เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 288 ความสัมพันธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเสินเซ่อเทียน!
- Home
- เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]
- ตอนที่ 288 ความสัมพันธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเสินเซ่อเทียน!
ระหว่างที่เยี่ยเม่ยจนคำพูดอยู่นั้น
กูเยว่อู๋เหินเอ่ยคำพูว่า “นอกจาก…”
หืม
เยี่ยเม่ยมองเขา “นอกจากอะไร”
มีคำว่านอกจากนั่นก็หมายความพอหารือกันได้
สีหน้าสงบนิ่งของเขา เอ่ยว่า “นอกจาก เจ้าตาย ขลุ่ยเลานี้ ข้าค่อยเก็บคืนมา”
เยี่ยเม่ยหมดคำพูด ไม่ต้องบอกคำแช่งของท่านให้ข้าฟังได้หรือเปล่า !
ครั้นสนทนากันมาถึงตรงนี้
กูเยว่อู๋เหินกวาดตามองขลุ่ยในมือนางนิ่งๆ เอ่ยว่า “หลายวันนี้ข้าพักอยู่ชายแดน ส่วนขลุ่ยเลานี้ถ้าเจ้าไม่อยากรับไว้จริงๆ ไม่สู้หักทิ้งไปเถอะ”
เมื่อเขาเอ่ย เยี่ยเม่ยก็เริ่มมีอารมณ์โทสะขึ้นมาบ้าง
คืนของยากเย็นเช่นนี้มีที่ไหนกัน
ป้ายของเสินเซ่อเทียนคืนไม่สำเร็จก็ทำให้นางกลัดกลุ้มมากแล้ว คราวนี้กูเยว่อู๋เหินยังให้นางหักขลุ่ยเลานี้ทิ้งเสียอีก เขาคิดว่านางไม่กล้าหรืออย่างไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้ แววตาเยี่ยเม่ยฉายความโกรธ สองมือกุมขลุ่ยหยกโลหิตไว้หมายจะหักทิ้ง ในเวลาเดียวกันนั้น
กูเยว่อู๋เหินเอ่ยปากว่า “แต่ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าหักจะดีกว่า หากหักแล้ว ข้าจะร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้เป็นศัตรูกับเจ้า”
เยี่ยเม่ย “…?”
ดูท่าแล้วคนผู้นี้รู้เรื่องดีไม่น้อยเลย ถึงกับรู้เรื่องความสัมพันธ์ร้อนระอุของนางกับเป่ยเฉินอี้
กูเยว่อู๋เหินเอ่ยจบ ก็ไม่รอปฏิกิริยาตอบสนองของเยี่ยเม่ย ทั้งยังหมุนตัวจากไปโดยไม่ใส่ใจความรู้สึกของนาง
นางจ้องแผ่นหลังของบุรุษผู้นี้ เห็นความเย็นชาเฉยเมยจากแผ่นหลังเขา ดูท่ากูเยว่คนนี้หาใช่บริสุทธิ์ไม่ยุ่งเรื่องทางโลก เขาเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้ง เพียงคร้านจะยุ่งเท่านั้น
แต่นี่นับเป็นอันใดเล่า
คิดจะลดตัวลงมาเกลือกกลั้วเรื่องทางโลกแล้วหรือ เพราะอะไร เพื่อนาง?! เยี่ยเม่ยรู้สึกอย่างล้ำลึกว่า ในตอนนี้นางไม่ต้องการ ‘ความรัก’ เช่นนี้
นางจ้องขลุ่ยหยกโลหิตในมือตนอยู่นาน ในใจก็เริ่มคุด้วยเพลิงโทสะ แต่…คิดถึงเป้าหมายของตนในวันนี้ เดิมทีก็มีเป่ยเฉินอี้เป็นศัตรู หากกูเยว่อู๋เหินยังยืนข้างเดียวกับเป่ยเฉินอี้อีก สำหรับนางสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิม
เมื่อคิดได้ นางก็ล้มเลิกความคิดที่จะหักขลุ่ยไปเสีย ในใจยังมีเพลิงโทสะหลงเหลือ
นางยืนอยู่ที่เดิมมองแผ่นหลังของกูเยว่อู๋เหินอยู่นาน แค่นเสียงเบาออกมาคำหนึ่งค่อยก้าวเท้ากว้างๆ กลับชายแดน
……
กูเยว่อู๋เหินกลับเข้าใจดี ชายแดนคือถิ่นของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาย่อมไม่พักอยู่กลางเมือง เขาหาโรงเตี๊ยมสงบเงียบในเมืองแห่งหนึ่งพักด้วยตัวเอง
ทันทีที่เขามาถึง เฉิงฉู่ก็เหมาโรงเตี๊ยมเอาไว้ กันไม่ให้คนรบกวน
หลังจากกลับถึงโรงเตี๊ยม เขาสั่งการเรียบๆ ว่า “จับตาดูสถานการณ์การศึกและการเคลื่อนไหวที่ชายแดนไว้ การเคลื่อนไหวของเยี่ยเม่ยทุกอย่างต้องมารายงานข้า”
“ขอรับ!” เฉิงฉู่รับรับคำทันที
……
เยี่ยเม่ยกลับถึงเมือง ก็เห็นซือหม่าหรุ่ยหน้ากลัดกลุ้มมองนาง
เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง “มีเรื่องอะไร มาคุยกันในห้องข้า!”
เมื่อเอ่ยแล้ว นางก็จ้ำพรวดๆ กลับไปห้องตัวเอง ซือหม่าหรุ่ยติดตามไปอย่างรวดเร็ว คราวนี้คนของเป่ยเฉินอี้ก็ฉลาดขึ้นแล้ว ไม่มีใครขวัญกล้าจับตามองเยี่ยเม่ยอีก
เยี่ยเม่ยและซือหม่าหรุ่ยเข้ามาถึงในห้อง เยี่ยเม่ยเอ่ยขึ้นโดยไม่หันกลับไปมอง “เจ้าคงมีคำถามอยากถามข้า!”
“ใช่!” ซือหม่าหรุ่ยรีบเอ่ยถาม “ข้าแปลกใจมาก ทำไมหลังจากที่เจ้ากลับมาแล้วยังช่วยเป่ยเฉินทำศึกอีก!”
ยามที่นางเห็นเยี่ยเม่ยนำทหารเป่ยเฉินไล่สังหารทหารต้ามั่ว ในเสี้ยวขณะนั้นนางสงสัยเหลือเกินว่า เยี่ยเม่ยยังจงรักภักดีต่อราชสำนักเป่ยเฉินมากกว่าทหารทั้งหลายของเป่ยเฉินเสียอีก
เยี่ยเม่ยเดินมาถึงข้างโต๊ะ นางวางมือเคาะโต๊ะเบาๆ วิเคราะห์สถานการณ์ให้ซือหม่าหรุ่ย “ราชสำนักเป่ยเฉินมีทหารอยู่เท่าไหร่”
“อืม สิบสองล้านคน!” ซือหม่าหรุ่ยบอกตัวเลขไป
เยี่ยเม่ยถามต่อว่า “ราชสำนักเป่ยเฉินมีประวัติศาสตร์ยาวนานกี่ปีแล้ว”
“หลายร้อยปีแล้ว!” ซือหม่าหรุ่ยตอบ พลางมุ่นคิ้ว
จากนั้น เยี่ยเม่ยถามต่อ “ราชสำนักของเป่ยเฉินนับว่ามั่นคงหรือไม่”
“มั่นคง!” ยามนี้ซือหม่าหรุ่ยตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องราวแล้ว จึงเอ่ยอย่างว่องไว “ที่เจ้าคิดก็ไม่ผิด หลายปีที่ผ่านมาราชวงศ์เป่ยเฉิน ถึงจะมีตัวประหลาดอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ว่าก็ถือเป็นบ้านเมืองที่มั่งคั่งมั่นคงที่สุดของภาคกลาง ยามนี้ยังรวบรวมดินแดนภาคกลางเอาไว้ ขุมพลังที่พวกเขาถืออยู่ไม่อาจดูแคลนได้!”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า กวาดตามองซือหม่าหรุ่ย “อย่างนั้นพวกเราเล่า พวกเรามีอะไรบ้าง”
“นี่…” ซือหม่าหรุ่ยตกสู่ภวังค์ความเงียบพร้อมกับสีหน้าอึ้ง
พวกนางมีอะไรบ้าง
นอกจากเยี่ยเม่ยคนหนึ่ง นางอีกคนหนึ่งแล้วก็ไม่มีอะไรเลย นางพลันคิดขึ้นมาได้ เอ่ยปากว่า “จริงสิ ยังมีแผนที่ขุมสมบัติที่เซียวเซ่อหยางกับโอวหยางเทารักษาเอาไว้ ปีนั้นราชวงศ์จงเจิ้งล่มสลาย ขุนนางเก่าแก่สองคนย้ายสมบัติของแผ่นดินออกไป เซียวเซ่อหยางกับโอวหยางเทาคือคนรุ่นหลังของพวกเขา…”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยก็มองนางด้วยประกายตายินดี “ข้าลอบหยั่งเชิงเซียวเซ่อหยางแล้ว เขาบอกว่า หากเจ้ามีชีวิตอยู่ เขาก็ยินดีจงรักภักดีต่อเจ้า! ส่วนโอวหยางเทา ข้าเข้าใจเขาดี หากเป้าหมายของเจ้าคือฟื้นฟูราชวงศ์จงเจิ้งกลับมา เขาต้องยินดีช่วยเจ้าแน่!”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า มีผู้ช่วยที่เข้มแข็งเพิ่มขึ้นก็นับว่าดี นางเอ่ยปากว่า “ลำบากเจ้าแล้ว! เพียงแต่ ของที่พวกเรามีอยู่ตอนนี้มีกำลังมากพอจะต่อสู้กับราชสำนักเป่ยเฉินแล้วหรือ”
“นี่…” ซือหม่าหรุ่ยพลันสะอึกไป “ไม่พอ!”
เมื่อเอ่ยจบนางก็ถอนลมหายใจ “มีเพียงเราสองคน แล้วก็พวกเซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทา บวกกับขุมสมบัติเท่านั้น ไม่พอเลย พวกเราต้องการเวลาเตรียมทหารซื้อม้า ต้องการเวลาฝึกทหาร ถึงพวกเราทำเช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะไม่เอาชนะรากฐานนับร้อยปีของเป่ยเฉินได้!”
ถึงซือหม่าหรุ่ยอยากให้เป่ยเฉินจ่ายค่าตอบแทนกลับมามากเท่าไหร่ คิดแก้แค้นเป่ยเฉินอี้เพื่อเยี่ยเม่ยและเพื่อตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ความคิดที่เป็นไปได้
ไม่ช้านางก็เอ่ยต่อ “ไม่เพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินชื่อเสินเซ่อเทียนหรือไม่!”
“เสินเซ่อเทียน” ยามนี้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง เสินเซ่อเทียน นางเคยได้ยิน ไม่เท่านั้นในแขนเสื้อนางยังมีป้ายขอแต่งงานของเขาอีกด้วย
เห็นเยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว คล้ายเคยพบกันมาก่อน แต่หว่างคิ้วมีความสงสัย
ซือหม่าหรุ่ยอธิบาย “เสินเซ่อเทียนถูกยกย่องว่าเป็นเกราะกำบังของราชสำนักเป่ยเฉิน หากคิดต่อกรกับราชสำนักเป่ยเฉิน ต้องจัดการเขาให้ได้ !”
“เขา?” เยี่ยเม่ยขมวดคิ้วแน่น
ความจริงนางมองออกว่าบุรุษผู้นั้นไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะเช่นนี้
“แต่ว่า…” ซือหม่าหรุ่ยเสริมต่ออย่างว่องไว “วรยุทธ์ของเขาเป็นสุดยอดฝีมือเกินใครเปรียบ ได้ยินว่าอาจารย์ของเจ้าผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่คือศิษย์พี่ของเขา แต่ว่าในศิษย์ทั้งสำนัก เขามีวรยุทธ์อันดับหนึ่ง! อีกอย่างหนึ่งเจ้าอาจจะยังไม่รู้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือศิษย์เพียงคนเดียวของเขา!”