เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 298 ใจบาป ท่านมันคนใจบาป
เฉิงฉู่มุมปากกระตุก แอบเงยหน้ามองนายท่านของตน “นายท่าน ท่านเอาจริงหรือ”
เขาถามออกมาเช่นนี้ กูเยว่อู๋เหินกวาดตามองเขานิ่งๆ ถามว่า “มีตอนไหนที่ข้าเคยล้อเล่นกับเจ้าด้วย”
อ้อ…
ก็ดี นายท่านไม่ใช่คนมีอารมณ์ขัน จะมีความคิดล้อเล่นได้ที่ไหนกัน
เขาก้มหน้าลง ใคร่ครวญชั่วครู่ ตอบทันทีว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสลบไปแล้ว อวี้เหว่ยกับเสี่ยวกวนข้างกายเขาเตรียมการรับศัตรูทันที ถึงยามเขาอยู่ชายแดน เหล่าแม่ทัพล้วนหวาดกลัวเขามาก แต่ไม่มีใครกล้าแบกรักษาผลลัพธ์ ถ้าหากองค์ชายสี่ถูกสังหารเพราะการป้องกันหละหลวม ดังนั้นตอนนี้ส่งคนไปสังหารเขา โอกาสคงมีไม่มาก!”
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ เขาแอบมองกูเยว่อู๋เหิน เสริมขึ้นอีกว่า “ไม่เพียงเท่านี้ นายท่านตอนนี้เขาบาดเจ็บ พวกเราส่งคนไปลอบสังหาร ไม่ต่ำช้าไปหน่อยหรือ”
เขารู้สึกว่านี่ต่างหากเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่ว่าอย่างไรนายท่านก็เป็นผู้นำด้านจิตใจของฝ่ายธรรมในยุทธภพ การกระทำต่ำช้าเช่นนี้ ไม่ใช่ฝ่ายธรรมเลย
กูเยว่อู๋เหินปรายตามองเฉิงฉู่ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ศัตรูสลบไม่ลอบสังหาร ไม่ได้หมายความว่าข้ามีคุณธรรม แต่แสดงออกว่าข้าโง่เขลา”
เฉิงฉู่จนคำพูด ก็จริง ไม่ผิดเลย
ท่านมันใจบาป หยาบช้า!
แต่ว่าท่านกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความแค้นล้ำลึกเช่นนั้นเชียวหรือ
ครั้นเอ่ยถึงยามนี้ เฉิงฉู่คล้ายคิดอะไรได้ เสริมต่อว่า “จริงสิ ข้าน้อยรั้งหมอที่ตรวจดูอาการของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยตัวเอง ถามอาการของเขา เพราะความกลัวตาย หมอสารภาพหมดทุกอย่าง ทั้งยังบอกว่าผลการวินิจฉัยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดมาจากโรคใจ ท่านลองคิดดูว่า หากคำวินิจฉัยไม่ผิด ต้องเกี่ยวข้องกับเยี่ยเม่ยแน่!”
เอ่ยถึงตรงนี้ เฉิงฉู่ก็กะพริบตาส่งเป็นสัญญาณ“นายท่าน เรื่องของพวกเขาสองคนอาจจะจบแล้วก็ได้ สายที่เราส่งไปยังส่งข่าวกลับมาบอกว่าหลังเยี่ยเม่ยพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาก็เกิดเรื่องขึ้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกแทงที่หน้าอกหนึ่งแผล ไม่แน่ว่าเยี่ยเม่ยอาจเป็นคนทำ ดังนั้น…”
“ดังนั้น พวกเขาอาจเลิกกันแล้วจริงๆ หากข้าลอบสังหารเขาด้วยตัวเอง เมื่อเรื่องเปิดเผยออกมา บางทีอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย” กูเยว่อู๋เหินเอ่ยต่อด้วยเสียงราบเรียบ
เฉิงฉู่เกือบสำลัก “อะไรนะ นายท่าน ท่านคิดจะไปลอบสังหารเขาด้วยตัวเอง ?!”
ถึงแม้การคุ้มกันชายแดนแน่นหนามาก แต่ว่าด้วยวรยุทธ์ของนายท่าน การลอบสังหารด้วยตัวเองโอกาสสำเร็จเป็นไปได้สูงมาก เพียงแต่โอกาสเปิดเผยฐานะออกไปก็มีมากเช่นกัน
ไม่เพียงแค่เปิดเผยฐานะประมุขหมู่ตึกกูเยว่ต่อสาธารณะชนเท่านั้น ยังทำให้คนทั้งหลายรู้ว่าหมู่ตึกกูเยว่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับราชสำนักเป่ยเฉินด้วย ซ้ำยังทำให้คนทั้งหลายเข้าใจว่า กูเยว่อู๋เหินเป็นคนต่ำช้าเช่นนี้ ฉวยโอกาสยามคนบาดเจ็บ ลงมือลอบสังหารด้วยตัวเอง…
เรียกว่าให้ร้ายตัวเองขั้นสูงเลยก็ว่าได้
กูเยว่อู๋เหินไม่เอ่ยวาจา สายตาก็หาได้ปรายมองเฉิงฉู่ ภายใต้การแสดงออกอย่างเกียจคร้าน ทำให้เฉิงฉู่รู้ว่าตัวเองถามคำถามโง่งมออกไปแล้ว
เขาลูบจมูก พลางเอ่ยต่อ “ท่านพูดถูก ท่านอย่าได้ลอบสังหารเขาเด็ดขาด จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของท่าน ที่สำคัญก็คือ…ทำให้ แม่นางเยี่ยเม่ยรู้ว่าท่านฉวยโอกาสตอนศัตรูหัวใจบาดเจ็บ ดำเนินการลอบสังหารเขา คิดดูแล้วนางน่าจะรู้สึกไม่ดีต่อท่านได้”
เมื่อเขาอธิบาย สีหน้านิ่งเฉยของกูเยว่อู๋เหินเปลี่ยนไปขรึมว่าลง “นั่นก็ถูก”
สตรีส่วนมากในโลกนี้ ล้วนมีใจชื่นชมวีรบุรุษ ชอบผู้ชายที่แข็งแกร่งมีแต่คนเลื่อมใส หากตัวเขามีเรื่องลอบสังหารคน ที่ตัวเขาไม่คิดว่าเป็นการกระทำต่ำช้า ซ้ำยังแสดงออกถึงสติปัญญาของเขาด้วย แต่ไม่แน่ว่าสตรีผู้นี้จะคิดเช่นเดียวกัน
เมื่อเจ้านายตอบมาสามคำ เฉิงฉู่มุมปากกระตุก
อ้อ
ดังนั้นก่อนที่เขาจะถามนายว่าจะทำเช่นนี้จริงหรือ แม่นางเยี่ยเม่ยจะรังเกียจท่านเอาได้ ท่านยังคงใคร่ครวญเรื่องลอบสังหารอยู่ใช่หรือไม่
เฉิงฉู่ลอบชื่นชมไหวพริบตัวเองเงียบๆ เคราะห์ดีที่เขาเตือนเจ้านาย ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของหมู่ตึกกูเยว่บางทีอาจสูญสิ้นเพราะเจ้านายก็เป็นได้! ช่างเถอะ อย่างไรเสียเจ้านายก็ไม่ใส่ใจเรื่องชื่อเสียงอยู่แล้ว
เฉิงฉู่ถาม “อย่างนั้นนายท่าน พวกเราสมควรทำเช่นไร”
กูเยว่อู๋เหินเงียบไปสักพัก ไม่ตอบ ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของเขา ยามนี้คล้ายถูกคนเอาพู่กันเขียนอักษรสองตัวไว้บนหน้า…เสียดาย
เฉิงฉู่มองแล้วยังกระตุกมุมปาก เขาเข้าใจเจ้านายของตนดีว่ายังคงเสียดายเรื่องไม่อาจลอบสังหารเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้…
ผ่านไปสักครู่
ในที่สุดกูเยว่อู๋เหินก็ยกจอกสุราขึ้น จิบคำหนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงนิ่งๆ ว่า “จับตาดูต่อไป หากนางต้องการความช่วยเหลือ รีบมารายงานข้าทันที”
“ขอรับ!”
……
ในห้องเป่ยเฉินอี้
ยามนี้เป่ยเฉินอี้เพิ่งกินยาหมด ชิงเกอยืนอยู่ข้างกายเขา รายงานว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยยืนยันกับคนที่เฝ้าอยู่ที่แม่น้ำหมิงแล้ว การหายตัวไปของเยี่ยเม่ยสองสามวันก่อนไม่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำหมิง แม้แต่เงาของนางพวกเขาก็ไม่พบเลย!”
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็เงียบสักพัก บนใบหน้าชวนมองนั้นไม่เห็นแววผิดหวังหรือเสียดาย ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาค่อยเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว”
ชิงเกอถามต่อว่า “ท่านอ๋อง แผนการของท่านเสียหายเพราะนางมีใบหน้าเหมือนองค์หญิงซีไปครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ท่านคิดจะ…”
“เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟื้นแล้วหรือยัง” เป่ยเฉินอี้ชิงถาม
ชิงเกอส่ายหน้า “ยัง ได้ยินว่าจะฟื้นวันพรุ่งนี้เช้า! ท่านอ๋อง ท่านว่าระหว่างเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ข้ากำลังคิด” เป่ยเฉินอี้ไม่เข้าใจเลยจริงๆ หลังจากเยี่ยเม่ยกลับมา ไฉนจู่ๆ ถึงได้แตกหักกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
หากนางไปแม่น้ำหมิง เขากลับเข้าใจการกระทำของนาง แต่นางไม่ได้ไป จึงยากอธิบายได้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เป่ยเฉินอี้กวาดตามองชิงเกอ เอ่ยว่า “ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พวกเขาสองคนแตกหักกันกลับทำให้เยี่ยเม่ยขาดผู้ช่วยไปคนหนึ่ง บอกราชาต้ามั่วว่าทำตามแผนเดิม!”
“ขอรับ!”
ชิงเกอพยักหน้า รีบจากไปจัดการงาน
เป่ยเฉินอี้หลับตาลง นั่งนิ่งๆ สักครู่ ยามที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง สีหน้าหยั่งลึกเกินคาด เรียวนิ้วยาวเคาะบนโต๊ะเบาๆ พูดกับตัวเองด้วยเสียงขรึม “แตกหักแล้วหรือ..”
เขาแค่นเสียงเบาๆ โบกมือทีหนึ่ง ไม่นานคนชุดดำผู้หนึ่งปรากฏกายอยู่หน้าเขา เป่ยเฉินอี้สั่งการ “เฟิง ไปเตือนให้เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ระวังให้มาก หากข้าเดาไม่ผิด จิวมั่วเหอสมควรลงมือจากเขา”
เฟิงรีบรับคำสั่ง “ขอรับ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”
เขาไม่ถามอะไรมาก ในเมื่อการวิเคราะห์ของท่านอ๋อง ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ดังนั้นเขาได้แต่ทำตาม
เมื่อเอ่ยจบเขาก็จากไป
ระหว่างทางที่ชิงเกอกลับมา เห็นเฟิงรีบร้อนออกไป เขาหนักใจขึ้นมาบ้าง ถึงขนาดเรียกใช้งานเจ้าหนูเอ้อเฟิง ดูท่าครั้งนี้ท่านอ๋องคงจะเอาจริงแล้ว!