เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 34
เป่ยเฉินเสียงได้ยิน กวาดสายตามองเขา
เมื่อได้ฟังว่ามีข่าวของเยี่ยเม่ย ยามนี้เขาอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด เรียวคิ้วขมวดแน่น “นางอยู่ที่ไหน”
สตรีนางนั้น…
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้พบสตรีที่เหิมเกริมถึงเพียงนี้ อีกทั้งพูดให้ร้ายแรงหน่อยคือ เขายังเสียเปรียบใต้เงื้อมมือนางอีกด้วย
องครักษ์ผู้นั้นกระตุกยิ้ม “องค์ชายใหญ่ เรื่องเป็นเช่นนี้…”
เซี่ยโหวเฉิน เองก็อยู่ด้านข้าง ฟังองครักษ์รายงาน
“แม่นางท่านนั้น เดิมทีพวกเราไร้ข่าวของนาง แต่นางพลันไปก่อเรื่องที่ที่ว่าการอำเภอ ลงมือกับนายอำเภอสองสามีภรรยาจนเกือบตาย ทั้งยังวางเพลิงที่ชานเมืองฆ่าคนไปสี่คน จากนั้นขี่ม้าออกนอกด่านไปไล่ฆ่าบุตรชายนายอำเภอลู่จื่อเฟิงแล้ว การกระทำใหญ่หลวงเช่นนี้ ข้าน้อยไม่สังเกตคงไม่ได้” องครักษ์รายงาน
เป่ยเฉินเสียง “…”
เซี่ยโหวเฉิน “…”
บุรุษรูปงามทั้งสองสีหน้าตะลึง มององครักษ์
จากการกระทำข้างต้นนี้ ฟังแล้วคล้ายกับเรื่องที่สตรีนางหนึ่งลงมือทำได้หรือ พวกเขาถึงกับสงสัยว่า สตรีสวยสดงดงามนางนั้น แท้จริงแล้วหาใช่แม่นางผู้หนึ่ง แต่เป็นนางปีศาจฆ่าคนไม่กระพริบตาลงมาจากเขาแห่งไหนสักลูก
เซี่ยโหวเฉิน มองเป่ยเฉินเสียงก่อน กระแอมไอ “องค์ชายใหญ่ สตรีนางนี้ดุร้ายนัก ท่านมั่นใจว่าจะรับนางเป็นสตรีของท่านหรือ ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะนัก”
เป่ยเฉินเสียงยกมุมปากขึ้น ชั่วขณะนี้เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร
เซี่ยโหวเฉิน หันกลับมององครักษ์ด้านหลังตน เอ่ยถามช้าๆ “สามปีก่อนพรรคมารถูกหมู่ตึกกูเยว่ทำลายสิ้น ยังหลงเหลือนางมารไม่ตายอีกหรือ”
องครักษ์นั้นมุมปากกระตุก
ความจริงเขาฟังคำขององครักษ์ ก็รู้สึกว่าเยี่ยเม่ยเป็นนางมาร
เขาทบทวนความทรงจำครู่หนึ่ง เอ่ยปาก “น่าจะไม่มีแล้ว แต่ไรมาหมู่ตึกกูเยว่มิชอบยุ่งเรื่องผู้อื่น ทว่าพรรคมารฆ่าคนของหมู่ตึก จากนิสัยของเยว่อู๋เหินแล้วไม่มีทางไว้ชีวิตคน”
กูเยว่อู๋เหินคือประมุขหมู่ตึกกูเยว่ คนนอกขนานนามเขาว่าคุณชายกูเยว่ ส่วนในยุทธภพนั้นถูกเรียกว่า “กูเยว่อู๋เหิน”
เซี่ยโหวเฉินลูบคาง “นิสัยของเยว่อู๋เหินเป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่เคยยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทว่าปกป้องคนของตนมาก คนของพรรคมารตายหมดแล้ว อย่างนั้นสตรีผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน”
เป่ยเฉินเสียงนิ่งไปชั่วครู่ มองไปที่องครักษ์ อดกระดกมุมปากไม่ได้ ถามว่า “เพราะอะไรนางต้องฆ่าคนมากมายขนาดนี้ ครอบครัวนายอำเภอล่วงเกินอะไรนาง”
เขาอดคิดถึงคนขับรถม้าของตนวันนั้นขึ้นมาไม่ได้ เรียกนางเป็นคนชั้นต่ำ เกือบฟาดแส้ใส่นาง สุดท้ายเกือบถูกตีตาย ตอนนี้ยังนอนรักษาบาดแผลอยู่เลย ครอบครัวนายอำเภอคงไม่…
องครักษ์ลับลังเลชั่วครู่ เอ่ยปาก “ครอบครัวนายอำเภอก่อกรรมทำเข็ญในที่นี้มาหลายปี บุตรชายของเขากับเพื่อนเสเพลหลายคน ทารุณเด็กจำนวนไม่น้อย แม่นางผู้นั้นรู้เรื่องนี้เขา ดังนั้น…ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดล้วนถูกนางเผาตาย ส่วนนายอำเภอกับฮูหยินเพราะไม่สั่งสอนบุตรให้ดี ทั้งพูดจาไม่ดีถึงถูกตี เคราะห์ดีที่ลู่จื่อเฟิงออกนอกด่านไปแล้ว นางจึงติดตามไปไล่ฆ่า…”
เขาเล่าเรื่องออกมา บุรุษรูปงามในที่นี้ทั้งสองต่างสงบนิ่งลง
สีหน้าเซี่ยโหวเฉินยากคาดเดา เอ่ยปากอย่างว่องไว “ข้าขอคืนคำพูดของข้าแล้วกัน ดูท่านางไม่เพียงแต่ไม่ใช่นางมาร แต่ยังเป็นจอมยุทธหญิงด้วย”
พูดจบแล้ว เขามองเป่ยเฉินเสียงเป็นนัย จอมยุทธหญิงเช่นนี้ คนธรรมดาไม่อาจรับได้
เป่ยเฉินเสียงย่อมเข้าใจความหมายจากสายตาเขา สตรีที่สามารถก่อเรื่องได้เช่นนี้ เกิดเรื่องไม่ให้ทางการแก้ปัญหา นางไปฆ่าคนเอง ทั้งนางคร่าชีวิตหลายคนแล้ว
อีกอย่าง…
เขานิ่งไป จากนั้นเอ่ยว่า “ต่อให้คนพวกนั้นทำเรื่องเช่นนี้ ก็ยังไม่ถึงโทษตาย อย่างน้อยตามกฎหมายของราชสำนักเป่ยเฉินเรา ก็ยังไม่ถึงขั้นประหารชีวิต”
เซี่ยโหวเฉิน มองเขา ยืดอก “ข้ากลับเข้าใจนาง เรื่องเช่นนี้ยากเย็นนัก เพียงแต่องค์ชายใหญ่ ท่านยังคิดตามหานางต่อไปหรือไม่ นางเอาชีวิตคนไปสี่คนแล้ว ซ้ำยังทำร้ายขุนนางราชสำนัก องค์ชายรองกับองค์ชายสามล้วนจับจ้องตำแหน่งองค์รัชทายาท ถึงพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ทว่าหากท่านคิดปกป้องรั้งนางไว้ข้างกาย องค์ชายทั้งสองใช้เรื่องนี้โจมตีท่าน เหตุนี้ไม่ส่งผลดีกับท่านเลย”
เป่ยเฉินเสียงสูดลมหายใจลึก มององครักษ์ลับ “จับตาดูนางไว้ก่อน ได้นางมาแล้วซ่อนนางเอาไว้ก็พอ การดำรงอยู่ของนาง ไม่อาจให้องค์ชายทั้งสองรู้ได้เด็ดขาด”
เอ่ยถึงตรงนี้ เขาเกิดโทสะ “น้องรองกับน้องสามล้วนจับจ้องตำแหน่งฮ่องเต้ ข้าหาได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ทว่าคนที่มีอำนาจคุกคามข้ามากที่สุด เขากลับไม่สนใจตำแหน่ง”
“ความจริงข้าคิดว่า เตี้ยนเซี่ยไม่จำเป็นต้องเป็นปรปักษ์กับองค์ชายสี่ไปตลอด เขาคนนั้น…” เซี่ยโหวเฉิน นิ่งไปใคร่ครวญคำพูด สุดท้ายกล่าวว่า “เขาคนนั้นทำอะไรตามใจ ไม่ใส่ใจอำนาจ ขอเพียงท่านไม่เอาชีวิตเขา เขาก็ไม่แย่งตำแหน่งรัชทายาทกับท่าน”
เป่ยเฉินเสียงพลันมองท่านอ๋องหนุ่ม เสียงนิ่ง “หากเขาต้องการเอาชีวิตข้าเล่า อาศัยวรยุทธ์ของเขา ต่อให้ข้าขึ้นครองราชย์ หากเขาออกคำสั่งข้า ข้ายังไม่อาจบ่ายเบี่ยง หรือจวิ้นอ๋องคิดว่าเมื่อข้าเป็นฮ่องเต้แล้ว ยังต้องเชื่อฟังเขาด้วยเล่า”
เซี่ยโหวเฉิน พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
องค์ชายสี่ผู้นี้แต่ไรมาใช้การกระทำเป็นบรรทัดฐาน ยามนี้ฝ่าบาทยังไม่อยู่ในสายตาเขา นับประสาอะไรกับองค์ชายใหญ่
เขานิ่งไปชั่วครู่ ใช้ความคิด เอ่ยปากว่า “ใต้หล้านี้คนที่กำจัดเขาได้ เกรงว่าคงมีแต่คนผู้นั้น ถึงคนผู้นั้นไม่แน่ว่าจะเอานะเขาได้หรือไม่ แต่ก็คงไม่แพ้…”
พูดถึงเรื่องนี้เป่ยเฉินเสียงพลันเกิดโทสะ “เรื่องนี้ข้าไหนเลยจะไม่รู้ แต่หลายปีมานี้คนผู้นั้นโอนเอียงไปทางเขา อย่าพูดถึงให้เขาลงมือฆ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลย เรื่องนี้…ช่างเถอะ”
“คนผู้นั้นกับองค์ชายสี่นับว่าคุมเชิงกันอยู่ ย้อนคิดดูแล้วเพราะองค์ชายสี่เห็นแก่หน้าเขา ถึงไม่เตะฝ่าบาทตกจากบัลลังก์” พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เซี่ยโหวเฉิน ยังมุมปากกระตุก
สามปีก่อนเพราะเรื่องหนึ่ง ฮ่องเต้ตำหนิเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาถึงกับลากฮ่องเต้ตกลงจากบัลลังก์มังกรต่อหน้าทุกคน ทั้งวางเท้าที่บัลลังก์มังกรอย่างสง่างาม ซ้ำยังตักเตือนอย่างช้าๆ ว่าฮ่องเต้ไม่มีความสามารถก็สมควรมีไหวพริบเสียบ้าง
ภายหลังเห็นแก่หน้าคนผู้นั้น ถึงได้หยุดมือกลางคัน ส่วนฮ่องเต้ตกลงไปเกือบถึงชีวิต นับแต่นั้นก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องลงมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกเลย อย่างมากก็พูดกับเขาแค่สองคำเท่านั้น
พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเป่ยเฉินเสียงยิ่งเย็นชาไปอีก “ยังมีอีกคนหนึ่ง จิ่วหุน ข้าให้คนติดต่อเขาไป เขาอาจฆ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้”
“ถึงจะยาก แต่ก็ยังพอมีความหวัง” เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า
ในขณะนี้เอง
องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา รายงานว่า “เตี้ยนเซี่ย ไม่ดีแล้ว คนติดต่อจิ่วหุนถูกฆ่าตาย ดูจากรอยดาบ น่าจะเป็นฝีมือจิ่วหุน”
“อะไรนะ เขาบ้าไปแล้วหรือ” เป่ยเฉินเสียงไม่อยากเชื่อ
นักฆ่าเหล่านั้นล้วนถูกพิษควบคุม เขาถึงกับ…
สิ้นเสียงเขาดาบเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาจากหน้าต่าง เป่ยเฉินเสียงรีบหลบ ทว่าหลบความไวของดาบไม่พ้น ใบหน้าเขาเหลือรอยแผลรอยหนึ่ง
ขณะเดียวกัน น้ำเสียงเล็กราวกับสัตว์น้อยดังขึ้นมาทางหน้าต่าง “ไม่ต้องตามหาข้าอีกแล้ว ยังมีอีกภายหน้าห้ามส่งคนไปติดตามร่องรอยของนาง ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”