เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 287 กูเยว่ขาดสตรี ขาดฮูหยิน!
ความจริงอารมณ์ของเยี่ยเม่ยมิได้ดีไปมากกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนัก
หลังจากนางควบม้าจากมาพร้อมกูเยว่อู๋เหิน ก็หาที่สงบที่หนึ่งลงจากม้ากวาดตามองบุรุษเบื้องหน้า
กูเยว่อู๋เหินก็รีบลงจากหลังม้า ชายเสื้อเขาโบกไสว ลายปักบัวดำบนอาภรณ์ขาวปลอดของเขายิ่งขับเน้นรสนิยมอันสูงล้ำของเขา
ใบหน้างดงามวิจิตร น่ามองจนคนไม่อาจละสายตา กระทั่งไม่กล้าสบประมาท
เมื่อเห็นบุรุษตรงหน้า เยี่ยเม่ยคิดถามจุดประสงค์ในการมาของเขา แต่พลันฉุกคิดได้ว่า ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมา ชิงดึงขลุ่ยหยกแดงออกจากเอว ยื่นให้กูเยว่อู๋เหิน “ประมุขกูเยว่ ของสิ่งนี้ ข้าคิดว่าข้าสมควรคืนให้กับท่าน!”
ในเมื่อกูเยว่อู๋เหินมาหาด้วยตัวเอง ก็น่าจะเกี่ยวพันกับขลุ่ยเลานี้จริงๆ รวมถึงเกี่ยวพันกับความหมายของขลุ่ยเลานี้ด้วย
ก่อนหน้าไม่อาจกลับไปคืนของได้ ยามนี้ผู้อื่นมาถึงแล้ว นางย่อมชิงเอ่ยปากคืนของ
กูเยว่อู๋เหินชะงักงัน ต้องมองขลุ่ยหยกแดงในมือนาง สงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่ช้าเส้นเสียงสงบนิ่งของเขา เอ่ยว่า “ของของข้า คิดรับไว้ก็รับ คิดคืนก็คืนมาง่ายๆ ได้อย่างนั้นหรือ”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกกระอักกระอ่วน
หากปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจเช่นนี้ต่อไป จะยิ่งเป็นการทำให้เขาคิดว่านางไม่เคารพเขาหรือเปล่า
นางทำหน้าจริงจัง ใบหน้าเย็นชาพลันเกิดแววขอโทษ จ้องกูเยว่อู๋เหินเอ่ย “ก่อนหน้าที่จะรับมันไว้ เพราะหลงคิดว่าเป็นแค่ของธรรมดาเท่านั้น แต่หลังออกมาจากหมู่ตึกกูเยว่แล้ว ข้าถึงรู้ว่ามันยังมีความหมายอื่นอีก ดังนั้นข้าไม่อาจรับไว้!”
นางเอ่ยเช่นนี้ กูเยว่อู๋เหินเลิกคิ้ว
กลับก้าวขึ้นหน้าไป มองนางอย่างคาดคั้น เขาสูงกว่านางมาก เมื่อมีบุรุษสงบนิ่งเช่นนี้เข้าใกล้ ย่อมยากจะสะกดความกดดัน เยี่ยเม่ยรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง คิดถอยไปก้าวหนึ่ง ทว่าสัญชาตญาณบอกนางว่าหากนางถอย ก็เป็นฝ่ายแพ้ ห้ามคืนของเขาอย่างดึงดันเช่นนี้ นางจึงยืนนิ่ง
นางบังคับตัวเองสงบลง ทั้งจ้องตากับเขาด้วยความเข้มแข็ง
จากนั้นน้ำเสียงนิ่งเฉยของกูเยว่อู๋เหินก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ความหมายอื่นของมันหรือ นั่นหมายความว่าอะไร”
“อ้อ…” เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าตัวเองสะดุดแล้ว
ยามนี้ไม่รู้สมควรเอ่ยว่าอย่างไร
บอกตามตรงว่าหมายถึงการขอแต่งงาน หมายถึงการหมั้นหมาย แสดงออกไปว่านางมีหนังหน้าหนานัก แต่ว่านางก็เกริ่นมาแล้ว ยามนี้ก็ไม่อาจแสร้งบอกว่าไม่รู้
สีหน้านางเปลี่ยนไปไม่น้อย ไม่เงยหน้ามองคนตรงหน้า ถึงนางไม่ใช่พวกนางมารที่เห็นบุรุษรูปงามก็เดินไม่ไหว ยินยอมมอบชีวิตของตนออกไปอย่างไร้เหตุผลเพื่อชายงาม แต่ว่า…
สำหรับรูปงามวิจิตรสุดยอดเช่นนี้ ขอเพียงเป็นมนุษย์ล้วนไม่อาจขัดขืนได้
ดังนั้นนางไม่คิดมองเขาในระยะประชิด เพียงก้มหน้าเอ่ย “ความหมายคืออะไร ประมุขกูเยว่รับรู้อยู่ในใจชัดเจน ไม่ใช่หรือ”
ในเมื่อนางพูดไม่ออก อย่างนั้นตอบกลับไปเช่นนี้ก็ดี
ทว่าคิดไม่ถึงว่า กูเยว่อู๋เหินไม่คิดยอมปล่อยไป ทั้งไม่พอใจกับคำตอบนางมาก น้ำเสียงนิ่งสงบเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยต้องเอ่ยให้ชัดเจน ในใจเจ้าคิดว่าเป็นสิ่งใด กูเยว่ถึงเข้าใจว่าความหมายที่เจ้าคิดว่าเหมือนกับกูเยว่คิดหรือไม่ พูดไม่ชัดแล้วจะคืนของ กูเยว่หาใช่คนคบหาได้ง่ายๆ เช่นนี้”
เยี่ยเม่ย “…”
ทำไมนางถึงดูไม่ออกเลยนะว่าบุรุษที่ดูนิ่งเฉยผู้นี้ ความจริงแล้วคือคนที่จัดการได้ยากนักเช่นนี้
นางพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ถูกความหล่อเหลาล่อลวง เงยหน้ามองเขาเอ่ย “ไม่ใช่หมายถึงของหมั้นหรืออย่างไร”
เมื่อเอ่ยจบ นางรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว ไม่ใช่ความขัดเขิน แต่คือความอึดอัด
หากประโยคต่อไป กูเยว่อู๋เหินเอ่ยว่า ของชิ้นนี้หาใช่ของหมั้นหมาย นางจะยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่
ก็ได้
กูเยว่อู๋เหินหาได้คิดทำให้นางยิ่งอึดอัด เขาฟังแล้วก็พยักหน้า น้ำเสียงราบเรียบทวนคำพูดของนาง “อืม หมายถึงของหมั้นหมาย ของหมั้น…”
เยี่ยเม่ยพูดไม่ออก ไฉนนางรู้สึกว่าเขาจงใจกันนะ
นางเข้าใจผิดกระมัง
แต่ว่า ท่าทางเขาดูเหมือนคนห่างเหินเฉยชา ไม่เก็บเอาเรื่องราวบนโลกมาใส่ใจ ไม่เก็บไว้ในสายตา จะจงใจกลั่นแกล้งนางจริงๆ อย่างนั้นหรือ
ไม่!
เยี่ยเม่ยส่ายหัวอยู่ในใจ นางคิดมากไปแล้วแน่ ปฏิกิริยาแบบนี้ของเขา ดูแล้วคงเป็นเพราะโมโหและไม่พอใจเท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงสมกับภาพลักษณ์สันโดษเย็นชาของกูเยว่อู๋เหินที่อยู่ในใจนาง
คิดไม่ถึงว่า ถัดมากูเยว่อู๋เหินกลับเลิกคิ้ว จ้องเยี่ยเม่ย ถามว่า “หมั้นก็หมั้นแล้ว บอกว่าไม่นับได้ก็ไม่นับหรือ”
เยี่ยเม่ย “…นี่คือการหมั้นหมายฝ่ายเดียว ข้าไม่รู้เรื่องเลย อีกอย่าง คนอย่างประมุขกูเยว่คงไม่ขาดสตรี ทั้งยิ่งไม่ขาดฮูหยิน ดังนั้นข้าคิดว่า…”
นางเอ่ยถึงตรงนี้ กูเยว่อู๋เหินตัดบทว่า “ใครพูดกัน”
“อ้อ” เยี่ยเม่ยช้อนตามองเขา ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขา
เขาเห็นนางเหม่อมองตน เขารู้สึกขบขันอยู่บ้าง แต่สีหน้าเขายังคงนิ่งสงบไม่เปลี่ยน กลับเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าขาด”
“หา” เยี่ยเม่ยยิ่งตะลึงแล้ว
เห็นท่าทางตะลึงงันโง่งมของนาง กูเยว่อู๋เหินเสริมคำพูดเรียบๆ ว่า “กูเยว่ขาดสตรี ทั้งขาดฮูหยิน”
เยี่ยเม่ย “…” คำพูดนี้ของท่านข้าหมดปัญญาตอบ อยู่ๆ ท่านก็ซุกซนเช่นนี้ ข้าจนปัญญาสู้ด้วยแล้ว !
อย่ามีท่าทางนิ่งสงบแฝงแววซุกซนนี้ได้หรือไม่
“แต่คนผู้นี้ต้องไม่ใช่ข้า!” เยี่ยเม่ยถอนใจเบาๆ ยื่นขลุ่ยหยกโลหิตในมือให้กูเยว่อู๋เหิน ท่าทางยืนหยัดมอบของในมือคืนกลับสู่เจ้านายเดิมของมัน
กูเยว่อู๋เหินยังไม่ยื่นมือรับเหมือนเคย
ความไม่พอใจแต่แรกกลับลดไปมาก เดิมเขาคิดว่าสตรีนางนี้รับของแทนใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ยังรับของของเขาอีก นางจงใจปั่นหัวเขา ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียมาก
ยามนี้ดูแล้วก่อนหน้านางคงไม่รู้ความหมายของขลุ่ยหยกโลหิตจริงๆ ไม่เช่นนั้นหลังจากนางรับไปแล้ว ต้องมาเสียแรงหวังให้เขาเอาของกลับไปในยามนี้
เขาจ้องตานาง เอ่ยเสียงนิ่งว่า “เพราะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ แต่ก็ไม่ทั้งหมด!” ในเสียงของเยี่ยเม่ยเผยความเหน็ดเหนื่อยยากปกปิด ยามนี้สิ่งที่ต้องจัดการคือ ความสัมพันธ์ของนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่สิ่งที่นางไม่อยากเผชิญหน้าที่สุดในยามนี้ก็คือความสัมพันธ์ของนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
คำตอบนี้ทำให้กูเยว่อู๋เหินเลิกคิ้ว รู้สึกสนใจอยู่บ้าง
เขานิ่งไปสักครู่มองเยี่ยเม่ย เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ว่าเพราะอะไร ขลุ่ยหยกโลหิตนี้ข้าไม่รับกลับแน่”
เยี่ยเม่ยเงียบ อย่างนั้นท่านถามเหตุผลข้าทำไมเล่า
ท่านดื้อแพ่งเช่นนี้ดีจริงหรือ