เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 279 ข้าคิดใช้ร่างกายตอบแทน!
เยี่ยเม่ย “…”
นางอยากจะชื่นชมความตรงไปตรงมาของบุรุษผู้นี้เหลือเกิน
แต่ว่า ทำไมฟังแล้ว ทำให้คนรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย
นางโยนนกด้านข้างที่ถูกนางยิงตายตัวหนึ่งไปให้เสินเซ่อเทียน น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ สีหน้าไม่ยินดี ท่าทางไม่พอใจเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ย่างเอง”
เฉิงเสี่ยวจวนกุมขมับเงียบๆ นางรู้สึกว่าจวินซ่างออกจะเถรตรงจนเกินเหตุ หากต้องการให้ผู้อื่นย่างนกให้สักตัว ทำไมถึงตอบคำถามเช่นนี้เล่า
จวินซ่างหลงคิดว่าคนทั่วหล้านี้เป็นลูกน้องตัวเอง ยินยอมทำงานให้โดยไร้เงื่อนไขกันทุกคนหรืออย่างไร
เสินเซ่อเทียนก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเม่ยถึงกับไร้น้ำใจปานนี้ สั่งให้เขาย่างนกด้วยตัวเอง หลังจากกินนกย่างในมือหมด ก็มองนกที่ถูกเยี่ยเม่ยโยนมาตกอยู่ข้างเท้า
อืม
พูดตามความจริง หลายปีที่ผ่านมาเขากินของอร่อยไปไม่น้อย แต่ว่าไม่เคยลงมือทำเองเลยสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลายปีมานี้ถูกปรนนิบัติดูแลอย่างสูงส่ง ของอร่อยก็ยังไม่ต้องไปหาเอง
ยามนี้ให้เขาย่างนกเอง…
เห็นเขาลังเลไม่ขยับเขยื้อน เยี่ยเม่ยปรายตามอง แค่นเสียงเย็น “ลงมือด้วยตัวเองชีวิตจะสมบูรณ์พูนสุข ดูจากท่าทางของท่านแล้ว คงไม่ชินกับการทำเองสินะ แต่บังเอิญข้าก็ไม่เคยชินกับการปรนนิบัติผู้อื่นเช่นกัน”
ดังนั้นนกย่างตัวที่มอบให้เขาก่อนนี้ ก็มีมนุษยธรรมแล้ว อยากได้มากกว่านี้อีกเลิกคิดไปได้เลย
นางเอ่ยออกมา เสินเซ่อเทียนกลับคลี่ยิ้ม “แม่นาง ช่างมีหลักการนัก!”
หลายปีที่ผ่านมา เขายังไม่เคยเจอใครเอ่ยตรงไปตรงมาได้ถึงขั้นนี้มาก่อน เดิมทีเขาหลงคิดว่าหากตัวเองบอกเป้าหมายที่มาใกล้ชิดนางออกไป ก็เป็นการกระทำที่เถรตรงพอแล้ว คิดไม่ถึงว่านางยังเป็นคนตรงไปตรงมากว่าเขาเสียอีก
เมื่อเขาเอ่ย เยี่ยเม่ยก็ไม่ตอบโต้ พยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้ายอมรับ!”
นางเป็นคนมีหลักการจริงๆ
เสินเซ่อเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะมีนิสัยเกียจคร้าน ความจริงเขาไม่อยากลงมือเอง แต่หากไม่ลงมือด้วยตัวเองก็ไม่มีให้กิน เขายังสับสนอยู่บ้าง
เยี่ยเม่ยส่งสายตามอง เอ่ยว่า “ฉวยโอกาสยามที่ข้ายังอยู่ ท่านคิดจะย่างนกก็รีบย่างซะ ข้ายังช่วยแนะนำท่านได้ รอข้ากินอิ่มจากไปแล้ว ท่านก็นั่งวิเคราะห์เองแล้วกันว่าจะย่างอย่างไร!”
เมื่อนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เสินเซ่อเทียนเลิกลังเลอีกต่อไป ถอนหายใจคำหนึ่ง หยิบนกตัวนั้นขึ้นมา ถลกหนังมันเลียนแบบวิธีเมื่อครู่ของเยี่ยเม่ย ไม่ช้าเขาก็จัดการมันจนสะอาดหมดจด
เยี่ยเม่ยยื่นมีดสั้นให้เขา ควักเครื่องในออกมา
ไม่ช้า เสินเซ่อเทียนก็ทำการควักเครื่องในเรียบร้อย เริ่มย่างนกกับเยี่ยเม่ย อย่างไรก็ตามนกที่อยู่ในมือนางเริ่มย่างก่อนนกในมือเสินเซ่อเทียน ดังนั้นนกของนางก็สุกก่อน
หลังจากนางย่างนกได้ที่ สายตาเสินเซ่อเทียนก็จับจ้องที่นกตัวนั้น
เยี่ยเม่ยเห็นสายตาของเขา ก็รู้สึกหมดคำพูด
นางเองคร้านจะใส่ใจคนตรงหน้าที่มีท่าทีเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายปี นางกัดนกย่างในมือคำหนึ่ง จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายเอื๊อกของเสินเซ่อเทียน ถึงเขาจะพยายามระวังควบคุมตัวเองไม่ให้ส่งเสียงดังขนาดนี้แล้ว แต่เยี่ยเม่ยก็ยังได้ยิน
เยี่ยเม่ย “…”
นางจินตนาการไม่ออกเลยว่า บุรุษรูปงามเป็นพิเศษ มีกำลังภายในล้ำเลิศ อากัปกิริยาเหนือคนทั่วไป ดูสูงศักดิ์ทรงอำนาจราวเทพเทวาจะตะกละได้ถึงขั้นนี้
แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะจนปัญญาหรืออย่างอื่น
เยี่ยเม่ยฉีกขานกข้างที่ตนยังไม่ได้กัดออก ยื่นส่งให้คนตรงหน้า “กินสิ!”
เสินเซ่อเทียนยื่นมือออกมารับอย่างร้อนรน ส่งเข้าปากทันที
สายตาที่เขามองเยี่ยเม่ยยิ่งต่างออกไปแล้ว!
นางบอกว่าตัวเองมีหลักการ ทั้งนางยังหิวมาก ทว่าในเวลานี้ยินยอมสละขานกข้างหนึ่ง มิตรภาพล้ำลึกเช่นนี้ ชวนให้คนซาบซึ้งเหลือเกิน
เขากัดไม่กี่คำ ขานกในมือก็หมดเกลี้ยง จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “บุญคุณของเจ้าในวันนี้ ข้าต้องตอบแทนแน่ เจ้าอยากได้อะไรก็บอกมา”
บุญคุณ?
นกย่างตัวหนึ่งกับขานกย่างอีกข้างหนึ่ง เยี่ยเม่ยไม่รู้สึกว่าเป็นบุญคุณอะไรเลยด้วยซ้ำ
นางส่ายหน้า “ไม่จำเป็น!”
เยี่ยเม่ยพูดไปพลางกัดนกคำหนึ่ง
“หากภายหน้าเจ้ายินยอมย่างนกให้ข้ากินบ่อยๆ ข้าคิดว่าจะใช้ร่ายกายตอบแทน” เสินเซ่อเทียนกล่าวอย่างจริงจัง
“แค่ก..”
คราวนี้เปลี่ยนป็นเยี่ยเม่ยที่สำลักแทนแล้ว
นางสงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือเปล่า
เฉิงเสี่ยวจวนที่อยู่ไกลออกไปอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงเลยว่าจวินซ่างถึงกับเอ่ยคำพูดไร้ศีลธรรมประเภทนี้ออกไปได้
นกย่างตัวหนึ่งก็ซื้อตัวเขาได้แล้วเหรอ
อย่าทำแบบนี้ได้หรือเปล่า ?!
เมื่อก่อนจวินซ่างกินของอร่อยไปไม่น้อย ยามนั้นจวินซ่างยังไม่เคยคิดใช้ร่างกายตอบแทนเลย หรือว่าเจ้านกย่างนั่นจะอร่อยเกินกว่าที่เห็นภายนอก ทำให้จวินซ่างไม่อาจหยุดความปรารถนาได้เลย?
ในขณะที่นางแปลกใจ เยี่ยเม่ยที่สำลักอยู่นานก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
หลังจากนางปรับลมหายใจกลับมาได้ ก็มองเสินเซ่อเทียน เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “มันอร่อยจนถึงขั้นนั้นเชียวหรือ”
ถึงแม้เยี่ยเม่ยพอจะมั่นใจในฝีมือทำอาหารของตัวเองอยู่บ้าง แต่นางก็เข้าใจดีว่าไม่น่าจะเป็นถึงขั้นนี้นี่นา
เสินเซ่อเทียนพลันยิ้มออก “เจ้ายินยอมช่วยเหลือคนไม่รู้จัก ยอมอดทนเอานกให้ข้า รู้ทั้งรู้ว่าข้าคร้านจะย่างนกด้วยตัวเอง หลังจากเจ้าประกาศหลักการตัวเองออกมาแล้ว กลับยินยอมมอบขานกให้ข้าข้างหนึ่ง ที่น่าสนใจก็คือ ดูไปแล้วเจ้าไม่เหมือนคนมีเมตตาเลย เจ้าว่าคนที่น่าสนใจเช่นนี้ ข้ายินยอมตอบแทนด้วยร่างกาย ทำไมจะทำไม่ได้”
สัญชาตญาณบอกเขาว่า หากใช้ร่างกายตอบแทนจริงๆ ภายภาคหน้าเขาจะยิ่งพบด้านที่น่าสนใจในตัวนางมากขึ้น ไม่แน่อาจจะได้กินของอร่อยมากกว่านี้อีก
บุรุษตรงหน้าปรากฏตัวมาตั้งนานแล้ว นี่ถือเป็นประโยคที่เป็นผู้เป็นคนมากที่สุด
น้ำเสียงการพูดประโยคนี้ค่อยเหมาะสมกับรัศมีของเขามากกว่าท่าทางและคำพูดยามขอกินนกย่างต่างๆ นานาเมื่อครู่มาก
แต่ความหมายของคำพูดนี้ เยี่ยเม่ยฟังแล้วไม่ต่างกับเรื่องตลกเลย
นางปรายตามองเขาไร้คำพูด เตือนเสียงนิ่งว่า “ความสุขในชีวิตคนเราเป็นเรื่องสำคัญ ข้าแนะนำว่าท่านอย่าได้ฝากฝังชีวิตไว้กับผู้อื่นง่ายๆ แบบนี้ ท่านไม่รู้ความเป็นมาของข้า ทั้งไม่รู้ว่าข้ามีเป้าหมายอื่นหรือไม่ แม้กระทั่งชื่อข้า ท่านก็ยังไม่รู้เลย คำพูดพวกนี้เอ่ยออกมาได้อย่างโง่เขลานัก!”
“ต่อให้ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่เหตุใดข้าต้องกลัวด้วย ใต้หล้านี้ยังมีปริศนาที่ข้าหาคำตอบไม่ได้ หรือสถานการณ์ที่ข้าแก้ไม่ตกอย่างนั้นหรือ” เสินเซ่อเทียนย้อนถามแทนคำตอบ
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือเสินเซ่อเทียน
ชั่วชีวิตเขาไม่เคยหวาดกลัว ทั้งไม่อาจหวาดกลัวด้วย
เยี่ยเม่ยไม่มีอารมณ์ถกเรื่องไร้สาระกับเขา เอ่ยไปตรงๆ ว่า “อ้อ อย่างนั้นก็ขอโทษด้วยแล้ว ก่อนอื่นข้าไม่อาจย่างนกให้ท่านกินได้ทุกวัน ข้าหาใช่คนจำพวกภรรยาแม่ศรีเรือนพวกนั้น อีกอย่าง ตอนนี้ข้าก็มีคู่หมั้นแล้ว ถึงข้าคิดว่าความสัมพันธ์นี้จะรักษาไว้ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น แต่ว่าในยามนี้ข้ายังมีคู่หมั้นอยู่ ดังนั้นท่านเลิกคิดใช้ร่างกายเข้าตอบแทนเถอะ”
เสินเซ่อเทียนเลิกคิ้ว ถามว่า “ไม่ทราบว่าใครคือผู้โชคดีเป็นคู่หมั้นของเจ้ากัน”
“เป่ยเฉินเสียเยี่ยน!” เยี่ยเม่ยไม่คิดปิดบัง
เสินเซ่อเทียนพลันตกตะลึง จ้องมองเยี่ยเม่ย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก ถามเสียงนิ่งว่า “เจ้าก็คือเยี่ยเม่ย?