เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 320 คำโอ้อวดสวยหรูอยู่แค่เปลือก
ด้วยเหตุนี้ทหารต้ามั่วต่างบุกฆ่าโดยไม่คิดชีวิต ทำให้ศึกที่เดิมตัดสินแพ้ชนะไปแล้วระหว่างสองฝ่ายเริ่มต่อสู้อีกครั้ง ก่อให้เกิดความตายที่ไม่จำเป็นอีกจำนวนมาก
ต่อให้ไม่ใช่เพียงเพื่อเยี่ยเม่ยเท่านั้น แต่สำหรับประชาชนแล้ว ฮ่องเต้เช่นนี้ก็ไม่สมควรดำรงอยู่!
เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เต็มไปด้วยความห้าวหาญ
แต่ถึงเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีหนทางเปลี่ยนแปลงความพ่ายแพ้ตรงหน้าได้ ทหารต้ามั่วล้มลงทีละคนๆ ในนั้นมีองครักษ์คนสนิทของเขาจำนวนไม่น้อย เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ถูกลูกธนูยิงใส่หลายที่ แต่ล้วนเป็นบาดแผลเบา ไม่ถึงชีวิต
ทหารต้ามั่วตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่เต็มกลืน ทว่าในยามนี้ยังมีคนจำนวนไม่น้อยเอ่ยปากว่า “ปกป้องท่านแม่ทัพ!”
จากนั้น
ด้วยความภักดีก็ดี หรือตายอย่างไม่ยินยอมก็ช่าง ทว่าคนที่เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่นำมาแทบจะกลายเป็นศพไปหมดสิ้น
ในขณะนี้
จงรั่วปิงพลันปรากฏกายอยู่ด้านหลังเยี่ยเม่ย กระซิบคำพูดข้างหูนางประโยคหนึ่ง เยี่ยเม่ยหน้าเปลี่ยนสี ถามว่า “เป็นความจริงหรือ”
“จริง!” จงรั่วปิงตอบเบาๆ “ผู้มาบอกว่าเป็นคนของจิวมั่วเหอ เขาหวังว่าจะปล่อยเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่กลับไป”
เยี่ยเม่ยถามเสียงเย็นชา “มีหลักฐานพิสูจน์หรือไม่”
หากเป็นแผนที่เป่ยเฉินอี้วางไว้ ไม่เท่ากับว่าตกหลุมพรางของผู้อื่นหรอกหรือ
จงรั่วปิงเอ่ย “ผู้มาบอกว่า ในมือเจ้ามีของที่สามารถช่วยป้องกันพิษหลายชนิดได้ขวดหนึ่ง จิวมั่วเหอเป็นคนมอบให้แก่เจ้าเอง เขายังบอกว่าเรื่องนี้มีแต่เจ้ากับจิวมั่วเหอเท่านั้นที่รับรู้ ถึงแม้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้เรื่อง แต่ยามนี้เขาไม่ได้อยู่บนแผ่นดินผืนนี้”
เมื่อจงรั่วปิงเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็รู้แล้วว่าเป็นคนของจิวมั่วเหอจริงๆ
เรื่องนี้มีแค่นางกับจิวมั่วเหอรู้เท่านั้น ซือหม่าหรุ่ยรู้หลังจากที่นางถูกพิษ อีกทั้งนางก็มิได้บอกรายละเอียดกับซือหม่าหรุ่ย
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เพียงแต่นางไม่เข้าใจอยู่บ้าง ในเวลานี้อุปสรรคสำคัญที่สุดก็คือเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ นางกำจัดเสียตั้งแต่ที่นี่ ความจริงก็น่าจะช่วยประหยัดแรงไปได้ คนอื่นก็ไม่มีทางสงสัยจิวมั่วเหอ เพราะอะไรเขาถึงต้องการให้นางปล่อยคนกลับไปด้วยเล่า
เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบ
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เชื่อว่า จิวมั่วเหอคงไม่ทิ้งปัญหาความวุ่นวายให้ตัวเองภายหลังแน่ บางทีเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่อาจยังมีประโยชน์กับเขา สิ่งที่มีประโยชน์ต่อจิวมั่วเหอ บางทีอาจมีประโยชน์ต่อการร่วมมือระหว่างนางกับเขาด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็…
เมื่อเห็นคนข้างกายเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ตายไปพอสมควรแล้ว
หลงเหลืออยู่แค่ห้าคนเท่านั้นที่ในมือยังถืออาวุธโอบล้อมเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ ปกป้องเขาเอาไว้ในวงล้อม
เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก “เปิดประตูเมือง ปล่อยพวกเขาออกไป!”
เซียวเยว่ชิงมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย นี่…นี่กว่าจะจับเขาได้ไม่ง่ายเลย ทำไมถึงปล่อยเขาไปด้วย ตัดหัวเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ในเวลานี้ แขวนไว้บนกำแพงเมือง จะช่วยข่มขวัญกำลังใจศัตรูได้มิใช่หรือ”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา เอ่ยนิ่งๆ “ท่านดูแคลนจิตใจห้าวหาญของต้ามั่วเกิน หากท่านทำเช่นนั้นจริงๆ มีแต่จะยั่วยุพวกเขา ทำให้พวกเขาบุกมาโดยไม่สนใจอะไรอีก เพื่อแก้แค้นให้เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่!”
“นี่…” เซียวเยว่ชิงชะงักไป “ก็ถูก! แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สมควรปล่อยเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่กลับไปอยู่ดีกระมัง”
เยี่ยเม่ยลอบถอนใจ รู้สึกว่าจิวมั่วเหอสร้างปัญหายากให้นางแล้ว
คิดจะปล่อยเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ออกไปอย่างถูกต้อง ซ้ำยังหาเหตุผลที่ฟังขึ้นแต่เปลือกมารองรับ ช่างสร้างความลำบากให้คนโดยแท้ ยังดีที่สี่ปีมานี้ นางคลุกคลีกับสหายยุคปัจจุบันอย่างเยาเนี่ย ร่ำเรียนวิชาเอ่ยให้คนตายกลับมาเป็นคนเป็นได้ไม่น้อย
เยี่ยเม่ยนิ่งไปเล็กน้อย เอ่ยปากจริงจังว่า “ปล่อยเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่กลับไปเพื่อให้ราชาต้ามั่วรู้ว่า ผู้นำทัพต้ามั่วของพวกเขาอย่าว่าแต่ถูกจับครั้งหนึ่งเชียว ต่อให้จับได้ห้าครั้ง หกครั้ง ข้าก็พร้อมปล่อยคนกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ต้ามั่วรู้จักความสามารถของราชสำนักเป่ยเฉินเรา ไม่ใช่อาศัยแค่คนต้ามั่วอย่างพวกเขาจะสั่นคลอนได้ หากรู้จักสถานการณ์ก็ส่งหนังสือสงบศึกมาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วไสหัวกลับต้ามั่วไปซะ!”
ครั้นนางเอ่ยเช่นนี้ ถึงแม้จะเกินเหตุเป็นอย่างมาก แต่เหล่าทหารเป่ยเฉินที่ได้ฟังล้วนดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อเยี่ยเม่ย พวกเขารู้สึกว่าอาศัยความสามารถของนาง ต่อให้จับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ได้จำนวนนับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ดังนั้นทุกคนล้วนไม่ใส่ใจ
ถึงเซียวเยว่ชิงไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ว่าเมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้แล้ว ยามนี้เขาก็ไม่มีอะไรให้พูดอีก
เยี่ยเม่ยปรายตามองเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ เอ่ยเสียงเย็นว่า “ไปเถอะ! กลับไปบอกท่านข่านของพวกเจ้า ข้าเยี่ยเม่ยมีความสามารถโดดเด่นเกินใครก็ได้ เจ้าเล่ห์เพทุบายก็ดี พวกเจ้าคนต้ามั่วล้วนไม่ใช่คู่มือของข้า ข้าเองก็ไม่เห็นพวกเจ้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด!”
เมื่อนางเอ่ยอกมา ก็รู้สึกคลายใจได้ หลงคิดว่าตัวเองช่างโอ้อวดได้ร้ายกาจน่าภูมิใจ ยอดเยี่ยมมาก เหตุผลที่สวยหรูแต่เปลือกแบบนี้ยังเอ่ยออกไป นางยังรู้สึกว่าตัวเองทำได้สวยงามหมดจดเหลือเกิน
เมื่อเสร็จธุระ จะต้องทำให้ศิษย์พี่รองที่ให้ตายก็ไม่ยอมรับฐานะตัวอย่างจิวมั่วเหอเลี้ยงสุราเป็นการขอบคุณนาง
เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย พลันรู้สึกถูกลบหลู่ เขาจ้องหญิงสาวหัวเราะเสียงเย็นชา “เยี่ยเม่ย เจ้าอย่าได้ใจจนเกินไปนัก! ความอัปยศวันนี้ ข้าเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ต้องทวงคืนกลับมาแน่! ไป!”
สิ้นเสียง เขาก็นำคนทั้งหมดจากไป
เยี่ยเม่ยมองศพเกลื่อนพื้น สั่งเซียวเยว่ชิงว่า “จัดการศพนับจำนวนคนบาดเจ็บ รีบมารายงานข้า!”
“ขอรับ!”
……
เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า
ยามที่ตนออกจากกระโจมราชาต้ามั่วเพื่อจะเริ่มเปิดศึกกับพวกเซียวเยว่ชิง จิวมั่วเหอก็นำรายงานข่าวหนึ่งวิ่งมาถึง กระโจมราชาต้ามั่วแล้ว
เขาเอ่ยว่า “ท่านข่าน! ไม่มีแล้ว!”
เมื่อจิวมั่วเหอ เอ่ยจบก็ยื่นจดหมายรายงานในมือส่งให้ราชาต้ามั่ว “ท่านข่าน! คนของข้าน้อยพบเห็นคนของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ถือจดหมายฉบับนี้ลับๆ ล่อๆ ไม่รู้จะทำอะไร เลยสั่งให้คนจับตัวไว้ คนผู้นี้เห็นว่าตนเองเปิดเผยร่องรอยออกมา จึงฆ่าตัวตาย! ส่วนจดหมายฉบับนี้ ข้ายึดกลับมาด้วย”
ราชาต้ามั่วเปิดปาก “ส่งมาให้ข้าอ่าน!”
“ขอรับ!” จิวมั่วเหอยื่นจดหมายให้เขาทันที
ราชาต้ามั่วเปิดออกอ่านดู สีหน้าก็เขียวคล้ำ “อะไรนะ เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ถึงกับร่วมมือกับเยี่ยเม่ย ให้นางแสร้งเป็นถูกพิษ เพื่อให้เขานำทัพออกศึกพาคนไปตายที่ชายแดนเป่ยเฉินหรือ”
“ถูกแล้ว นี่คือลายมือของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ เขียนว่าท่านอนุญาตให้เขานำทัพ หวังว่าหลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น เยี่ยเม่ยจะรักษาสัญญา มอบตำแหน่งขุนนางใหญ่ให้เขา!” เมื่อจิวมั่วเหอเอ่ยพบ ยังเสริมต่อว่า “ลายมือนี้ ข้าให้คนตรวจสอบแล้ว เป็นลายมือของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่จริงๆ หากท่านข่านไม่เชื่อ ก็สามารถให้คนเอาไปเทียบดูได้!”
ราชาต้ามั่วมิจำเป็นต้องหาคนมาเปรียบเทียบ
เขารื้อเอาฎีกาของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ที่อยู่ด้านหน้าออกมาฉบับหนึ่ง เปิดดูเทียบลายมือ สีหน้าก็ตึงเครียดลง “ไม่ นี่ นี่เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่เชื่อว่าเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่จะทรยศข้า!”
จิวมั่วเหอเอ่ยว่า “ท่านข่าน หากเป็นความจริงศึกนี้เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน! หากอยากรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ต้องรอดูว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเยี่ยเม่ยจริงหรือเปล่าแล้ว!”