เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 329 ไป๋หลี่จิ่นเฉิน
ข้ารับใช้มองจงซานทีหนึ่ง ย่นคิ้ว “แต่ใต้เท้า ท่านพูดกับนางอย่างไม่เกรงใจเลย จะดีหรือ”
“เจ้าดูไม่ออกหรือว่าข้ากำลังทดสอบนาง” จงซานหันกลับมามองข้ารับใช้ทีหนึ่ง
หัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าจงใจยโสโอหังไร้มารยาท เพื่อดูว่านางรู้จักใจกว้างหรือไม่ ตอนนั้นนางยังเยาว์ มองความชั่วร้ายของคนไม่ออก ข้าสามารถอภัยนางได้ แต่เวลานี้ในเมื่อนางจะแก้แค้น ข้าก็ต้องมั่นใจก่อนว่านางเป็นคนที่มีค่าพอให้ติดตามหรือไม่”
หากใจกว้างสักนิดยังไม่มี เช่นนั้นก็ไม่คู่ควรให้เขาไป๋หลี่ซือซิวภักดีด้วย
“นั่นก็จริง…”ข้ารับใช้พยักหน้า
แต่ว่าข้ารับใช้ก็อดใจไม่ไหว เอ่ยออกไปประโยคหนึ่งว่า “แต่หากในเวลานี้นางไม่ใส่ใจ ทว่าจำความแค้นนี้ไว้เล่า บางทีรอจนเรื่องใหญ่สำเร็จแล้ว ค่อยคิดบัญชีเก่ากับท่านก็ยังไม่สาย”
“เหอะ…วางใจเถอะ ใต้เท้าของเจ้า ความสามารถอื่นอาจไม่มี แต่เรื่องทิ้งทางรอดไว้ให้ตัวเองกลับไม่มีใครเทียบได้!” คำพูดของจงซานโอ้อวดเกินไป
แต่ว่าข้ารับใช้เข้าใจ ใต้เท้ามีคุณสมบัติให้โอ้อวดจริงๆ
เขาเอ่ยต่อว่า “ใต้เท้า ท่านเคยคิดไหมว่า บางทีฮ่องเต้อาจมองออกว่าท่านจงใจเก็บงำฝีมือ หากฮ่องเต้มองออกจริงๆ สำหรับท่านแล้วก็อันตรายมาก!”
จงซานหลุดหัวเราะออกมา หันกลับไปมองเขา “เจ้าไม่เคยคิดสินะ อยู่ดีๆ ไม่ว่าดี ข้าจะแกล้งทำเป็นกลัวตายไปทำไม นั่นไม่ใช่เพราะทำให้ฮ่องเต้รู้สึกว่าข้ากลัวตายถึงได้ไม่กล้าเผยฝีมือออกมาหรือ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!” ข้ารับใช้ค่อยวางใจ ถามอีกว่า “ใต้เท้าละเอียดรอบคอบ ข้าน้อยเลื่อมใสนัก!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ข้ารับใช้ก็ฉุกคิดได้ เอ่ยอีกประโยคว่า “จริงด้วย ใต้เท้า ท่านให้พวกข้าน้อยคอยสังเกตเรื่องของแผ่นดินอีกผืนเอาไว้ คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของอดีตเชื้อพระวงศ์หนานเยว่ ดูเหมือนว่าเวลานี้พวกเขาจะเกิดเรื่องแล้ว!”
“อ้อ” จงซานหันกลับมองข้ารับใช้
ข้ารับใช้รีบเล่าว่า “ลูกพี่ลูกน้องชาย…สมควรเรียกว่าญาติผู้น้องที่ท่านให้ความสำคัญ ไป๋หลี่จิ่นเฉินผู้นั้นเหมือนกับเขาถูกวางยาพิษ ตาบอดไปแล้ว แต่เรื่องนี้มีคนรู้น้อยมาก คนของพวกเราบังเอิญเห็นปฏิกิริยาของไป๋หลี่จิ่นเฉินกับข้ารับใช้ถึงคาดเดาได้!”
“เป็นไปได้อย่างไร” จงซานไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
จงซานขมวดคิ้ว “ปีนั้นท่านปู่ของข้าไม่คิดเป็นฮ่องเต้ ยกตำแหน่งให้บิดาของไป๋หลี่จิงหง จากนั้นก็ออกท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ หลายปีมานี้ถึงได้ยินว่าหนานเยว่ล่มสลาย แต่เพราะท่านอาไป๋หลี่จิงหงมีความสามารถสะท้านไปทั่วสี่แผ่นดิน ชื่อเสียงเลื่องระบือไปเก้าดินแดน ญาติผู้น้องจิ่นเฉินก็เป็นหมอเทวดา ทั้งเป็นคุณชายอันดับหนึ่ง ควบคุมหมู่ตึกเยว่มู่ ดังนั้นตระกูลไป๋หลี่ถึงไม่ตกอับ วันนี้…”
จงซานกำหมัดแน่น มองข้ารับใช้ “มีวิธีช่วยหรือไม่”
“ไม่มี!” ข้ารับใช้ถอนใจ “ท่านลองคิดดู ไป๋หลี่จิ่นเฉินก็เป็นหมอเทวดาแต่กลับไม่มีวิธี ยังหวังพึ่งใครได้อีก แต่ท่านว่าหมอเทวดาซือหม่ารุ่ยจะช่วยได้หรือไม่”
จงซานรีบเอ่ยปากว่า “ส่งจดหมายหาซือหม่าหรุ่ย ถามว่านางพอมีวิธีหรือไม่ หากนางมีหนทาง ไป๋หลี่ซือซิวยินยอมจ่ายค่าตอบแทนทุกอย่าง!”
“ขอรับ! เพียงแต่…” ข้ารับใช้หยุดเล็กน้อย “ใต้เท้า ท่านไม่เคยพบไป๋หลี่จิ่นเฉินมาก่อน ต้องทำเช่นนี้เชียวหรือ”
จงซานปรายตามองเขา เอ่ยเสียงเบา “เจ้าไม่เข้าใจ เกียรติยศร้อยปีของวงศ์ตระกูลหนึ่งดำรงอยู่ก็ต่อเมื่อมีคนสืบทอดหรือไม่ เกียรติยศของตระกูลไป๋หลี่แห่งหนานเยว่ล้วนสืบทอดมาทุกรุ่น ดังนั้นเมื่อคนพูดถึงไป๋หลี่ซือซิวก็บอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์รุ่นหลัง ขอเพียงตระกูลไป๋หลี่แห่งหนานเยว่ไม่ล่มสลาย เช่นนี้ตระกูลไป๋หลี่ก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์ไปตลอดกาลนาน ไม่มีทางตกอับ เมื่อคิดรักษาเกียรติยศของตระกูลเอาไว้ ไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวจะทำได้ ไป๋หลี่จิ่นเฉินก็ต้องหายดีด้วย!”
“เป็นเช่นนี้…” ข้ารับใช้พยักหน้า เขารู้ดีว่าใต้เท้าเป็นคนชอบเล่นสนุกมาก คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าใส่ใจเรื่องพวกนี้ด้วย
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จงซานมองข้ารับใช้คราหนึ่ง เอ่ยว่า “สายเลือดของท่านทวดข้ามีผู้สืบทอดคนเดียวมาสองรุ่นแล้ว มาถึงข้าก็เหลือแต่ข้าตัวคนเดียว ย่อมต้องใส่ใจตระกูลไป๋หลี่แห่งหนานเยว่ ดังนั้นที่เยี่ยเม่ยตัดสัมพันธ์กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว! เพราะตระกูลจงเจิ้ง นอกจากนางเยี่ยเม่ยแล้ว แม้แต่ญาติผู้พี่ผู้น้องก็ไม่เหลือเลยสักคน!”
ตระกูลใหญ่ทั้งตระกูลเหลือรอดอยู่คนเดียว นางแบกหนี้แค้นของบ้านเมืองและวงศ์ตระกูลเอาไว้
แม้กระทั่งลูกพี่ลูกน้องสักคนยังไม่มีเหลือ นางจะไม่แค้นได้หรือ จงซานถอดถอนใจ ส่ายหน้า “คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์โดดเดี่ยวคนเดียวย่อมไม่เข้าใจว่าสายเลือดสำคัญมาก การเลือกของเยี่ยเม่ยทำให้คนจำนวนมากไม่เข้าใจ นั่นก็เพราะทุกคนไม่ได้อยู่ในจุดยืนเดียวกับนาง หากองค์ชายน้อยยังมีชีวิตอยู่ น้องชายนางยังมีชีวิตอยู่ นางไม่มีทางเด็ดเดี่ยวได้ถึงขั้นนี้!”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”
พูดตามตรง ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าเยี่ยเม่ยไร้หัวใจมาก เพราะได้ยินว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดีต่อนางเหลือเกิน ดังนั้นทางหนึ่งเขาก็เข้าใจการเลือกของนาง อีกทางหนึ่งก็รู้สึกว่านางจัดการกับความรู้สึกได้เด็ดขาดนัก
เมื่อวันนี้คิดดู ก็แค่คนน่าสงสารที่ถูกบีบจนไร้หนทางเท่านั้นเอง
สุดท้าย
ไป๋หลี่ซือซิวเอ่ยอีกประโยคว่า “เจ้ารู้ไหมทำไมคนบนโลกถึงได้จากไปอยู่ตลอด นั่นก็เพื่อย้ำเตือนว่าคนที่ยังอยู่ในโลกว่า สิ่งที่เจ้ามีอยู่นั้นมีคุณค่ามากแค่ไหน”
เหมือนกับที่เขาสูญเสียญาติร่วมสายเลือด ถึงได้รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่า ทั้งยินยอมปกป้องโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน
เหมือนกับเยี่ยเม่ยที่สูญเสียญาติมิตรร่วมสายเลือด นางรู้ว่าตนเสียอะไรไป สูญเสียสิ่งที่นางเคยครอบครอง ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจทนสูญเสียไปไม่ได้มากเท่าไหร่ ความแค้นของนางนอกจากเข่นฆ่าศัตรูแล้ว ก็ไม่มียาใดสามารถรักษาได้อีก
…
ชายแดน
วันนี้ชายแดนต้อนรับแขกสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง เมื่อคนทั้งหลายเห็นรถม้าของเสินเซ่อเทียนก็แสดงสีหน้าตกใจจนอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงเลยว่าจวินซ่างจะมาชายแดน
จวินซ่างเฝ้ารักษาเมืองหลวงมาตลอด อาศัยความถือดีของจวินซ่าง แต่ไรหาได้ใส่ใจเรื่องในชายแดน แต่คิดไม่ถึงว่า วันนี้เขาจะมาถึงที่นี่ได้
ตอนที่เยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินอี้ได้ข่าวยังอดตกตะลึงไม่ได้
เป่ยเฉินอี้กลับไม่คิดว่ามีอะไร อย่างไรเขาก็รับปากเยี่ยเม่ยแล้ว ว่าจะรอจนถึงก้าวสุดท้ายถึงลงมือ ดังนั้นช่วงนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร ย่อมไม่ต้องปะทะกับเสินเซ่อเทียน
ส่วนเยี่ยเม่ย
นางลูบป้ายคำสั่งในแขนเสื้อ นั่นคือ ‘ของหมั้นหมาย’ ที่เสินเซ่อเทียนมอบให้นาง เยี่ยเม่ยยกมุมปากยิ้มเย็น เสินเซ่อเทียนคือเกราะกำบังของเป่ยเฉิน มาก็ดี ให้นางรู้จักความสามารถของเขาสักหน่อย
เวลานี้เซียวเยว่ชิงวิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน “แม่นางเยี่ยเม่ย จวินซ่างมาแล้ว ท่านจะไปต้อนรับหรือไม่”
เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครมาถึง แม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่ออกไปต้อนรับ เซียวเยว่ชิงแอบรู้สึกว่า ครั้งนี้แม่นางเยี่ยเม่ยก็คงไม่ออกไป
คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขาเอ่ยออกมา
เยี่ยเม่ยกลับมองเขา ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ไป! ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“เอ๋” เซียวเยว่ชิงเกือบสงสัยว่าตัวเองฟังผิด ไม่ช้าก็รีบตอบว่า “หน้าประตู! เข้าเมืองมาแล้ว!”