เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 276 เสินเซ่อเทียนเห็นความสำคัญของเยี่ยเม่ยอย่างสูงสุด!
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]
- ตอนที่ 276 เสินเซ่อเทียนเห็นความสำคัญของเยี่ยเม่ยอย่างสูงสุด!
เมื่อคิดเช่นนี้ นางยิ่งห้อตะบึงม้าไวขึ้น ความแค้นในดวงตายิ่งเข้มข้น
ยอดอาชาพุ่งตะบันฝีเท้าฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่วฟ้า ในสายตาคนไม่น้อยเห็นนางเป็นเพียงเงาร่างสีดำสายหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นรูปโฉม ซ้ำยังหลงคิดว่ามีลมพายุกระแสหนึ่งพัดผ่านไป
หลังจากควบม้าไปได้หนึ่งคืน นางหยุดอยู่ที่ถ้ำที่มีบ่อน้ำข้างทาง หลังจากดื่มน้ำแล้วก็พักอยู่ครู่ใหญ่
ตกบ่าย
เรื่องแรกที่เยี่ยเม่ยทำก็คือ จับนกหลายตัวในป่า
นางใช้วิธีที่เร็วที่สุดในการถลกหนังและควักอวัยวะภายในของนกออก จากนั้นก็เริ่มย่าง
ครั้งแรกในการย่างนก นางทำอย่างประณีตยิ่ง ที่โชคดีก็คือนางได้หมีเตี๋ยเซียง[1]ไว้สำหรับย่างขาแกะระหว่างทาง เมื่อโรยลงบนตัวนก ก็ได้รสชาติพิเศษอีกอย่างหนึ่ง
น้อยครั้งที่เยี่ยเม่ยจะตั้งใจย่างนกเช่นนี้ เมื่อก่อนในสายตาของนาง ประโยชน์สูงสุดของอาหารก็คือทำให้อิ่มท้อง กินอิ่มแล้วทำงานถึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
ยามนี้เดิมทีนางมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย ต้องกลับไปชายแดนสร้างความเชื่อใจให้กับทุกคน ทำให้บรรดาทหารชายแดนทั้งหมดเชื่อใจนาง จึงบรรลุเป้าหมายการแก้แค้น
แต่ว่า…
นางในเวลานี้ กลับไม่คิดทำอะไรทั้งนั้น
เพียงอยากสงบใจสักครู่ ปล่อยความคิดของตนให้ว่างเปล่า ค่อยๆ คิด เรื่องราวระหว่างนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
สมควรเรียกว่าชะตากลั่นแกล้งคน หรือว่าสวรรค์มีเจตนาอื่นกันแน่
จากนั้น นางรู้สึกว่าตัวเองในเวลานี้อยู่ตรอกปิดตาย ไม่ว่าคิดจากแง่มุมไหน ไม่ว่าวางตนอยู่ที่จุดใด ท้ายที่สุดก็หาทางออกไม่พบ
ระหว่างกลัดกลุ้มอยู่นั้น สายตานางมองไปที่นก เพิ่มความตั้งใจในการหมุนมัน
เวลานี้เอง นางกลับไม่รู้ว่ากลิ่นหอมของนกนั้น ดึงดูดความสนใจของใครบางคนอย่างมาก
ห่างออกไปหนึ่งลี้
เสินเซ่อเทียนขี่ม้าเดินทาง พลันยกมือขึ้น ดึงบังเ**ยนม้าให้หยุดลง
เห็นเขาหยุดลง เป่ยเจี้ยนเกอและเฉิงเสี่ยวจวนด้านหลังก็ชะงักไป รู้สึกไม่เข้าใจ เฉิงเสี่ยวจวนเอ่ยปากว่า “จวินซ่าง เกิดอะไรขึ้นหรือ”
หรือว่าเสียใจแล้ว ไม่อยากไปก้าวก่ายเรื่องระหว่างฝ่าบาทกับองค์ชายสี่กัน
ในขณะที่นางถามด้วยความสงสัย
เสินเซ่อเทียนยกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้เงียบ เขาหลับตาลงเพื่อรับรู้ จากนั้นลืมตาหันกลับมามองนางทีหนึ่ง “หรือเจ้าไม่ได้กลิ่นอะไรอย่างนั้นหรือ”
“ได้กลิ่นอะไรแล้ว” เฉิงเสี่ยวจวนสีหน้างุนงง
กลิ่นเหม็น?
ไม่มีนี่นา
กลิ่นหอม?
ก็ไม่มีนิ
เห็นสีหน้าอึ้งทึ่งของเฉิงเสี่ยวจวน เสินเซ่อเทียนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แค่นเสียงเย็น “กลิ่นนกย่างแรงขนาดนี้ เจ้ายังไม่ได้กลิ่นอีก ชั่วชีวิตนี้เจ้าคงไม่มีวันโดดเด่นแล้วแน่ !”
เฉิงเสี่ยวจวน “…”
ทำไมชั่วชีวิตนี้นางจะโดดเด่นหรือไม่ ถึงได้เกี่ยวพันกับการได้กลิ่นนกย่างด้วยเล่า
ระหว่างสองเรื่องนี้มีอันใดเกี่ยวพันกันด้วย
ก็ได้ การเป็นผู้ใต้บัญชาของจวินซ่าง หากไม่มีไหวพริบเรื่องของอร่อยเลย ก็ยากจะมีหนทางดีๆ แต่นางเป็นถึงสององครักษ์ข้างกายจวินซ่างแล้ว ยังมีอะไรที่นางไม่พอใจกันเล่า
“จวินซ่าง ข้าไม่หวังว่าชีวิตของตนจะมีความโดดเด่นอะไรอีกแล้ว!” จริงด้วย นอกจากภารกิจติดตามจวินซ่างไปชายแดนครั้งนี้ ภารกิจก่อนหน้าล้วนเสาะแสวงหาของกินตามที่ต่างๆ ชีวิตเช่นนี้ยังจะมีอะไรให้โดดเด่นอีกหรือ
นางเตือนเสินเซ่อเทียน “จวินซ่าง พวกเรารีบเดินทางเถอะ ฝ่าบาททรงมีดำริให้ท่านไปถึงชายแดนในเร็ววัน รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จอย่างรวดเร็ว!”
ส่วนเรื่องที่ได้กลิ่นนกย่างระหว่างทางนั้น เรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญเช่นนี้ไม่ต้องใส่ใจจะดีกว่า
จากนั้น
นางพูดจบ เสินเซ่อเทียนก็หันหัวม้ามุ่งไปทางซ้าย
เฉิงเสี่ยวจวน “…”
นางมองไปยังทิศทางที่จวินซ่างควบม้าไป พยายามดมกลิ่น หันกลับไปมองเป่ยเจี้ยนเกอทีหนึ่ง “หรือว่ากลิ่นนกย่างมาจากทางนั้น”
เป่ยเจี้ยนเกอมุมปากกระตุก มองเสินเซ่อเทียนไสม้าเข้าไป ถึงจะทำให้คนรู้สึกหมดคำพูด แต่ก็ยังเป็นแผ่นหลังทรงอำนาจเหมือนเคย
เขาปรายตามองเฉิงเสี่ยวจวน เอ่ยตามสัตย์ “ข้าไม่ได้กลิ่นอะไรเลยทั้งนั้น! ดังนั้นข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่ากลิ่นของนกย่างมาจากทางไหน”
พวกเขารู้สึกแปลกใจ
จวินซ่างมีจมูกสุนัขหรือยังไง
ทำไมถึงได้กลิ่น พวกเขาสองคนติดตามอยู่ด้านหลังจวินซ่าง ทำไมถึงไม่ได้กลิ่นกันเล่า หรือว่าพวกเขาสองคนไม่สบายกัน
ช่างเถอะ ไม่สนอะไรให้มากความอีกแล้ว ติดตามจวินซ่างไปก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว พวกเขาทั้งสองก็รีบควบม้า ถอนใจอยู่ลึกๆ พวกเขาอยากรู้จริงๆ นิสัยเห็นของอร่อย ได้กินของอร่อยแล้วเดินไม่ไหวอย่างทุกวันนี้ สำเร็จวิชามาจากไหน
หรือว่าสมัยที่จวินซ่างฝึกวิชา เคยเสียเวลาหรือไม่สำเร็จวิชาเพราะของอร่อยบ้างหรือเปล่า
พวกเขาล่ะแปลกใจเสียจริงเชียว
เสินเซ่อเทียนกลับไม่มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องพวกนี้
สำหรับเขาแล้วโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรทำได้ยาก นอกจากว่าเริ่มต้นช้าไปก้าวหนึ่ง หรือสายไปก้าวหนึ่ง
แต่ว่าสำหรับอาหารเลิศรส ทันทีที่พลาดไปแล้ว บางทีอาจไม่มีโอกาสได้พบอีกชั่วชีวิต
ดังนั้น เขาไม่มีทางยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่
เมื่อเขาขี่ม้าไปถึงบริเวณที่มีกลิ่นนกย่างอบอวลออกมา เขาดึงสายบังเ**ยนหยุดม้าอย่างระวัง ผูกมันไว้กับต้นไม้ใหญ่
ไม่ช้า
เสินเซ่อเทียนค่อยๆ เดินตรงไปด้านหน้า ผ่านต้นไม้ใหญ่ที่แน่นขนัด เห็นเยี่ยเม่ยกำลังนั่งย่างนกอยู่บนพื้น
คนปกติยามเห็นหญิงงามนั่งย่างนกอยู่ สิ่งแรกที่สังเกตมักเป็นบุคลิกท่วงท่าของนาง รูปโฉมที่ชวนให้คนแตกตื่น ทว่าสายตาเขากลับจับจ้องอยู่ที่นกย่างของเยี่ยเม่ยโดยไม่ขยับไปไหน
นกย่างตัวนั้นภายนอกดูหนังลื่นมาก ทั้งยังมันวาบ
ดูปราดเดียวก็มั่นใจได้ว่าภายนอกกรุบกรอบภายในนุ่มละมุนอย่างแน่นอน
ที่น่าสนใจก็คือ เขามองเห็นรากของหมี่เตี๋ยเซียงจำนวนไม่น้อยข้างกายเยี่ยเม่ย ส่วนใบเรียวแหลมคล้ายเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนโรยลงบนตัวนก จากนั้นใช้ไฟย่าง นี่คือสาเหตุที่ทำให้กลิ่นหอมแตกต่างจากคนอื่น
ลิ้มลองอาหารเลิศรสทั่วหล้ามายี่สิบเก้าปี เสินเซ่อเทียนไม่เคยรู้เลยว่านกย่างเขาทำกันเช่นนี้เอง
เขารู้เพียงแค่ตัวเองได้กลิ่นหอมที่ไม่เหมือนปกติ
หาใช่นกย่างทั่วไปไม่!
ยามนี้เป่ยเจี้ยนเกอกับเฉิงเสี่ยวจวนพากันติดตามเข้ามา
ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็เห็นเสินเซ่อเทียนโบกมือเป็นเชิงให้ระวัง หลบซ่อนกายไว้
คนทั้งสองเข้าหาเสินเซ่อเทียนอย่างระมัดระวังทันที คนทั้งสามอยู่ห่างจากเยี่ยเม่ยมาก กอปรกับวันนี้เยี่ยเม่ยมีความในใจหนักอก ดังนั้นจึงไม่ทันรับรู้ว่าห่างออกไปมีคนสามคนกำลังเดินหน้าเข้ามา
เป่ยเจี้ยนเกอจวนจะเดินถึงข้างกาย เสินเซ่อเทียน ผู้เป็นนายก็หันกลับมาสั่งการว่า “เจ้าไปเลี้ยงม้าก่อน พวกเราพักผ่อนกันสักครู่!”
[1] โรสแมรี่