เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 272 นางไม่รำคาญที่ท่านพูดมากหรอกหรือ
กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว สายตาจับจ้องไปที่ร่างของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่นานไม่ขยับ
คล้ายไม่รู้ว่าเขาสมควรวิจารณ์คนเบื้องหน้าตนว่าอะไร ผ่านไปสักพัก น้ำเสียงราบเรียบของเขาก็ดังขึ้นว่า “นางไม่รำคาญที่ท่านพูดมากหรอกหรือ”
คนทั้งหมด “…”
อวี้เหว่ย “…?!”
อะไรกัน นี่มันอะไรกันเนี่ย
อวี้เหว่ยหันกลับไปมองใบหน้าด้านข้างของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เมื่อคิดถึงคำพูดของกูเยว่อู๋เหินก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างระวัง คือว่า…
‘ปรัชญา’ เมื่อครู่ของเตี้ยนเซี่ยยาวไปหน่อยก็จริง ฟังแล้วเป็นคำพูดยืดยาว แต่อาจเป็นเพราะเตี้ยนเซี่ยเป็นเช่นนี้มาตลอด เขาใช้เหตุผลของตัวเองกล่อมเกลาชาวโลก ทรมานผู้คน ในขณะเดียวกันก็เฆี่ยนตีจิตใจคนไปด้วย
ดังนั้นเขาที่คุ้นเคยแล้วจึงไม่รู้สึกว่าพูดมากจนเกินไปแต่อย่างใด…
นางผู้นี้ คงจะหมายถึงแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ผิดแน่กระมัง
ในขณะที่อวี้เหว่ยครุ่นคิดไปเรื่อย คนทั้งหมดตกอยู่ในอารามแตกตื่น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เป็นฝ่ายโดนโจมตีกลับคลี่ยิ้มออกมา ท่าทางของเขาสง่างามประดุจแมวเปอร์เซีย มองกูเยว่อู๋เหินตรงหน้า ค่อยๆ เอ่ย “นางกลับไม่เคยบ่นว่าเยี่ยนพูดมาก ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน นางกลับพูดอยู่ในอ้อมกอดของข้าว่าประมุขกูเยว่ผู้นั้นช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน!”
เหวยซื่อพูดไม่ออก คราวนี้เขาเป็นฝ่ายกลืนน้ำลายเอื๊อก
ทั้งยังลอบมองใบหน้าเจ้านายตนอย่างระมัดระวัง หึ…นายท่านมีชื่อเสียงด้านนิสัยเฉยชา เฉื่อยชา แม้กระทั่งคำพูดยังไม่อยากจะเอ่ย หากเป็นอย่างที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า…
อืม คนที่เอาแต่เงียบอยู่เรื่อยก็น่าเบื่อจริงๆ เพียงแต่เขาอยู่กับนายท่านมานานหลายปี จึงไม่รู้สึกอะไรแล้วใช่หรือไม่
หลังจากบุรุษรูปงามแห่งยุคทั้งสองผลัดกันโจมตีอีกฝ่าย ทำให้ผู้ติดตามของคนทั้งสองรู้สึกว่าได้รู้จักเจ้านายของตนใหม่อีกครั้ง
พูดมาก ปะทะ น่าเบื่อ
ดีเหลือเกิน ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก
….
สายตากูเยว่อู๋เหินสงบลงในไม่ช้า นัยน์ตาที่เหินห่างแต่เดิมในที่สุดก็มีประกายแววของปุถุชนบ้าง นั่นคือความไม่ยินดี
เขาเอ่ยเสียงนิ่งว่า “คำว่าน่าเบื่อนี้ เกรงว่าจะเป็นความเห็นของท่านเอง”
คนอย่างเยี่ยเม่ย ถึงเขาเข้าใจได้ไม่ลึกพอ แต่ก็เคยติดต่อกับนางในช่วงเวลาสั้นๆ ในเมื่อเป็นคนที่เขามอบขลุ่ยหยกโลหิตได้ เขาย่อมอ่านนิสัยคนผู้นั้นออก
นางไม่มีทางเป็นสตรีที่พูดนินทาลับหลังผู้อื่น โดยเฉพาะคำวิจารณ์ที่ไร้เหตุผลไร้สาระ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกเปิดโปง แต่ไม่รู้สึกอับอายเลย สีหน้ายิ่งเรียบเฉยจ้องคนตรงหน้า เอ่ยออกมาทีละคำด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ “ในเมื่อท่านไม่เชื่อ เยี่ยนย่อมไม่บังคับท่าน เพียงอยากให้ท่านเข้าใจ ในฐานะคู่หมั้น ไม่มีเรื่องใดที่นางไม่บอกกับเยี่ยน!”
คราวนี้บรรยากาศในที่นี้พลันเย็นเยือกและอึดอัดมากขึ้น
คนทั้งหมดล้วนคิดว่า พวกท่านทั้งสองมีคำพูดใดก็ค่อยๆ พูดจากันดีๆ ต้องใช้คำพูดแปลกพิกลแบบนี้ไปเพื่ออะไร พวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นกลุ่มคนแทะแตง[1]ยังพลอยรู้สึกสับสนไปด้วย คราวนี้ก็ดีเลย แตงก็ไม่ได้กิน ซ้ำยังถูกยัดเยียดอาหารสุนัข[2]ให้แทน
แม่นางเยี่ยเม่ยพูดทุกเรื่องกับเตี้ยนเซี่ย…
ใช่สิ ท่านจะทรมานคนโสดนิ
เหวยซื่อมองเจ้านายตัวเองทีหนึ่ง ในใจกังวลขึ้นมาบ้าง จากสถานการณ์ตรงหน้า เขากลัวเหลือเกินว่านาทีถัดไป นายท่านและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะต่อยตีกันขึ้นมา ในเมื่อคนทั้งสองยั่วยุกันมาถึงขั้นนี้แล้ว
ความจริงต่อยตีกันก็หาใช่เรื่องใหญ่ แต่นี่ออกจะไม่เข้ากับอุปนิสัยคร้านจะสนใจเรื่องราวของเจ้านายตนไปสักหน่อย หากต่อยตีกันขึ้นมาจริง เหวยซื่อพานจะหลงคิดว่า นายท่านจริงจังกับเยี่ยเม่ยแล้วใช่หรือไม่
ในขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ
กูเยว่อู๋เหินยิ้มยกมุมปาก มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้านหน้า เอ่ยเรียบๆ ว่า “ภูเขาลูกเดียวไม่อาจมีพยัคฆ์สองตัว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ประลองแพ้ชนะกันเถอะ”
สิ้นเสียง กระบี่ในมือเขาก็ออกจากฝัก
กระบี่เลื่องชื่อเปล่งประกายแสงพราวตา ไอกระบี่ยังไม่ทันเคลื่อนไหว คนกลับรู้สึกถึงจิตสังหารพุ่งมาก่อนแล้ว ทำเอาคนทั้งหมดในที่นี้แตกตื่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้…
บรรดาทหารหวนคิดถึงครั้งก่อนที่ เตี้ยนเซี่ยต่อยตีกับจิ่วหุน
หลายคนร่นถอยหลังไปอย่างทนไม่ไหว กลัวว่าพลังปราณที่ปล่อยออกมาจะเกิดพลาดพลั้งทำร้ายตนจนพิกลพิการไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง กลับยิ้มออก ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีความยินดีที่หาได้ยาก เอ่ยว่า “สมใจข้าพอดี!”
สิ้นเสียง เขาก็มองคนทั้งหมดทีหนึ่ง เอ่ยว่า “พวกเจ้าต่างก็เห็นแล้ว ประมุขกูเยว่ต้องการพิสูจน์แพ้ชนะกับข้า เยี่ยนทำเพื่อป้องกันตัวเอง!”
คนทั้งหมดจนคำพูด
ตั้งแต่แรกเริ่ม ประโยคแรกที่ท่านเอ่ยกับกูเยว่อู๋เหินก็คือปฏิเสธการคบหาเป็นสหายกับเขา แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะคิดบัญชีกับอีกฝ่าย ภายหลังต่างฝ่ายต่างสาดทอคำพูดใส่กัน สุดท้ายเรื่องราวพัฒนาไปเป็นเช่นนี้ ไฉนถึงกลายเป็นว่ากูเยว่อู๋เหินยั่วยุท่าน ท่านทำไปเพื่อปกป้องตัวเองเสียเล่า
คนทั้งหมดไม่อาจตัดสินในทันทีว่า สายตาในการมองโลกของพวกเขามีปัญหา หรือว่ามุมมองการคิดวิเคราะห์ของเตี้ยนเซี่ยกันแน่ที่มีปัญหา
แต่ก็ไม่ผิด หากคิดจะยืนกรานเช่นนี้ให้ได้ ก็คล้ายจะไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง อย่างไรเสียคนที่เริ่มชักกระบี่ก่อน ก็คือกูเยว่อู๋เหินจริงๆ
อวี้เหว่ยเป็นคนมีไหวพริบ เขาจึงเข้าใจแล้ว
ที่แท้เตี้ยนเซี่ยมาถึงก็ยั่วยุฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำให้กูเยว่อู๋เหินที่มีนิสัยเฉยชาลงมือก่อน อย่างไรเสียเรื่องยาครั้งก่อน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร แม่นางเยี่ยเม่ยก็ติดค้างน้ำใจคนผู้นี้
ยามนี้ผู้มีพระคุณของแม่นางเยี่ยเม่ยมาถึงที่ เตี้ยนเซี่ยที่อยู่ในฐานะคู่หมั้นตามหลักแล้วสมควรต้อนรับอย่างดี แต่ว่าด้วยความสัมพันธ์ซับซ้อนชวนอึดอัด เตี้ยนเซี่ยย่อมไม่คิดต้อนรับอีกฝ่าย หากเป็นฝ่ายลงมือต่อยตีคนก่อน เมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยกลับมา เกรงว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ดังนั้น…
หากกูเยว่อู๋เหินชิงลงมือก่อนก็ไม่เหมือนกันแล้ว
อวี้เหว่ยปลงอยู่ในใจ เตี้ยนเซี่ยช่างเป็นเตี้ยนเซี่ยที่เจ้าเล่ห์นักนะ เขารู้สึกเลื่อมใสมาจากก้นบึ้งของหัวใจ!
กูเยว่อู๋เหินฟังคำพูดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เลิกคิ้ว เขาเป็นประมุขของหมู่ตึกกูเยว่อาศัยความสามารถด้านบทกวีและวรยุทธ์ล้ำเลิศสร้างชื่อเสียงในยุทธภพ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยวาจาถึงขั้นนี้ เขาย่อมเข้าใจแรงจูงใจของอีกฝ่าย
ความไม่พอใจจางๆ ในดวงตาเขาพลันเพิ่มพูนขึ้น มองคนตรงหน้า เอ่ยเสียงเย็นชา “หวังว่าท่านจะป้องกันตัวเองได้”
ระหว่างที่เขาเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันยกมือขึ้น
กำลังภายในกลายเป็นกระบี่ยาวสีแดงเล่มหนึ่งคล้ายกับลำแสงมารก็มิปาน ปรากฏอยู่ในมือเขา แต่ไรมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่จำเป็นต้องถือกระบี่ เขาให้กำลังภายในสร้างมันขึ้นมา
นัยน์ตาเขามองไปที่คนตรงหน้า น้ำเสียงราบเรียบ ค่อยๆ เอ่ย “ข้าก็หวังว่าท่านประมุขกูเยว่ จะไม่ทิ้งร่างไว้ที่ชายแดน ตายอย่างไร้ศพสมบูรณ์!”
คนทั้งหมด “…”
นี่…
พวกท่านคิดจะ…
ถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองคนทั้งหมด น้ำเสียงน่าฟังแฝงความเข้มงวดสั่งการว่า “ถอยไป!”
ทุกคนเข้าใจทันที ต่างพากันถอยออกมา
ก็ถูก เตี้ยนเซี่ยประมือกับกูเยว่อู๋เหิน ยากนักที่จะไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ พวกเขาถอยหลบไปถึงจะปลอดภัย!
[1] เป็นภาษาที่นิยมใช้กันในอินเทอร์เน็ต หมายถึง คนที่อ่านอย่างเดียวไม่แสดงความคิดเห็น
[2] เป็นภาษาที่นิยมใช้กันในอินเทอร์เน็ต หมายถึง คนโสดเห็นคู่รักที่พลอดรักกัน