เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 31
นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา อย่าว่าแต่นายอำเภอเลย ชาวบ้านด้านนอกได้ยินเข้า ยังมุมปากกระตุกเช่นกัน
พัดเล่มเดียวทำร้ายคนมากมายขนาดนี้ ซ้ำยังแหยียบนายอำเภอจนอยู่ในสภาพนี้ นางยังบอกว่าตนเองไม่หยาบช้าอีก ซ้ำยังมีภาพลักษณ์เป็นมิตร…
ในเวลานี้ สตรีนางหนึ่งวิ่งออกมาจากด้านในเรือนอย่างร้อนรน นางแต่งกายหรูหรา ตั้งแต่คอจนถึงข้อมือล้วนประดับด้วยสร้อยทองเส้นหนา เรือนผมแต่งด้วยปิ่นทองหลายอัน เนื่องจากประดับมากและรุงรัง จึงไม่เหลือความงามน่าชมสักน้อย ดูแล้วไร้รสนิยมเป็นอย่างมาก
ดูจากการแต่งกายทั้งหมดแล้ว นางพยายามแต่งกายก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเป็นคนมีฐานะ
นางมองมาเห็นนายอำเภออยู่ใต้เท้าเยี่ยเม่ย จากนั้นมองเยี่ยเม่ย หน้าตาแตกตื่นจนไร้สีในทันที รีบพุ่งเข้ามา “นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกเจ้า…”
สตรีนางนี้มีสายตาเฉียบคม มองมาปราดเดียวเห็นมือปราบมากมายกองอยู่บนพื้น ก็พลันเข้าใจว่าแม่นางเบื้องหน้าตนผู้นี้ไม่อาจต่อกรได้ง่าย
นัยน์ตาของนางมีแววดุร้าย แต่ก็ไม่เข้าไปลงมือกับเยี่ยเม่ย
นางเพียงมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “แม่นาง เจ้าคิดดีแล้วหรือยังว่าเจ้าทำอะไรอยู่ เจ้าเหยียบนายอำเภอ เขาคือขุนนางราชสำนัก หากเจ้ามีเรื่องไม่ได้รับความเป็นธรรมอันใด ก็พูดจากันดีๆ ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ปรายตามองนาง สตรีนางนี้มีรสนิยมไม่เท่าไหร่ แต่สายตาไม่เลว ดูท่าตำแหน่งของนายอำเภอนี้ เกรงว่าสตรีนางนี้คงลงแรงไปไม่น้อย
นางยกเท้าขึ้นไม่เหยียบลงไปอีก เอ่ยเสียงนิ่ง “ในที่สุดก็มีคนออกมาพูดดีๆ สักที ก็ได้ ข้าขอถามเจ้า ลูกชายนายอำเภอ หรือก็คือคุณชายบ้านเจ้า ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วทันที ทั้งยังเดินเข้าไปข้างกายนายอำเภอ พยุงเขาขึ้นจากพื้น
นางประเมินเยี่ยเม่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกไม่สงบ ทว่ายังเอ่ยถาม “เจ้าหาลูกชายข้าทำไม”
เยี่ยเม่ยเข้าใจทันที ที่แท้ก็ลูกชายนาง นางส่งสายตามองไปยังเหล่าลูกสมุนหลายคนด้านนอก ส่งสายตาเย็นชา “เจ้าถามพวกเขาดู”
สตรีนางนั้นหันหน้าออกไปมองเหล่าสนุมที่หลบสายตา เสียงสูงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ฮูหยิน…ฮูหยิน พวกเรา…” พวกเขาลังเล ไม่กล้าเอ่ย
สตรีนางนั้นตวาด “พูด”
คนเหล่านั้นหัวใจกระตุก
“ตึง” เสียงขึ้น มีคนบางคนคุกเข่าลง เอ่ยปากว่า “ฮูหยิน คุณชาย คุณชายเขา เขา…อีกแล้ว”
เอ่ยถึงตรงนี้ เหล่าลูกสมุนก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก
แต่ว่าสตรีผู้นั้นตระหนักได้ทันที โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยคำว่า “อีกแล้ว” สายตาของนางทอประกาย รีบหันกลับไปมองเยี่ยเม่ย “ข้ารู้แล้ว ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง”
เยี่ยเม่ยกอดอก มองนางอย่างเย็นชา รอฟังคำพูดต่อไป
ยามนี้สตรีนางนั้นพยุงนายอำเภอ คนทั้งสองยืนขึ้น นายอำเภอขมวดคิ้วแน่นจ้องเยี่ยเม่ย เมื่อครู่ถูกเตะไปยกหนึ่ง ทั่วทั้งกายเจ็บไปหมด เกิดความกลัวอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
สตรีนางนั้นหาได้ใส่ใจ จ้องเขม็งที่เยี่ยเม่ย “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว วันนี้เจ้ามาหาถึงที่ ก็เพื่อต้องการข้อสรุปสินะ ข้าเป็นภรรยานายอำเภอ เรื่องที่นายอำเภอตัดสินใจได้ ข้าก็ตัดสินได้เช่นกัน ว่ามาเถอะ เจ้าจะเอาเงินเท่าไหร่”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว มุมปากยกยิ้มเยาะ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยือก ไม่เอ่ยวาจา
ดูท่านางมองผิดแล้ว ภรรยานายอำเภอผู้นี้หาใช่คนที่หารือได้ง่าย เป็นคนสารเลวเช่นเดียวกัน
ฮูหยินนายอำเภอไม่ทันสังเกตแววตาเยี่ยเม่ย เอ่ยต่อไปว่า “หรือจะบอกว่า พวกคนชั้นต่ำเหล่านั้นต้องการเงินเท่าไหร่ เรื่องเหล่านี้ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ข้ายินยอมมอบเงินชดใช้ให้พวกเขา แต่ก็เป็นแค่ชีวิตชั้นต่ำไร้ค่าราคาแค่ไม่กี่ชีวิตเท่านั้น หวังว่าพวกเขาจะประมาณตน ไม่เรียกร้องมากเกินไป”
แววตาของเยี่ยเม่ยเต็มไปด้วยจิตสังหาร มือลูบมีดสั้นในแขนเสื้อ
ฮูหยินนายอำเภอเห็นสายตาเยี่ยเม่ย รู้สึกแตกตื่นขึ้นทันใด หลายปีมานี้นางไม่เคยเห็นสายตาน่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน
นางฝืนสงบใจลง ดึงดันเอ่ยต่อว่า “หรือเจ้าลองว่ามา พวกคนชั้นต่ำเหล่านั้นจ่ายเงินให้เจ้าเท่าไหร่ พวกเรายินยอมจ่ายมากกว่าเป็นสองเท่า ไม่สิ สามเท่า”
นางเอ่ยประโยคนี้จบ เยี่ยเม่ยหมดความอดทนอีกต่อไป
นางก้าวออกมา ยื่นมือออกไปกระชากผมฮูหยินนายอำเภออย่างแรง น้ำเสียงเย็นเฉียบคมกริบราวใบมีด เอ่ยว่า “คนชั้นต่ำหรือ พวกเขาในสายตาเจ้าเป็นคนชั้นต่ำไร้ค่าอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าตัวเองสูงค่ากว่าเท่าไหร่เชียว เจ้าคิดว่าเงินเท่าไหร่ถึงชดใช้จิตใจบอบช้ำของเด็กเหล่านั้นได้ เจ้าคิดว่าเงินเท่าไหร่ถึงรักษาบาดแผลในจิตใจของพวกเขาได้กัน”
ถึงเยี่ยเม่ยจะไม่ใช่คนมีเมตตา แต่นางก็ยอมรับการกระทำโฉดชั่วเช่นนี้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซียนเซียนที่มีน้ำใจมอบขนมเซาปิ่งให้นางเลย
ฮูหยินนายอำเภอถูกนางกระชากผม
คนที่รักษาภาพลักษณ์สูงส่ง ปกป้องศักดิ์ศรีของตนมาตลอดหลายปี เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในเวลานี้ แต่ก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมา
นายอำเภอเห็นภาพ คิดเข้ามาช่วยคน ทว่าไม่กล้าขยับเขยื้อน
เขาขยับขาเล็กน้อยก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าเข้ามา
ฮูหยินนายอำเภอหน้าตาบิดเบี้ยว รู้แต่แรกว่านายอำเภอไม่กล้าช่วยนาง จึงมองเยี่ยเม่ย กัดฟันเอ่ย “อย่างนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร หรือเจ้าคิดให้ลูกชายข้าชดใช้ชีวิตให้พวกคนชั้นต่ำไม่กี่คนนั้น”
นางกลับไม่ทันสังเกตว่าเมื่อคำพูดของตนไม่กี่คำนี้เอ่ยออกไป
พวกสมุนด้านนอกตัวสั่นระงม ไม่กล้ามองมาทางนี้ อดคิดถึงพวกที่กระทำการชั่วช้าร่วมกับคุณชายที่ถูกเยี่ยเม่ยเผาจนตาย
เยี่ยเม่ยจ้องอีกฝ่าย พลันหัวเราะเสียงเย็น “เดาถูกแล้ว ไม่ผิด ข้าจะให้ลูกชายเจ้าชดใช้ด้วยชีวิต อีกอย่างข้ายังรู้สึกว่าชดใช้ด้วยชีวิตยังไม่อาจลบล้างความชั่วร้ายของเขาได้ ดังนั้นข้าตัดสินใจสังหารเขาอย่างโหดเ**้ยม ให้เขาลิ้มรสความทรมานก่อนตาย”
“เจ้า…” ฮูหยินนายอำเภอเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ จ้องมองเยี่ยเม่ย เมื่อเห็นแววตาคล้ายปีศาจร้ายของเยี่ยเม่ย ชั่วขณะนั้นนางเข้าใจว่าสตรีนางนี้หาใช่คนที่ตนล้อเล่นด้วยได้
นางคิดว่าอย่างมากอีกฝ่ายคิดต่อยตีลูกชายนางสักยกหนึ่ง ต้องการเงินไม่เท่าไหร่ก็จากไป คิดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้ถึงกับ…
นางรู้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี รีบส่งสายตาไปยังพวกสมุนหน้าประตู ให้พวกเขาไปขอกำลังเสริม
ลูกสมุนผู้นั้นรู้ทัน เตรียมตัวขยับเท้าก้าวออกไป แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันออกนอกประตู เยี่ยเม่ยตวัดสายตามองเขา “เจ้าคิดไปไหน”
“ข้า…” เท้าของลูกสมุนชะงัก สีหน้าสลดไม่กล้าขยับ
เยี่ยเม่ยถอนสายตากลับมามองฮูหยินนายอำเภอ เสียงเย็นชา “ความอดทนของข้าถึงขีดจำกัดแล้ว รีบส่งลูกชายเจ้าออกมา หากเจ้าไม่อยากตายยกตระกูลไปกับเขา”
“อาศัยอะไรข้าต้องส่งลูกชายให้เจ้าเล่า” ฮูหยินนายอำเภอเห็นสถานการณ์ไม่อาจพลิกผันได้อีก เวลานี้นางดวงตาแดงก่ำขึ้นมา
นางจ้องเยี่ยเม่ย กัดฟันเอ่ย “คนพวกนั้นถูกลูกชายข้าจับไว้ ถือว่าเป็นความโชดร้ายของพวกเขา ต่อให้ถูกเล่นจนตาย ก็โทษพวกเขาอายุสั้นเอง เกี่ยวอันใดกับลูกชายข้า คนชั้นต่ำก็คือคนชั้นต่ำ ชีวิตของพวกเขาไม่มีค่าราคา เจ้าจะออกหน้าเพื่อพวกเขาไปทำไม เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์หรืออย่างไร เจ้ามันก็แค่คนชั้นต่ำเท่านั้น”