เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 282 หวังให้เยี่ยเม่ยกลับมาปกครองบุรุษรูปงามทั้งหลายเสียที
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]
- ตอนที่ 282 หวังให้เยี่ยเม่ยกลับมาปกครองบุรุษรูปงามทั้งหลายเสียที
ครั้นเห็นสีหน้าอึ้งของเยี่ยเม่ย
เสินเซ่อเทียนกลับลุกขึ้น น้ำเสียงทรงอำนาจกล่าวว่า “ข้ายังมีธุระอื่นอีก ขอตัวก่อน พวกเราต้องได้พบกันอีกแน่!”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็จากไป
เยี่ยเม่ยยังคงถือป้ายเอาไว้ คิดมอบคืนให้เสินเซ่อเทียน แต่นางก็รู้ว่าคงคืนกลับไปไม่สำเร็จ หรือว่า…ทิ้งดี
ในขณะที่ครุ่นคิด
เสินเซ่อเทียนเอ่ยโดยไม่หันกลับมาว่า “ป้ายอันนี้เจ้าเก็บไว้ก่อนเถอะ อย่าทิ้งเชียว ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นความจริงใจจากข้า ต่อให้เจ้าไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องดูแคลน จริงไหม”
เขาไม่ข่มขู่ไม่ให้เยี่ยเม่ยทิ้ง เพราะเขาดูออกว่า นิสัยของนางข่มขู่ไปไม่ได้ผล
กระทั่งว่าหากเขาข่มขู่ไป ผลน่าจะเป็นไปในทางตรงข้ามมากกว่า
ดังนั้นเขาใช้คำว่า “ความจริงใจ” เพื่อไม่ให้เยี่ยเม่ยโยนป้ายทิ้งไป
ผลเป็นดังคาด เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ รู้สึกอยู่ในใจว่าบุรุษผู้นี้เจ้าแผนการไม่เบา เขารู้ว่าเอ่ยเช่นนี้ นางคงไม่โยนทิ้งใช่หรือไม่
ระหว่างที่ไม่มีการเอ่ยคำพูด นางเก็บป้ายไว้ในแขนเสื้อ ทั้งคร้านจะสนใจอีก พลิกกายขึ้นม้าห้อตะบึงจากไป
……
เสินเซ่อเทียนสาวเท้ากว้างจากมา
เฉิงเสี่ยวจวนมีสีหน้าราวถูกสายฟ้าฟาดติดตามอยู่ด้านหลังเขา รู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ ถามเสียงสั่นว่า “จวินซ่าง ท่านเอาจริงอย่างนั้นหรือ”
เสินเซ่อเทียนท่าทางทรงอำนาจ น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นว่า “ตัวข้าดูเหมือนไม่จริงจังอย่างนั้นหรือ”
เฉิงเสี่ยวจวนอดทนไม่ไหวกลืนน้ำลายคำหนึ่ง ก็เพราะดูจริงจังเกินไป ถึงทำให้คนกังวลมาก เข้าใจหรือเปล่า
หญิงสาวเตือนว่า “จวินซ่าง ท่านอย่าลืมเชียว นางคือคู่หมั้นขององค์ชายสี่!”
เสินเซ่อเทียนเลิกคิ้ว ปรายตามองนาง “เยี่ยเม่ยบอกเองว่า ยังไม่แน่ว่าจะเลือกเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากข้ายอมถอยให้เจ้าหนูเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สุดท้ายนางเลือกกูเยว่อู๋เหินยิ่งไม่ใช่เรื่องตลกหรอกหรือ”
“อ้อ…” เฉิงเสี่ยวจวนนิ่งไปสักครู่ ยามนี้จนปัญญาโต้แย้ง
ก็ถูก หากจวินซ่างยอมถอยให้แล้ว สุดท้ายเยี่ยเม่ยเลือกกูเยว่อู๋เหินเล่า อย่างนั้นไม่เท่ากับจวินซ่างยอมถอยให้กูเยว่อู๋เหิน
ขณะที่นางนิ่งไป
เสินเซ่อเทียนก็เอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง สตรีเพียบพร้อม บุรุษต่างหมายปอง สตรีที่จะอยู่ร่วมกันไปชั่วชีวิต ไฉนถึงยอมถอยได้”
“…!” เฉิงเสี่ยวจวนไม่รู้ว่าตนควรตอบว่าอย่างไรดี
ในยามนี้ เป่ยเจี้ยนเกอกลับมาจากพาม้าไปกินหญ้า ถามขึ้นว่า “จวินซ่าง พวกเราจะเดินทางต่อหรือยัง”
“กลับเมืองหลวง!” เสินเซ่อเทียนตอบกลับ จากนั้นเอ่ยต่อว่า “กลับเมืองหลวงก่อน ทูลฝ่าบาทว่าเยี่ยเม่ยหาได้มีภัยคุกคาม”
เฉิงเสี่ยวจวน “…ขอเรียนถามจวินซ่าง ท่านดูออกได้อย่างไรว่านางไม่เป็นภัยกับราชสำนักเป่ยเฉิน”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว น้ำเสียงทรงอำนาจก็อธิบายทันที “เมื่อครู่ยามนางได้ยินชื่อของข้า หาได้แตกตื่น พิสูจน์ได้ว่าแม้แต่ข้านางยังไม่รู้จัก หากนางคิดทำลายราชสำนักเป่ยเฉินจริง ย่อมไม่มีทางละเลยบุคคลชื่อดังอย่างข้าแน่!”
เฉิงเสี่ยวจวนพยักหน้า “จริงด้วย! ความสำคัญของจวินซ่างที่มีต่อราชสำนักเป่ยเฉินไม่ใช่ธรรมดาเลย ท่านคือเกราะกำบังของราชสำนักเป่ยเฉิน การดำรงอยู่ของจวินซ่าง เป็นแนวป้องกันที่มั่นคงที่สุดของราชสำนักเป่ยเฉิน หากเยี่ยเม่ยคิดทำลายราชสำนักเป่ยเฉิน…”
จะไม่รู้จักแม้กระทั่งจวินซ่างได้อย่างไร
ในขณะที่นางคิด เสินเซ่อเทียนก็เอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง นางยอมยกนกที่ย่างมีกลิ่นหอมฟุ้งไปนับสิบลี้และมีรสโอชาให้กับคนไม่รู้จัก สตรีเช่นนี้จะมีเจตนาร้ายได้เช่นไร”
เฉิงเสี่ยวจวน “…”
จวินซ่าง ท่านไม่ต้องเน้นคำว่ารสโอชา สุกแล้วกับกลิ่นหอมฟุ้งไปสิบลี้ได้ไหม! ข้ารู้ว่าท่านตะกละ แต่ว่ายามคุยเรื่องงานช่วยโยนเรื่องนี้ออกไปก่อนจะได้หรือไม่
อ้อ จริงสิ สำหรับจวินซ่างแล้วอาหารอร่อยถึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง
นางมีสีหน้าเฉยชาเอ่ยว่า “ดังนั้น…ความหมายของจวินซ่างคือ กินนกย่างของผู้อื่นไปแล้ว ท่านก็รู้สึกว่าผู้อื่นมีจิตใตเมตตาแล้วหรือ”
เสินเซ่อเทียนไม่ตอบแต่ย้อนถาม “หรือเจ้าคิดว่ายังมีเมตตาไม่พอ หากเป็นข้าต่อให้ใช้มีดจี้คอ ข้าก็ไม่มีทางส่งนกย่างออกไปอย่างแน่นอน”
เฉิงเสี่ยวจวน “…อ้อ!”
โลกของจอมตะกละ นางไม่มีปัญญาเข้าใจ
เสินเซ่อเทียนสั่ง “ไปเถอะ!”
เขาต้องเดินทางกลับเมืองหลวงรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาทด้วยตนเอง มิเช่นนั้นฝ่าบาทคงสงสัยว่าเยี่ยเม่ยมีเจตนาร้ายต่อไป ในเมื่อเขาถูกใจสตรีนางนี้ รวมถึงขอแต่งงานแล้ว ก็สมควรปกป้องนาง
แน่นอนเงื่อนไขอันดับแรกก็คือนาง…ไม่มีวันเป็นภัยกับราชสำนักเป่ยเฉิน
เสินเซ่อเทียนพลิกกายขึ้นม้า จากไปด้วยความเร็ว
“เจ้าค่ะ!” เฉิงเสี่ยวจวนก็รีบปีนขึ้นหลังม้าติดตามอยู่ด้านหลัง
เป่ยเจี้ยนเกอกลับไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ตามไปอยู่ด้านหลัง อดใจไม่ไหวถามออกว่า “พวกท่านพูดอะไรกัน หรือพวกท่านพบเยี่ยเม่ยแล้ว”
“แม่นางที่ย่างนกผู้นั้นก็คือเยี่ยเม่ย!” เฉิงเสี่ยวจวนตอบเขา ทั้งยังส่งสายตาบุ้ยใบ้ไปที่แผ่นหลังของจวินซ่าง มองเป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยว่า “เท่านั้นยังไม่พอ จวินซ่างขอเยี่ยเม่ยแต่งงานแล้ว!”
“อะไรนะ ? !” เป่ยเจี้ยนเกอเกือบเซตกม้า
ทั้งยังรู้สึกฟ้าดินพลิกกลับตาลปัตรไปหมด เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาแค่พาม้าไปกินหญ้า ไฉนกลับมาโลกก็เปลี่ยนไปเป็นมีสีสันแล้วเล่า
จวินซ่างจะก่อเรื่องให้ได้ใช่หรือไม่
เห็นสีหน้าทึ่งเกินเหตุของเป่ยเจี้ยนเกอ เฉิงเสี่ยวจวนเหลือบมองท้องฟ้า “เจ้ารู้สึกสิ้นหวังหรือ ความจริงข้าสิ้นหวังมาก!”
จวินซ่างกับองค์ชายสี่ยังไม่ทันจะมีเรื่องกันเพราะแผ่นดิน ตอนนี้ก็จะมีเรื่องกันเพราะสตรีนางหนึ่งก่อนเสียแล้ว อย่าทำแบบนี้จะได้หรือไม่ ?!
เป่ยเจี้ยนเกอ “หรือข้าฝันไป!”
เฉิงเสี่ยวจวน “ข้าว่าข้าก็เหมือนกัน เฮ้อ ความฝันนี้ช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน!”
“ข้าก็รู้สึกว่าสมจริงเกินไปแล้ว ถึงจะเป็นฝันที่เป็นจริง แต่ว่าข้ายังอยากถามเจ้าว่า ไฉนจวินซ่างถึงขอเยี่ยเม่ยแต่งงานในฝันของพวกเราเล่า จวินซ่างบอกเหตุผลหรือไม่” เป่ยเจี้ยนเกอพยายามคิดหลอกลวงตัวเอง ต้องฝันไปอย่างแน่นอน
เฉิงเสี่ยวจวนแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง กลอกตามองฟ้า “ถึงจวินซ่างบอกเหตุผลมามากมาย แต่ว่าข้าเข้าใจดีว่าต้องเกี่ยวพันกับนกย่างทั้งหอมทั้งอร่อยตัวนั้นอย่างแน่นอน!”
คิดจะมัดใจจอมตะกละ อันดับแรกก็เอาใจกระเพาะเขาให้อยู่
……
ชายแดน
ลำแสงหลากสีสันสาดสว่างเป็นระลอกๆ นั่นคือกำลังภายในของคนทั้งสี่สร้างเป็นความรู้สึกลายตา เหล่าแม่ทัพทหารทั้งหลายขมวดคิ้วแน่น มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างหวั่นหวาด
ที่นี่คือชายแดนที่อาจเกิดศึกระหว่างสองแคว้นได้ทุกเมื่อ สถานที่ตึงเครียดเช่นนี้ ยอดฝีมือแห่งยุคเหล่านี้เอะอะก็ลงมือต่อยตีกันที่นี่ ไม่มีใครสนใจการศึก หน่วยสอดแนมได้รับข่าวมาก็ไม่รู้จะรายงานใคร
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้…
เหมาะสมแล้วหรือ
เซียวเยว่ชิงปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างจนปัญญา “หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะกลับมาปกครองคนเหล่านี้โดยไว!”
เขาใช้คำว่า ปกครอง
นี่คือปัญหาด้านการรักษาความสงบของชายแดน มีเพียงแต่แม่นางเยี่ยเม่ยที่คลี่คลายได้
หลูเซียงฮั่วเองก็หวาดหวั่น “พวกเขาต่อสู้กันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่หิวกันบ้างหรือ”