เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 290 เป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเราจบกันเถอะ!
พูดตามเหตุผลแล้ว เสินเซ่อเทียนนับเป็นผู้มีพระคุณของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เมอซือหม่าหรุ่ยเอ่ย เยี่ยเม่ยพลันยิ้มเย็น “ข้าเข้าใจคำพูดของเจ้า ความจริงต่อให้ไม่เป็นเช่นนี้ ข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ข้าไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้ตัวเองมีความรักกับตระกูลเป่ยเฉินที่สังหารพ่อแม่และน้องชายข้าได้!”
ต่อให้ไม่มีความสัมพันธ์ของเสินเซ่อเทียนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อาศัยความแค้นระหว่างตระกูลเป่ยเฉินกับตระกูลนาง เยี่ยเม่ยก็จนปัญญาจะเกลี้ยกล่อมตัวเองให้สานความสัมพันธ์ใดๆ กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีก
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยพลันนิ่งเงียบ
ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจความรู้สึกที่เยี่ยเม่ยมีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถึงเยี่ยเม่ยดูเป็นคนมีนิสัยเย็นชา แต่ความจริงคนที่เย็นชาในโลกนี้ ยามมีความรักจะยิ่งลึกซึ้ง เพียงแต่พวกเขาคุ้นเคยกับการเก็บซ่อนไว้ในใจ ไม่ถนัดเผยมันออกมา
“จะทรมานใจหรือเปล่า” ซือหม่าหรุ่ยถามออกมา
เยี่ยเม่ยพลับตา เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ช่วงเวลาที่ปวดใจจริงๆ ยังมาไม่ถึง!”
ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจแล้ว
ก็ถูก เวลาที่เจ็บปวดจริงๆ ก็คือยามที่เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่อสู้กันเพื่อวงศ์ตระกูลของแต่ละคน ตอนนี้ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ซือหม่าหรุ่ยหวั่นไหวอย่างอดใจไม่อยู่ “เยี่ยเม่ย…”
เมื่อเสียงนี้ดังออกมา เยี่ยเม่ยเบิกตามองอีกฝ่าย ใบหน้าดุจน้ำแข็งเช่นเคยเอ่ยเสียงเย็นว่า “วางใจเถอะ ข้าเตรียมใจแล้ว ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหน ก็ไม่อาจเทียบกับความเจ็บปวดเท่าเสด็จพ่อเสด็จแม่ข้าถูกฆ่าตาย ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่สู้ความเจ็บปวดที่น้องชายข้าถูกสังหาร!”
เมื่อเอ่ยออกมา แววตานางฉายความแค้นเสียดกระดูก ซือหม่าหรุ่ยที่เห็นยังใจสั่นไม่น้อย นางทนไม่ไหว เอ่ยว่า “เมื่อก่อนข้าหวังว่าเจ้าจะจำทุกอย่างขึ้นมาได้ แต่ว่ายามนี้เจ้าจำทุกอย่างได้แล้ว กลายเป็นเช่นนี้ ข้าเริ่มกังวลว่าทำอย่างนี้ถูกหรือไม่”
นางกลัวจริงๆ เยี่ยเม่ยที่มีเลือดเนื้อเช่นนี้เคยเป็นอาซีที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่การแก้แค้นเปลี่ยนคนให้เป็นอาวุธแหลมคมเย็นชา ถึงกระทั่งเปลี่ยนเป็นปีศาจเลือดเย็นไร้น้ำใจ
เยี่ยเม่ยไม่คิดคุยเรื่องนี้อีก นางหาได้ใส่ใจว่าทุกอย่างถูกต้องหรือไม่
นางมองฟ้าทีหนึ่ง เห็นว่าเป็นเวลากลางคืนแล้ว เยี่ยเม่ยลุกขึ้น “ข้าจะไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มีคำพูดบางอย่างสรุปแล้วต้องพูดให้รู้เรื่อง! ความจริงแล้ว เพื่อให้ข้าควบคุมอำนาจของเป่ยเฉินไวขึ้น หลอกใช้ความรู้สึกของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุดสำหรับข้า แต่…”
เอ่ยถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยก็กลัดกลุ้ม
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง เอ่ยต่อ “แต่ว่า หลังจากวันนี้ไปไม่ว่าความรู้สึกของใครข้าก็พร้อมจะหลอกใช้ ยกเว้นเขาคนเดียวที่ข้ามิอาจหลอกใช้ได้!”
นางเอ่ยประโยคนี้แล้วก็เดินออกจากประตู
ซือหม่าหรุ่ยมองเงาหลังของอีกฝ่าย ถอนใจเบาๆ รู้สึกเจ็บใจทั้งหมดปัญญา
บางที นี่อาจเป็นชะตาชีวิต
……
เรือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
นับตั้งแต่เยี่ยเม่ยบอกว่าจะมาคุยกับเขาให้รู้เรื่องตอนกลางคืน องค์ชายสี่ก็เฝ้ารอจนฟ้ามืด
อวี้เหว่ยส่งคนทั้งหมดออกไปตั้งแต่แรก เพื่อปล่อยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ยค่อยพูดค่อยจากัน ในเวลานี้เองอวี้เหว่ยเดินเข้ามายื่นของสิ่งหนึ่งให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เตี้ยนเซี่ย ของที่ท่านให้เตรียม จัดการเรียบร้อยแล้ว!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับมาดู ทว่าไม่เอ่ยอะไร อารมณ์ยังหนักอึ้งเหมือนเดิม
ในเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มอับแสง ร่างบางแน่งน้อยของเยี่ยเม่ยพลันปรากฏอยู่หน้าประตู
สายตาเยี่ยเม่ยมองไปที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างตรงไปตรงมา นางกำหมัดแน่น ระบายลมหายใจอยู่ในใจ แล้วค่อยเดินเข้าไป
อวี้เหว่ยรู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล มักคิดว่ายามนี้ตนเองไม่ควรอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาค่อยๆ หมุนตัว รีบถอยออกไป
บรรยากาศเย็นเยียบลง
สายลมราตรีพัดเข้ามาหอบหนึ่ง เย็นเยียบเสียดกระดูกราวกับความรู้สึกของเยี่ยเม่ยในยามนี้
หลังจากเดินเข้ามาถึงกลางเรือน นางพลันชะงักฝีเท้า ไม่เดินหน้าต่อ ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ค่อยๆ ขยับฝีก้าวที่สง่างามราวกับแมว
ชุดแดงของเขาลู่ลม รัดเกล้าที่ทำจากหยกแดงเกล้าผมเขาขึ้น เส้นผมดำขลับปลิวไหวตามสายลมยิ่งเพิ่มความงามน่ามอง ใบหน้าหล่อร้ายกาจนั่นกลับนิ่งสงบ เขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงตรงหน้าเยี่ยเม่ย ฝีเท้าค่อยหยุดชะงักลง คนทั้งสองยืนจ้องหน้ากันกลางเรือน
เวลานี้เยี่ยเม่ยเงียบไม่พูดจา
ความจริงยามที่นางได้ฟังเรื่องในอดีตของเขาจากปากซือหม่าหรุ่ย เสี้ยวนาทีที่นางได้พบเขา ความจริงนางอยากเข้าไปกอดเขา แต่…
เมื่อคิดถึงจุดยืนของพวกเขาทั้งสอง สุดท้ายนางก็อดใจไว้
ถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกมาจับมือนางเอาไว้ วางของบางอย่างไว้กลางฝ่ามือนาง น้ำเสียงน่าฟัง ค่อยๆ กล่าวว่า “โยนขลุ่ยเน่าๆ ของกูเยว่อู๋เหินนั่นทิ้งไป ขลุ่ยเลานี้ของเยี่ยนดีกว่านัก!”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา หัวใจเยี่ยเม่ยสั่นไหว ก้มหน้ามองขลุ่ยในมือตน
เนื้อหยกมันแวววาว ไม่ด้อยกว่าขลุ่ยเลานั้นของกูเยว่อู๋เหินเลยสักนิด
แต่เพราะเหตุนี้ถึงบอกว่าขลุ่ยหยกโลหิตของกูเยว่อู๋เหินเป็นขลุ่ยเน่าๆ เยี่ยเม่ยไม่มีทางเห็นด้วย แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ ที่สำคัญก็คือหยกที่สวยงามชิ้นหนึ่งเช่นนี้ หากจะสลักให้มันออกมาเป็นธรรมชาติเช่นนี้หาใช่สำเร็จได้ภายในเวลาวันสองวัน
เยี่ยเม่ยช้อนตามองเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจว่านางคิดอะไร ค่อยๆ อธิบายด้วยเสียงไพเราะว่า “ครั้งก่อนตอนเจ้านำขลุ่ยเลานี้กลับมา เยี่ยนก็สั่งให้คนทำของแทนขึ้นมาแล้ว บังเอิญว่าเจ้าเพิ่งกลับมาวันนี้ มันก็ทำเสร็จพอดี เจ้าลองเป่าดู ทดลองว่าพอใจเสียงของมันหรือไม่”
กระบอกตาเยี่ยเม่ยร้อนผ่าว เขาดีต่อนางจริงๆ และเพราะความดีเช่นนี้ ทำให้หัวใจนางคล้ายสั่นคลอน จนแทบลืมว่าเขาคือคนของราชวงศ์เป่ยเฉิน ลืมเลือนความแค้นล้างตระกูลระหว่างพวกเขา
นางเกือบปล่อยตัวไปตามหัวใจ ปล่อยไปตามความรู้สึกของตน เลิกตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาแล้ว ขอเพียง…ขอเพียงก่อนที่ความจริงทุกอย่างจะถูกเปิดเผย ถนอมความอบอุ่นที่เหลืออยู่ไม่กี่วันนี้ไว้ได้ก็คงดี
แต่…
สุดท้ายนางก็ไม่อาจทนมองสายสัมพันธ์เชื่อมต่อระหว่างพวกเขาไว้ได้ สุดท้ายนางยังคงแค้นคนของเป่ยเฉินทุกคน รวมถึงเขาด้วย
นางพลันพลิกฝ่ามือ
ถัดมา ขลุ่ยหยกในมือนางก็ตกลงพื้น เช่นเดียวกับความจริงใจของเขาร่วงหล่นลงไปด้วย
“เพล้ง!” เกิดเสียงดังขึ้น
เสียงใสดังจากพื้น หยกสีแดงแตกกระจายเต็มพื้น
เสี้ยวเวลานี้เอง สายตาเย็นเยียบของเยี่ยเม่ยมองเขา ดวงตาเผยความเย็นชา ไร้เยื่อใย รวมถึงมีกระแสความแค้นที่ไม่จับสังเกตได้ง่าย น้ำเสียงนางเย็นเยือก “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเราจบกันตรงนี้เถอะ!”
เขาตะลึง ดวงตาคู่ร้ายมองขลุ่ยหยกแดงแตกกระจายที่พื้น ยังไม่ทันโมโหเพราะเรื่องขลุ่ย ก็ได้ยินประโยคเสียดแทงใจ เขาหันขวับมองนาง ถามออกมาทีละคำ “พูดเช่นนี้ หมายความว่าอะไร”
เยี่ยเม่ยกัดฟัน เอ่ยอีกครั้งโดยไม่ลังเลว่า “ข้าบอกว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเราจบกันเถอะ!”