เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 35
เป่ยเฉินเสียงเลิกคิ้วสูง
เซี่ยโหวเฉินพุ่งตัวออกจากหน้าต่าง ติดตามไปอย่างว่องไว
หลังจากเขาออกไปแล้ว แม้แต่เงาของผู้มายังไม่เห็นเลยสักน้อย กวาดตามองไปรอบทิศ ขมวดคิ้วกลับเข้าโรงเตี๊ยม มองเป่ยเฉินเสียง “องค์ชายใหญ่ ท่านว่า…”
“คือจิ่วหุน” เป่ยเฉินเสียงสีหน้าเดือดดาล เขาเช็ดหน้าตัวเอง เลือดเลอะมือ สิ่งนี้ทำให้เส้นเลือดแดงในตาเขายิ่งทวีความชัดเจนขึ้น
เซี่ยโหวเฉินเอ่ยว่า “ความเร็วระดับนี้ นอกจากจิ่วหุนแล้ว ไม่มีใครให้คิดถึงอีกเป็นคนที่สองจริงๆ เพียงแต่ไฉนเขาถึงไม่ยินยอมฆ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ซ้ำยังไม่ยอมให้พวกเขาหาตัวเขา ยังมีอีกเมื่อครู่เขาบอกว่าห้ามตามหาใครอีก”
เป่ยเฉินเสียงมองเซี่ยโหวเฉิน ทั้งสองมองหน้ากัน
ในสมองพลันปรากฏเงาร่างของคนคนเดียวกัน ตอนนี้พวกเขากำลังตามหาร่องรอยของคนผู้นี้จริงๆ
“เป็นนาง” สีหน้าหน้าเป่ยเฉินเสียงสงบนิ่งลง ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกแปลกใจนัก นางมีความสามารถอันใดกันแน่ จิ่วหุนถึงปกป้องนาง”
เซี่ยโหวเฉินยักไหล่ “ข้าก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน”
เป่ยเฉินเสียงกวาดตามองเขาทันที
เซี่ยโหวเฉินรีบโบกมือ อธิบายว่า “ข้าแค่แปลกใจ ไม่คิดแย่งสตรีของเตี้ยนเซี่ย”
เป่ยเฉินเสียงถึงถอนสายตากลับ
เพียงแต่เขาไม่สังเกตเห็นในเสี้ยววินาทีที่เขารั้งสายตากลับมา นัยน์ตาของเซี่ยโหวเฉินพลันเกิดแววเย็นวาบ
ในเวลานี้เอง มีองครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา “องค์ชายใหญ่ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนำทัพออกรบแล้ว”
“อ้อ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยน
……
นอกชายแดนราชสำนักเป่ยเฉิน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนั่งอยู่บนหลังม้า ลมทะเลทรายของต้ามั่วโหมพัด แต่ยังมิอาจบดบังรัศมีความสง่าของเขาได้ วันนี้เขาสวมชุดยาวสีแดง สีที่เดิมสมควรปิดบังความชั่วร้าย เมื่อสวมอยู่บนร่างเขากลับยังดูชั่วร้ายดั่งเดิม
ข้างกายเขา มีนายทหารคนหนึ่งเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เตี้ยนเซี่ย ห่างออกไปสิบลี้นี้ก็คือค่ายทหารของแม่ทัพใหญ่หวันเหยียนหง โย่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่ว พวกเราจะบุกทะลวงไปตรงๆ เลยหรือไม่”
ที่คิดไม่ถึงคือ เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วเพียงถามช้าๆ ว่า “เยียลี่ว์ซั่นอยู่ที่ใด”
หัวหน้าทหารนิ่งไป
หัวหน้าทหารเอ่ยตอบ “หน่วยลาดตระเวรของเราพบเบาะแสว่า เยียลี่ว์ซั่นซุ่มอยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่าลี้ เป็นกองหนุนให้หวังเหยียนหง”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง พยักหน้า สั่งการด้วยเสียงอบอุ่น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราอ้อมหวันเหยียนหงไปโจมตีเยียลี่ว์ซั่นผู้นั้น”
หัวหน้าทหาร “…เตี้ยนเซี่ย…เพราะ…เพราะเหตุใด”
องค์ชายสี่มีความแค้นอันใดกับเยียลี่ว์ซั่นผู้นั้นหรือ ก่อนหน้าเตี้ยนเซี่ยเอ่ยว่าจะสังหารเยียลี่ว์ซั่น เขายังคิดว่าเตี้ยนเซี่ยพูดเฉยๆ คิดไม่ถึงว่าจะมุ่งไปที่เยียลี่ว์ซั่นจริงๆ
เหตุไฉนต้องอ้อมเป็นวงกว้างขนาดนี้เพื่อไปหาเรื่องเยียลี่ว์ซั่น?
อวี้เหว่ยกลอกตาเงียบๆ เรื่องง่ายมาก ควบคุมเยียลี่ว์ซั่นไว้ อนุที่ได้รับความโปรดปรานจากเขาก็ไม่มีใครปกป้องอีก แม่นางผู้นั้นสังหารลู่จื่อเฟิงยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกหรือ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว รีบไสม้าเดินทาง
เขาเอ่ยไม่ยี่หระว่า “ชื่อเยียลี่ว์ซั่นนี้ ฟังแล้วดูเสแสร้งนัก เยี่ยนไม่ชินกับคนเสแสร้งเช่นนี้ไม่ได้”
คนทั้งหมด “…”
เมื่อเห็นเตี้ยนเซี่ยไสม้าออกไปแล้ว
คนทั้งหมดมุมปากกระตุกอย่างจนปัญญา ทำได้เพียงควบม้าตามไป เดินทางอ้อมไปพร้อมกับเตี้ยนเซี่ย
อวี้เหว่ยบ่นอุบอย่างทนไม่ไหวอีก “เตี้ยนเซี่ย ช่วงนี้ข้ออ้างในการหาเรื่องคนของท่านไม่จริงจังมากขึ้นทุกทีแล้ว…”
เขาเอ่ยเสียงเบามาก แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังได้ยิน
สายลมพัดผมดำขลับของคนผู้นั้น ความหล่อเหลาเล่ห์ร้ายชวนให้คนหายใจสะดุด เขากลับหัวเราะเบาๆ “เจ้าก็บอกแล้วว่าเป็นข้ออ้าง อย่างไรเสียข้ออ้างก็ใช้หลอกคน ยังจะจริงจังทำไมอีก”
ทุกคน “…”
ในใจเหล่าทหารทั้งหลาย ‘อย่างนั้นทำไมพวกเขาต้องไปจู่โจมเยียลี่ว์ซั่นด้วยเล่า’
ช่างเถอะ อย่างไรเสียเยียลี่ว์ซั่นนำทัพใหญ่ของต้ามั่ว หากเยียลี่ว์ซั่นตายแล้ว ก็นับเป็นความชอบใหญ่หลวงเช่นกัน
คนทั้งหมดมุ่งตรงไปยังที่พำนักของแม่ทัพใหญ่เยียลี่ว์ซั่น
……
ค่ายทหารต้ามั่ว
ในกระโจม สตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่งใบหน้ายิ้มแย้ม รับลู่จื่อเฟิงเข้ากระโจม “จื่อเฟิง เจ้ามาแล้ว อาได้ยินว่าเจ้าจะมา ดีใจอยู่หลายวัน พ่อแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ลู่จื่อเฟิงมองอาของตัวเอง ใบหน้าเยาว์วัยดูเสเพลนั้นพลันปรากฎแววตื่นเต้นหลายส่วน
เขาเข้ากระโจมอย่างร้อนรน หลังจากเข้าไป “ตึง” เสียงคุกเข่าดังขึ้น “ท่านอาหญิง ท่านต้องช่วยข้านะ ท่านต้องช่วยข้าด้วย”
เมื่อเขาเอ่ยออกไปแล้วสตรีนางนั้นชะงักไป
ยื่นมือพยุงลู่จื่อเฟิงขึ้นมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น มีอะไรค่อยๆพูด ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน อายังไม่อาจช่วยเจ้าอีกหรือ”
สีหน้าลู่จื่อเฟิงแตกตื่น ล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ยื่นให้สตรีผู้นั้น “ท่านอาหญิง นี่คือสารที่ท่านพ่อท่านแม่ให้พิราบส่งมา ท่านรีบดู สตรีผู้นั้นกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว นางฆ่าคนหลายคน ซ้ำยังทำร้ายท่านพ่อท่านแม่ ท่านพ่อท่านแม่บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ยังพักฟื้นอยู่”
พูดไป เขาร้อนรุ่มราวกับมดที่อยู่ในกระทะร้อน
เขาเอ่ยอย่างแตกตื่นต่อไป “ในจดหมายของท่านแม่บอกว่า สตรีนางนั้นติดตามมายังต้ามั่วแล้ว คิดฆ่าข้า ท่านแม่ยังบอกอีกว่า นางมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ให้ข้าระวังไว้ ท่านอาหญิง ท่านต้องช่วยข้านะ หากท่านไม่ช่วยข้าแล้ว ข้าต้องตายอย่างแน่นอน”
ลู่จื่อเฟิงยิ่งเอ่ย สีหน้ายิ่งลนลาน
สตรีนางนั้นหน้านิ่ง อ่านข้อความในจดหมายจนหมด สีหน้าเดือดดาล “นางสารเลว ถึงกับมีความกล้าเช่นนี้ แม้แต่พี่ชายกับอาซ้อข้ายังกล้าทำร้าย นางยังคิดฆ่าเจ้าในถิ่นข้าด้วย นางกล้ามา ข้าลู่หวานหว่านจะทำให้นางป่นปี้เป็นผุยผง”
เพิ่งสิ้นเสียงนาง
ด้านนอกกระโจมมีน้ำเสียงเย็นเยียบสายหนึ่งดังขึ้น “อย่างนั้นหรือ”