้เซียวเยว่ชิงตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
ยามปกติเมื่อเตี้ยนเซี่ยใช้น้ำเสียงเช่นนี้ ล้วนไม่มีเรื่องดี
แต่ว่ากูเยว่อู๋เหินผู้นี้ เซียวเยว่ชิงเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรก ไหนว่าประมุขหมู่ตึกกูเยว่มีอุปนิสัยเฉื่อยชาเกียจคร้าน ไม่ชอบออกมาข้างนอกไม่ใช่หรือ
ไฉนๆ จู่ถึงออกมาได้เล่า ทั้งยังมาถึงชายแดน ในเมืองชายแดนนี้ สตรีมีอยู่ไม่กี่คน มีคู่หมั้นของเขาที่ไหนกัน นี่มันออกจะพิสดารเกินไปแล้ว สองสามวันนี้แม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่อยู่ เตี้ยนเซี่ยอยู่ในช่วงกลัดกลุ้มกังวลใจ กูเยว่อู๋เหินมาก่อกวนในเวลานี้ เตี้ยนเซี่ยอารมณ์ดีก็แปลกแล้ว!
สีหน้าอวี้เหว่ยพลันเขียวคล้ำ สีน่าไม่น่าดูชมยากเกินอธิบายได้ “เตี้ยนเซี่ย กูเยว่อู๋เหินช่างรังแกคนเกินไปแล้ว ท่านอย่าได้ยอมเขาเชียว!”
เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ปรายตามองเขา น้ำเสียงน่าฟัง ค่อยๆ เอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเตือน!”
อวี้เหว่ยพลันตัวสั่น ก้มหน้าลง รู้ดีว่าเตี้ยนเซี่ยในยามนี้อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก หากเขาพูดผิดหรือว่าเอาใจผิดๆ ไป บางทีอาจยั่วโทสะเตี้ยนเซี่ยได้
ถัดมา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลุกขึ้นมาแล้ว เอ่ยว่า “ตอนนี้กูเยว่อู๋เหินอยู่ที่ไหน”
“เมื่อครู่เพิ่งเข้าเมืองมา มีทหารจำนวนไม่น้อยล้อมเขาไว้ แต่เหมือนเขาไม่กลัวเลยสักน้อย!” เซียวเยว่ชิงเอ่ยไปก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากออก
“อ้อ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้าวเท้าออกไปด้านนอก มุ่งไปยังทิศทางของประตูเมือง ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เขาบอกหรือไม่ว่าคู่หมั้นของเขาคือใคร”
เซียวเยว่ชิงเอ่ยปาก “ไม่ได้บอก เขาเหมือนไม่ชอบพูดจานัก หลังจากมาแล้วก็พูดแค่ประโยคเดียว นั่นคือบอกให้เรียกคู่หมั้นของเขามาพบ แม้แต่ฐานะของตัวเขา ยังให้ผู้ติดตามเป็นคนอธิบาย ข้าน้อยถึงรู้ว่าเขาคือกูเยว่อู๋เหิน คำพูดอื่นๆ เขาก็ไม่เอ่ยอีก!”
ดูจากท่าทีของกูเยว่อู๋เหิน คล้ายไม่อยากพูดจากับพวกเขา
ก็ถูก กูเยว่อู๋เหินสันโดษ ย่อมไม่ใช่คนที่จะพูดคุยกับพวกเขา ความจริงในใจเซียวเยว่ชิงก็รับรู้ด้วยตัวเองว่า หากกูเยว่อู๋เหินสนใจพวกเขานั่นก็ถือเป็นเรื่องแปลกแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว ท่าทางของเขายังคงสง่างามเหนือคน ไม่อาจมองออกว่าเขายินดีหรือโมโห
ยามนี้เซียวเยว่ชิงจับความคิดของเขาไม่ได้ จึงไม่เอ่ยวาจา
เมื่อไปถึงบริเวณประตูเมือง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสบตากับกูเยว่อู๋เหินที่อยู่บนหลังม้า
คนทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรก เพียงแต่การพบกันนี้ เพียงแค่แวบเดียวก็รับรู้ถึงฐานะของอีกฝ่ายแล้ว บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบลง คนอยู่รอบๆ ทั้งหมดรู้สึกว่ามองเห็นดอกไม้ไฟไร้รูปลักษณ์จำนวนนับไม่ถ้วนแตกระเบิดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
ในเวลานี้เอง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองกูเยว่อู๋เหิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาสบายว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนไม่ไปหาท่านประมุขที่หมู่ตึกกูเยว่ ท่านกลับมาหาข้าเอง! ก็ดี ประหยัดเวลาข้าเดินทางไปหมู่ตึกกูเยว่!”
กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว เอ่ยถามเสียงเรียบ “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน? เจ้าออกมาด้วยตัวเอง คิดคบหากูเยว่เป็นสหายอย่างนั้นหรือ”เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง เอ่ยปากว่า “สหาย? คนเรามักเรียกการเพิ่มปัญหาให้แก่กันและกันว่าสหาย เรียกความขี้ขลาดไม่กล้าล้างแค้นว่าใจกว้าง เรียกการยินยอมให้ผู้อื่นทำร้ายตัวเองว่าให้อภัย ความจริงแล้วคำพูดที่มีความหมายแฝงที่ดีจำนวนไม่น้อยบนโลกนี้ ล้วนมีธาตุแท้ที่ไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะว่าเยี่ยนฉลาดมากพอ ดังนั้นไม่ยึดหลักคุณธรรมในการดำรงชีวิต หวังว่าท่านก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าเยี่ยนผู้นี้กำเนิดมาก็จิตใจคับแคบไม่ใจกว้างและไม่รู้จักให้อภัย!”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแข็งขืน สายตาเผยไอสังหาร “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นคนที่คิดจะตีท้ายครัวข้าอย่างประมุขกูเยว่ ยังหลงคิดว่าเยี่ยนจะคบหาเป็นสหายด้วยอย่างนั้นหรือ”