เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 324 คู่ต่อสู้
เยี่ยเม่ยหัวเราะเย็นชาคำหนึ่ง จ้องเป่ยเฉินอี้เอ่ยปากว่า “ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง! แต่ในเมื่ออี้อ๋องกล่าวแล้วว่า ทุกๆ ก้าวต่อไปในแผนการที่เหลือจะทำให้เยี่ยเม่ยพ่ายแพ้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เก็บไว้ก้าวสุดท้ายเถอะ ปล่อยให้ข้าหลงคิดว่าตัวเองจะชนะแล้ว ท่านค่อยลงมือพลิกกระดาน แบบนี้จึงทำให้ข้ายิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองหาใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ภายหน้าไม่กล้าเป็นศัตรูกับท่านอีก แบบนี้ถึงจะดีที่สุด ท่านคิดว่าอย่างไร”
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้คลี่ยิ้ม
ไม่รอให้เยี่ยเม่ยเชิญให้เขานั่งลง ก็นั่งตรงข้ามกับเยี่ยเม่ยด้วยตัวเอง นัยน์ตาหงส์มองใบหน้านาง เอ่ยเสียงขรึมว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยช่างวางแผนนัก คำพูดของเจ้าก็คือหวังว่าจะเดินไปจนถึงก้าวสุดท้ายอย่างราบรื่น ให้เป่ยเฉินอี้ไม่เป็นศัตรูกับเจ้า รอจนถึงก้าวสุดท้ายค่อยตัดสินแพ้ชนะอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง!” เยี่ยเม่ยรู้ว่าเป่ยเฉินอี้ฉลาดมาก ในเมื่อเป็นอย่างนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ยอมรับออกไปตรงๆ เลย ไม่แน่เป่ยเฉินอี้ดีใจแล้ว จะยอมรับความคิดของนาง หากเขาเห็นด้วย อย่างนั้นก้าวต่อๆ ไปของนางก็จะไม่ลำบากเช่นนี้ ไม่ต้องระวังมากขนาดนี้อีก
คนอย่างเป่ยเฉินอี้มีความยโสโอหังมากพอ ในสายตาเขา ไม่มีใครในโลกที่มีสติปัญญาเทียบเคียงเขาได้ ดังนั้นนางต้องตรงไปตรงมาเสียหน่อย บางทีอาจจะมีโอกาสที่เขายอมตกลง
เพียงแต่หวังให้เขาตกลง เยี่ยเม่ยก็รู้ว่าเรื่องราวหาได้ง่ายดายขนาดนั้น
คิดไม่ถึงว่า เมื่อเป่ยเฉินอี้ได้ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย กลับหัวเราะออก ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึมของเขามีเสน่ห์อย่างมหันต์ สายตาล้ำลึกสุดหยั่งได้ยิ่งเหมือนกับบ่อน้ำลึก ทำให้คนมองไม่เห็นก้น รูปลักษณ์ที่ดูลึกลับเช่นนี้ ดึงดูดสตรีได้มากที่สุด
แต่เยี่ยเม่ยไม่หวั่นไหวเลยสักนิด ในใจมีเพียงความแค้น
หลังจากเสียงหัวเราะของเขาหยุดลง ก็เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยแกล้งทำเป็นถูกวางยาพิษ ทั้งยังทำให้คนวางยาตกอยู่ในกำมือของข้า ทำให้ข้าคิดว่าเจ้าถูกพิษจริงๆ กระทั่งทำให้ข้ารู้ว่าตัวบงการอยู่เบื้องหลังคือใคร เป้าหมายก็คือเพื่อให้ข้าสืบเรื่องกระจ่างด้วยตัวเอง ข้าไม่มีทางสงสัยผลที่ตนสืบมาได้ ยิ่งไม่อาจวางแผนไปเตือนราชาต้ามั่วได้ในทันที แม่นางเยี่ยเม่ย ช่างวางแผนได้แยบยลนัก!”
เยี่ยเม่ยฟังแล้วไม่ปฏิเสธ ทว่าตอบกลับว่า “เทียบกับอี้อ๋องแล้ว เยี่ยเม่ยก็เป็นแค่ลูกเล่นปา**่เท่านั้น!”
“แต่ว่า…” เป่ยเฉินอี้ยิ้มแล้วจ้องเยี่ยเม่ย เอ่ยต่อว่า “เพื่อฉลองให้ความก้าวหน้าของเจ้า ยินดีกับเจ้าที่วางแผนเอาชนะข้าได้ครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นรางวัล ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า!”
เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างตะลึงงัน
เป่ยเฉินอี้เสริมต่อ “ยอมรับข้อเสนอเจ้า แผนการอีกครึ่งที่เหลือก็ปล่อยให้เจ้ากระทำไป จนกระทั่งก้าวสุดท้ายค่อยล้มกระดาน”
“เพราะอะไร” เยี่ยเม่ยไม่อยากเชื่อว่า เป่ยเฉินอี้เป็นคนใจดีถึงขั้นนี้
เป่ยเฉินอี้หัวเราะ ไม่ตอบ
สำหรับเยี่ยเม่ย เขายอมถอยให้ไม่น้อย ครั้งนี้ยังถอยให้นางก้าวใหญ่ หากจะให้คิดหาเหตุผลให้ได้ ก็เพียงเพราะนางมีใบหน้าเหมือนอาซีไม่ผิดก็เท่านั้น
ชิงเกอยืนฟังอยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้ว แต่เขาเชื่อมั่นในความสามารถของท่านอ๋อง ต่อให้เดินไปถึงก้าวสุดท้าย อาศัยความสามารถในการวางแผนของท่านอ๋องก็สามารถกลับเปลี่ยนสถานการณ์ได้ ดังนั้นเขาไม่กลัว เพียงแต่ท่านอ๋องยอมถอยให้เช่นนี้ ชิงเกอไม่อาจสงบใจ
ท่านอ๋องปฏิบัติต่อเยี่ยเม่ยต่างไปจากปกติมาก
เห็นเป่ยเฉินอี้ไม่คิดตอบ เยี่ยเม่ยไม่ซักไซ้ เพียงเอ่ยนิ่งๆ “ในเมื่ออี้อ๋องตกลงแล้ว อย่างนั้นคำพูดของบุรุษหนักแน่นไม่อาจบิดพลิ้ว! อี้อ๋องอย่าได้เสียใจภายหลัง!”
“แน่นอน!” เป่ยเฉินอี้ตอบรับ
ไม่ช้า เขาก็เคลื่อนสายตามองเยี่ยเม่ย ดวงตาหงส์หรี่ลงถามขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยชนะไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว อย่างนั้นไม่สู้ แม่นางเยี่ยเม่ยวิเคราะห์เสียหน่อยว่า ในเมื่อจิวมั่วเหอมีโอกาสกำจัดเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ ทำไมเขาถึงให้เจ้าปล่อยเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ไป แล้วไฉนเวลานี้เจ้าถึงได้รับข่าวว่าเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่จะถูกประหาร”
เขาเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าเยี่ยเม่ยเปลี่ยนเป็นตึงเครียด
เป่ยเฉินอี้สมกับที่เป็นเป่ยเฉินอี้ แม้กระทั่งข่าวที่นางเพิ่งได้รับ เขายังคาดเดาได้แม่นยำ กระทั่งจากแววตาหยอกล้อของเขา เยี่ยเม่ยยังมองออก เป่ยเฉินอี้ยังสามารถเดาได้ด้วยว่าตอนนี้นางกำลังกลัดกลุ้ม ในเมื่อราชาต้ามั่วยังจะฆ่าเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ ไฉนจิวมั่วเหอต้องแสดงละครมากขึ้นมาอีกฉาก ให้นางปล่อยตัวเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ไป
ครั้นเห็นเยี่ยเม่ยจ้องมองตนไม่เอ่ยวาจา
เป่ยเฉินอี้ยิ้ม กล่าวว่า “ดูท่า แม่นางเยี่ยเม่ยจะเดาไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะชี้แนะเจ้าสักประโยค ความจริงเรื่องนี้ง่ายมาก ถึงเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ไม่ใช่คู่มือของเจ้ากับจิวมั่วเหอ แต่อาศัยความสามารถของเขา ในบรรดาแม่ทัพคนอื่นๆ ของต้ามั่วล้วนไม่มีใครเทียบเขาได้ กระทั่งเยียลี่ว์ซั่นที่เคยได้รับขนานนามว่าเป็นเทพสงครามแห่งต้ามั่วยังแพ้ต่อเขาสามส่วน!”
“ดังนั้นความหมายของท่านคือ…” เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย คล้ายฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ “จิวมั่วเหอคิดใช้งานเขาหรือ ดังนั้นจึงให้ข้าปล่อยคนกลับไป”
เป่ยเฉินอี้พยักหน้า สีหน้าชื่นชม “ไม่ผิด! ครั้งนี้เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่พ่ายแพ้ในเงื้อมมือพวกเจ้า ข้าเดาว่า ถึงเขารู้ว่าจิวมั่วเหอมีใจทะเยอทะยานราวสุนัขจิ้งจอก แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเพื่อกำจัดตนแล้ว จิวมั่วเหอถึงกับสมคบคิดกับศัตรู ร่วมมือกับเจ้า เขาเป็นคนซื่อสัตย์เถรตรง ทั้งยังมีใจเมตตา รับตัวลู่หวานหว่านไว้ ถึงตกอยู่ในสภาพนี้!”
“แต่เพราะว่าเป็นเช่นนี้ คนประเภทนี้จึงไม่มีทางมีใจทะเยอทะยานเป็นราชา!” เยี่ยเม่ยเข้าใจแล้ว “เขาพ่ายแพ้ต่อความสามารถของจิวมั่วเหอ ทั้งเถรตรงทั้งมีเมตตา สำหรับจิวมั่วเหอแล้วเป็นแม่ทัพดีที่หาตัวได้ยาก ดังนั้นจิวมั่วเหอย่อมไม่อาจหักใจให้เขาตายได้ แต่ว่าราชาต้ามั่วมีคำสั่งให้ประหาร จิวมั่วเหอจะ…”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจ
ยามนี้ข้างกายราชาต้ามั่วไม่มีเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่อีก จิวมั่วเหอกลายเป็นคนเรียกลมเรียกฝนที่สุด เขาคิดสลับตัวเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ออกไป ช่วยชีวิตไว้ก็ใช่ว่าทำไม่ได้
เพียงแต่ว่า…
นางมองเป่ยเฉินอี้ “อี้อ๋องคิดว่าตนเองคาดเดาได้ไม่ผิดจริงหรือ อย่างไรเสียเมื่อครู่ท่านก็เอ่ยแล้ว เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เป็นคนเถรตรง เขายังรู้ว่าคนที่ให้ร้ายเขาคือจิวมั่วเหอ รู้กระทั่งจิวมั่วเหอสมคบกับศัตรู ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะยอมสยบต่อจิวมั่วเหอ ช่วยเขาทำงานได้หรือ จิวมั่วเหอก็มิใช่คนโง่ หรือว่าจุดนี้จิวมั่วเหอจะคิดไม่ได้กัน”
ตามหลักแล้ว การวิเคราะห์ของเยี่ยเม่ยมีเหตุผลมาก
แต่เมื่อเป่ยเฉินอี้ฟังจบกลับคลี่ยิ้ม “หากเป็นคนอื่น ข้าเชื่อว่ายากทำให้เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่จงรักภักดีได้ แต่ว่าจิวมั่วเหอถึงกับใช้ฐานะพิเศษของลู่หวานหว่านที่เคยทำให้ราชาต้ามั่วหวั่นไหวได้ อย่างนั้น…การทำให้เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ยอมสยบ ข้าคิดว่าเขาน่าจะทำได้!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขายังมองเยี่ยเม่ยอย่างล้ำลึก “อาศัยสติปัญญาของจิวมั่วเหอ รับตำแหน่งราชาแห่งต้ามั่วเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น การปรากฏตัวของเจ้าทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น หากข้าคร้านจะประลองกับต้ามั่ว บางทีสิบปีให้หลัง เขาอาจเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวของข้าก็ได้”
“สิบปีให้หลังหรือ” เยี่ยเม่ยหัวเราะ “ความหมายของอี้อ๋องคือ สำหรับท่านแล้วเขาในเวลานี้ยังอ่อนวัยเกินไปแล้ว อีกอย่างในเมื่ออี้อ๋องไม่คิดเป็นคู่ต่อสู้กับเขา อย่างนั้นคู่ต่อสู้ของท่านก็เหลือแค่ข้าแล้วใช่ไหม”