เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 342 นอกเสียจากเพื่อนาง
การเลือกของเยี่ยเม่ยถูกต้อง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่คิดยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเสินเซ่อเทียน!
ดังนั้นนางจบความสัมพันธ์กับเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ผิดเลย มิเช่นนั้นวันใดที่นางต้องเผชิญหน้ากับเสินเซ่อเทียน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่อยู่ตรงกลางจะยิ่งลำบาก
ครั้นคิดได้เช่นนี้
เยี่ยเม่ยก็เข้าใจแล้วว่าความรักครั้งนี้จบสิ้นไม่อาจไปต่อได้อีก นางไม่อาจยอมรับฐานะเขาได้ ส่วนเขาก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับเสินเซ่อเทียน พวกเขาสองคนไม่มีใครคนหนึ่งยอมยึดมั่นต่อไป ซ้ำยังผลักไสความรักที่ไร้ความหวังอยู่แต่เดิมให้ตกสู่ความสิ้นหวังไปใหญ่
ยามนี้นางพลันรู้สึกเหนื่อยล้า และหมดอารมณ์ที่จะแสดงละครร่วมกับพวกเขาในที่นี้ต่อไป
นางลุกขึ้นมองพวกเขา “คราวนี้ข้ามีธุระจริงๆ แล้ว ข้าเพิ่งคิดได้ว่าซือหม่าหรุ่ยบอกให้ข้าไปหานางตอนบ่าย พวกท่านสองคนไม่ได้พบกันมานานหลายปี ก็ค่อยๆ รำลึกความหลังกันไปนะ!”
เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ก็เดินจากไป
นางพูดถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขาสองคนย่อมไม่มีใครรั้งนางอีก
มองส่งนางเดินจากไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนดื่มสุราด้วยท่าทางสง่างาม จากนั้นมองตามแผ่นหลังเยี่ยเม่ยไป ค่อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้ายว่า “ชั่วชีวิตเยี่ยนไม่ยินยอมเป็นศัตรูกับเจ้า นอกจากทำเพื่อนาง!”
เสินเซ่อเทียนตะลึงไปเล็กน้อย ค่อยหัวเราะออกคำหนึ่ง
การหัวเราะของเขาครั้งนี้ เรียกสายตาจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงน่าฟังกล่าว “หากเพื่อนางแล้ว ต่อให้ต้องใช้มีดเสียบทะลุอกเจ้า ข้าก็จะไม่กะพริบตาเลยสักน้อย!”
“น่าเสียดายที่คนในใจนางมิใช่เจ้า!” ยามเสินเซ่อเทียนเอ่ยคำพูดนี้ หัวใจรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
บางทีนี่อาจหมายถึงเขากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไม่มีวันเป็นศัตรูกันไปตลอดกาล
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เอ่ยอะไรอีก ก้มหน้าดื่มสุราต่อ
เยี่ยเม่ยจากไปอย่างรีบร้อน ทั้งไม่ได้ยินบทสนทนาไม่กี่ประโยคของพวกเขา
เมื่อกลับมาถึงชายแดน ก็เห็นมู่หรงเหยาฉือยืนอยู่หน้าประตู ยามที่เห็นสตรีนางนั้น เยี่ยเม่ยกลับรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
นางสวมอาภรณ์สีม่วง มีอากัปกิริยาโดดเด่น ดูเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ มุมปากอมยิ้มบางๆ รักษากิริยาของกุลสตรีเอาไว้ ใบหน้าเปล่งปลั่ง เมื่อมองใกล้ๆ คล้ายบุปผาสีสันสดใสดอกหนึ่ง
ส่วนแววตาของสตรีนางนี้คล้ายกับธาราในฤดูใบไม้ร่วง ภายในแฝงไปด้วยความรู้สึก ทั้งคลอไปด้วยประกายน้ำ ท่าทางอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด ชวนให้บุรุษเกิดความรู้สึกอยากปกป้อง
เยี่ยเม่ยเข้าใจว่า หากเทียบด้านความงาม นางหาได้แพ้ต่อสตรีนางนี้ แต่หากเทียบกันด้านอากัปกิริยา…อีกฝ่ายเป็นสตรีมากกว่านางจริงๆ ภายใต้การเปรียบเทียบ นางยังรู้สึกว่านางเป็นเหมือนชายชาตรีแข็งกร้าว อากัปกิริยาในยามปกติก็คล้ายบุรุษมากกว่า
ในเสี้ยววินาทีเยี่ยเม่ยประเมินสตรีเบื้องหน้าอย่างอย่างละเอียด
ฝ่ายมู่หรงเหยาฉือยามได้พบนาง ก็ประเมินเยี่ยเม่ยเช่นเดียวกัน ชุดดำตลอดร่างดูแล้วเรียบง่ายเปิดเผย หว่างคิ้วมีความโอหังราวกับดอกไม้บนยอดเขาสูงไม่อาจเอื้อมถึง
สีหน้าเย็นเยือก ร่างกายแผ่กลิ่นอายองอาจยากปกปิดออกมา
แตกต่างจากสตรีจากครอบครัวสามัญชน อ่อนโยนใจกว้าง หรือว่ายโสโอหังที่มู่หรงเหยาฉือพบเจอมาตลอดหลายปี
สตรีนางนี้ เกรงว่าจะเป็นเยี่ยเม่ยแล้ว!
ในยามนี้ มู่หรงเหยาฉือสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่ไม่เคยรับรู้มากก่อน หากสตรีนางนี้คือเยี่ยเม่ยจริงๆ นางมีโอกาสเอาชนะได้ไม่มาก หากองค์ชายสี่ชอบสตรีประเภทนี้ อย่างนั้นก็เห็นได้ชัดว่า…
นางมู่หรงเหยาฉือไม่ใช่สตรีประเภทนี้อย่างแน่นอน
อีกทั้งนางยังมั่นใจว่าตัวเองไม่อาจแกล้งทำเป็นคนประเภทนี้ได้ เพราะการแต่งกายของเยี่ยเม่ยสามารถลอกเลียนแบบได้ แต่อากัปกิริยาและสีหน้า นางจนปัญญาจะเลียนแบบ นั่นสีหน้าท่าทางของสตรีที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมและเป็นตัวของตัวเองมาก
กระทั่ง…
ความทะนงยากปกปิด
แตกต่างจากนางโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่สตรีทั้งสองต่างฝ่ายต่างประเมินกันและกัน หลูเซียงฮั่วก็เห็นเยี่ยเม่ย เขารีบยิ้มแนะนำว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านกลับมาแล้ว! ท่านนี้คือท่านหญิงเหยาฉือที่เพิ่งเดินทางมาจากเมืองหลวง ท่านหญิง นี่คือแม่นางเยี่ยเม่ยที่ท่านอยากพบ!”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “อือ”
นางเอ่ยรับคำหนึ่งบ่งบอกว่ารู้แล้ว ไม่คิดจะทักทายสักเล็กน้อยก็หมุนกายจากไป
นางไม่ชอบมู่หรงเหยาฉือ นางดูออกเช่นกันว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ชอบนางนัก
นั่นเพราะมู่หรงเหยาฉือไม่ชอบนาง สายตาของอีกฝ่ายแฝงมาดร้ายเหมือนกับที่เยี่ยเม่ยเห็นในดวงตาของซือถูเฉียงยามได้พบกันครั้งแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เพียงแต่มู่หรงเหยาฉือถนัดการปกปิด ทำให้คนยากจับสังเกตได้
แต่ยากจับสังเกตได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเม่ยโง่ ทั้งไม่ได้หมายความว่านางมองไม่ออก นางเป็นนักฆ่า มีสัญชาตญาณการสังเกตแหลมคม สิ่งเล็กน้อยพวกนี้ นางย่อมมองออกชัดเจน
ดังนั้นในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้า นางคิดว่าการทักทายก็ไม่จำเป็น นางหาได้เป็นเหมือนลูกพี่ที่ชอบหัวเราะเฮฮา แต่ด่าผู้อื่นอยู่ในใจ
คนที่ไม่อยากสนใจ คนที่ไม่ชอบ นางก็ไม่คิดคบหา
จากนั้น
การกระทำเช่นนี้ของนาง ในสายตาของมู่หรงเหยาฉือเป็นการกระทำที่ดูแคลนกันมาก มู่หรงเหยาฉือเพียงรู้สึกว่าเยี่ยเม่ยดูแคลนนาง ดังนั้นจงใจทำให้นางโมโห
สีหน้านางไม่น่ามองชั่วแวบเดียว…
ทว่าไม่ส่งเสียงออกไป
หลูเซียงฮั่วเห็นภาพนี้ พลันรู้สึกอึดอัด อย่าว่าแต่เขาไม่ใช่มู่หรงเหยาฉือเลย ในยามนี้เห็นมู่หรงเหยาฉือ เขายังรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนอีกฝ่าย
แม่นางเยี่ยเม่ยไม่เกรงใจกันเลย
ในขณะที่หลูเซียงฮั่วกำลังมองภาพนี้ ก็ไม่รู้ว่าสมควรไกล่เกลี่ยอย่างไร ไม่รู้ว่าตัวเองสมควรเอ่ยอะไรเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้นมา
มู่หรงเหยาฉือคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะเป็นยอดหญิงที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้!”
นางเอ่ยประโยคนี้ หลูเซียงฮั่วค่อยคลายใจ
ถึงประโยคนี้ของมู่หรงเหยาฉือฟังแล้ว ไม่ได้หมายความว่านางโกรธเยี่ยเม่ย ทั้งไม่ได้ชื่นชมเยี่ยเม่ย ทำให้หลูเซียงฮั่วแอบชื่นชมในใจ มู่หรงเหยาฉือเป็นดังคำล่ำลือ เป็นสตรีที่ใจกว้างขวางนางหนึ่ง
อืม…
หากพูดกันตามสัตย์ หากเปรียบเทียบเช่นนี้ ท่าทางไม่ใส่ใจของแม่นางเยี่ยเม่ยแสดงให้เห็นถึงความใจแคบกว่า
แต่ว่าคิดถึงความเลื่อมใสที่มีต่อแม่นางเยี่ยเม่ย หลูเซียงฮั่วก็แอบบอกกับตัวเองว่า บางทีแม่นางเยี่ยเม่ยมีนิสัยเย็นชา ไม่ชอบพูดคุยกับคนไม่สนิทมากกว่า
เห็นสีหน้าเปลี่ยนไปของหลูเซียงฮั่ว มู่หรงเหยาฉือก็เข้าใจว่าตนเองบรรลุเป้าหมายแล้ว
ทำให้ผู้อื่นเห็นว่านางจิตใจกว้างขวาง ส่วนเยี่ยเม่ยใจคอคับแคบ เชื่อว่าขอเพียงอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลายการสร้างภาพลักษณ์เช่นนี้ ไม่ช้าข่าวที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ก็จะไปถึงองค์ชายสี่
เมื่อถึงเวลานี้ก็ไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว องค์ชายสี่ย่อมเข้าใจว่านางถึงเป็นคนที่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายาที่สุด
เพียงแต่นางก็เข้าใจพวกหลูเซียงฮั่วเคารพเลื่อมใสเยี่ยเม่ย ดังนั้นหากจะสร้างความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องภายในวันเดียว นางต้องอดทน!