เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 5
ฉากนี้ทำเอาคนทั้งหลายตกตะลึง สูดลมหายใจเฮือก
เมื่อจับจ้องกลีบดอกไม้พวกนั้น พวกเขาตระหนักได้ว่า หากเตี้ยนเซี่ยหลบไม่พ้น เกรงว่าจะถูกกลีบดอกไม้เหล่านั้นทะลุร่างแล้ว
แววตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉายแววฉงน ปล่อยมือข้างที่จับขาเยี่ยเม่ย ในขณะเดียวกันระหว่างที่เขาหมุนมือนั้น ปราณพลังสีแดงแผ่พุ่งออกมา คล้ายกับกำแพงฉากหนึ่งบดบังอาวุธของเยี่ยเม่ยเอาไว้
เขาพลิกข้อมือ เสี้ยววินาทีถัดมาอาวุธเหล่านั้นเบี่ยงทิศทาง พุ่งกลับมาหาเยี่ยเม่ย
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในระยะประชิด พวกเขาทั้งสองคน ขอเพียงใครมีชักช้าไปครึ่งวินาทีก็ต้องจบชีวิตลงในที่แห่งนี้
เยี่ยเม่ยถอยหลังด้วยความไว
นัยน์ตาคมกริบราวมีด พัดในมือหมุนควงรวดเร็ว ควบคุมพลังรวบกลีบดอกไม้เหล่านั้นเก็บกลับเข้าสู่พัดอีกครึ่งซีกที่อยู่ในมือ นางโบกมือขึ้น ชายเสื้อพลิ้วไหว กลีบดอกไม้ค่อยรวมตัวกันใหม่กลายเป็นรูปพัด พับเข้ามาติดอีกครึ่งหนึ่ง
พัดหยกสมบูรณ์เล่มหนึ่งปรากฎสู่สายตาทุกคนอีกครั้ง
ไม่เสียหายเลยสักเล็กน้อย
นางไม่บาดเจ็บ ซ้ำพัดยังไม่เสียหาย
คนทั้งหมดมองนางด้วยสายตาตกตะลึง กระบวนท่าเมื่อครู่ขององค์ชายสี่แฝงพลังภายในแข็งแกร่งขุมหนึ่ง นางกลับรับมือได้โดยง่ายเช่นนี้ ซ้ำยังไม่บาดเจ็บเลยสักน้อย
ส่วนสายตาไม่ยี่หระต่ออะไรทั้งปวงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ค่อยๆ เคร่งขรึมลง
จ้องมองดวงหน้างดงามดุจนางฟ้า ขาวนวลเนียนราวเครื่องเคลือบของเยี่ยเม่ย มุมปากกดยิ้มน่าชม ใบหน้าปีศาจกลับรักษาความเคร่งขรึมไว้ น้ำเสียงอ่อนโยน “แม่นาง เจ้าทำให้เยี่ยนตกใจมาก”
เขาไม่รู้สึกถึงกำลังภายในจากร่างกายนางเลย ทว่าสามาถรับอาวุธลับกลีบดอกไม้พวกนั้นกลับมาตั้งรับได้ภายใต้สภาวะพลังปราณธรรมชาติของตน
การควบคุมชิ้นส่วนเล็กๆ นับพัน ซ้ำใช้ออกรั้งเข้าได้อย่างง่ายดายราวกับล้วงออกจากกระเป๋า ต่อให้เป็นคนมีกำลังภายในแข็งกล้า ก็ไม่แน่ว่าจะควบคุมกำลังได้เช่นนาง ส่วนคนที่ไร้กำลังภายในเลย กลับทำได้ถึงระดับนี้
อวี้เหว่ยอดใจลอบมองเยี่ยเม่ยไม่ได้ ทั้งหันกลับไปมองเตี้ยนเซี่ย
ใต้หล้านี้ คนที่มีความสามารถแท้จริงพอให้เตี้ยนเซี่ยเอ่ยประโยคนี้มีไม่มาก
เยี่ยเม่ยเห็นสีหน้าเคร่งขรึมลงของเขา แววตาคล้ายมองของเล่นที่มีอยู่ เปลี่ยนเป็นล้ำลึกขึ้นหลายส่วน นางไม่รีรอหมุนพัดในมือสอดเก็บเข้าเอว
จ้องมองใบหน้างดงามปีศาจข้างหน้า เอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชา “ความสามารถของท่าน ก็ทำให้ข้าแปลกใจเช่นกัน”
ถึงนางไม่เข้าใจว่าเขาควบคุมพลังสายนั้นได้อย่างไร ทว่าเดาได้ว่านั่นคือกำลังภายในที่ร่ำลือกัน ส่วนนางก็เคยมีวาสนาได้พบผู้สืบทอดศิลปะการต่อสู้โบราณในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ประมุขตระกูลเฟิงเคยบอกว่า ด้วยความสามารถของนาง ต่อให้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพก็ยากจะหลบการโจมตีของนางได้
ทว่าผู้ชายคนนี้ดันไม่เพียงแต่หลบได้ ซ้ำยังตอบโต้กลับได้ภายในเสี้ยววินาที นางจะไม่ตกใจได้อย่างไร
ไม่รอให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ย นางชิงกล่าวด้วยเสียงเย็นชาก่อน “ครบสามกระบวนท่าแล้ว ท่านไม่บาดเจ็บ ข้ายินดีรั้งอยู่ต่อหนึ่งวัน”
เขาฟังแล้ว ดวงตาฉายแววฉงน รอยยิ้มขบขันที่มุมปากเพิ่มความน่าสนุกอีกหลายส่วน
นัยน์ตาปีศาจทว่างดงามมองนาง “แม่นางยินยอมอยู่ต่ออีกวันเดียวเท่านั้นหรือ”
เยี่ยเม่ยมองเขา ตอบอย่างเย็นชา “หากท่านยังมีความสามารถทำให้ข้าแปลกใจอีกล่ะก็ บางทีข้าอาจยินยอมอยู่ต่ออีกครึ่งวัน แต่ครึ่งวันเท่านั้น มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ข้ากลัวว่าอยู่ร่วมกันนานไป ความรักที่ท่านมีต่อข้าจะยิ่งล้ำลึกจนท่านไม่อาจถอนตัวได้ กลายเป็นความลำบากใจสำหรับข้า”
อาศัยความสามารถของผู้ชายคนนี้ นางฆ่าทิ้งไม่ง่าย ดังนั้นเรื่องยุ่งยากนี้ อย่าได้ก่อขึ้นจะดีกว่า
บรรดาทหารในที่แห่งนี้ แอบกลืนน้ำลาย ไม่ใช้สายตาแปลกพิกลมองเยี่ยเม่ยอีก เพราะพวกเขาดูออกแล้ว สตรีผู้นี้มีความมั่นใจจากใจจริง มั่นใจเป็นนิสัย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว อึ้งไปเล็กน้อย ยิ้มขึ้นทันที หัวเราะเสียงเบาทว่าเสนาะหู ทำให้คนทั้งหมดเกิดอาการตัวสั่น ถัดมาองค์ชายสี่มองเยี่ยเม่ย สายตาทอประกายวาววับ “แม่นาง เจ้าสมควรมีอีกหลายกระบวนท่ามิใช่หรือ ในเมื่อยังเหลือกระบวนท่าอื่นอีก ไฉนไม่ใช้ออกมา”
เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง ความสามารถของนางก็ทำให้เขาตกใจได้มากพอแล้ว แต่กลับไม่ใช่ความสามารถทั้งหมดของนาง
เยี่ยเม่ยมองเขาทีหนึ่ง สายตาชื่นชม สีหน้ายังเย็นชาราวน้ำแข็ง
เสียงแข็งเอ่ยว่า “ข้ายังมีอีกหลายกระบวนท่าจริงๆ แต่ที่ข้าคิดไม่ถึงคือ ท่านถึงกับหลบกระบวนท่านดอกอิงพันกลีบของข้าไปได้โดยไม่บาดเจ็บเลย ดังนั้นจึงเสนอเงื่อนไขเพียงสามกระบวนท่า ข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อบอกว่าสามกระบวนท่าก็ต้องเป็นสามกระบวนท่า”
“ดี” เขาหัวเราะเสียงนุ่ม กระแสเสียงไพเราะเสนาะหู สูงส่งราวกับเทพเจ้า เขาจ้องหน้านาง ชุดยาวของเขาพลิ้วไหว เอ่ยแช่มช้าว่า “แม่นาง การรักษาคำพูดเป็นแค่โซ่ตรวนที่คนไร้ความสามารถใช้พัวพันคนมีความสามารถ การร่วมมือส่วนมากมักเป็นฝ่ายอ่อนแอ บีบบังคับให้ฝ่ายเข้มแข็งรักษาสัญญา ส่วนคนที่รักษาสัญญาก็ตกหลุมพรางของพวกคนอ่อนแอ แต่ไรมาเยี่ยนไม่ใส่ใจคำว่ารักษาคำพูด มาตรว่าเยี่ยนดีใจที่แม่นางรักษาสัญญา ทว่าอยากเตือนแม่นางไว้ อย่าได้ให้ความสำคัญกับคำว่ารักษาคำพูด”
เหล่าทหารมองหน้ากับเงียบๆ คำพูดของเตี้ยนเซี่ยฟังดูมีเหตุผล การรักษาสัจจะส่วนมากเป็นฝ่ายอ่อนแอเสนอให้ฝ่ายเข้มแข็งรักษา แต่ว่าฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีที่ใดไม่ถูกต้อง
อวี้เหว่ยมองท้องฟ้าเงียบๆ
เตี้ยนเซี่ยเอาอีกแล้ว
ฝีมือล้างสมองของเตี้ยนเซี่ย ต่อให้คนปกติที่มีทัศนคติที่ถูกต้อง ได้ฟังเหตุผลบิดเบี้ยวของเตี้ยนเซี่ย ยังเริ่มเกิดความสงสัยในชีวิต สงสัยตัวเอง สงสัยหลักคุณธรรม สงสัยในสิ่งที่ตนเคยยึดมั่น จากนั้นถูกเตี้ยนเซี่ยชักนำสู่หลุมพราง
นี่คือสาเหตุที่ผู้อื่นรู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยคือปีศาจ เพราะไม่เพียงแต่เขาชอบฆ่าคน เขายังชอบทรมานใจคน น่ากลัวว่าแม่นางผู้นี้จะถูกชักจูงแล้ว…
เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสักพัก เสียงเย็นชา “ข้าไม่สนใจปรัชญาของท่าน ไม่ต้องพูดเหลวไหลแล้ว ท่านกำลังสิ้นเปลืองความอดทนอันน้อยนิดของข้าอยู่ บอกมาเถอะ ตอนนี้จะไปที่ไหน”
เอ๋
อวี้เหว่ยทึ่งไป มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา
คนทั่วไปเมื่อพิจารณาคำพูดของเตี้ยนเซี่ยได้ครู่หนึ่ง สีหน้าจะเริ่มหมดอาลัย ทัศนคติสั่นคลอน ซ้ำยังรู้สึกว่ามีเหตุผล แม่นางผู้นี้อาศัยคำพูดเดียวสยบได้แล้ว
นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา คนทั้งหมดพากันสูดลมหายใจลึก กล้าบอกว่าความหวังดีของเตี้ยนเซี่ยเป็นคำพูดไร้สาระ แม่นางผู้นี้เกรงว่าไม่ต้องการชีวิตแล้ว
ใครจะรู้ว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังประโยคนี้จบ ไม่โมโหสักน้อย
เขากลับหัวเราะช้าๆ สายตามองเยี่ยเม่ยยิ่งวาวโรจน์ขึ้น เหลือบไปมองนายทหารที่คุกเข่าอยู่ข้างศพแม่ทัพหยวน ถามเนิบๆ ว่า “แม่ทัพหลี่ เจ้าว่าอีกเดี๋ยวพวกเราไปที่ไหนต่อดี”
“กลับเมือง” แม่ทัพหลี่ตอบกลับเสียงสั่น
เขาพยักหน้า “อย่างนั้นก็กลับเมืองเถอะ”
อวี้เหว่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความแปลกใจ เตี้ยนเซี่ยจะพานางกลับไปจริง ๆ หรือ เตี้ยนเซี่ยคิดทำอะไรกันแน่ หรือว่าเตี้ยนเซี่ยชอบผู้อื่นเข้าให้แล้ว ช่างเถอะ อย่างไรเสียเตี้ยนเซี่ยอารมณ์แปรปรวน ทำอะไรตามใจเป็นนิจ ความคิดของเตี้ยนเซี่ย เขาไม่เข้าใจ
หลังจากนั้นสามเค่อ[1] คนทั้งกลุ่มเดินทางกลับเมือง
เยี่ยเม่ยลูบท้องหิวโหยของตน หันมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความเย็นชา ในขณะที่ตะลึงในความรูปงามของผู้ชายคนนี้ เวลาเดียวกันนางก็เสนอความเห็นของตนอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านไม่ใช่ตามจีบข้าหรือไง ข้าจะสอนท่านให้ ท่านต้องใส่ใจข้า เอาใจข้า ตอนนี้ข้าหิวแล้ว ท่านช่วยข้าเตรียมของกินไว้หน่อย ข้าต้องการของอร่อย ดื่มน้ำแร่จากเขา กินเนื้อรสชาติสดใหม่ จริงสิ กลางคืนข้ายังต้องการที่พักที่มีชื่อเสียงทิวทัศน์งดงาม ท่านช่วยข้าจัดเตรียมได้ใช่ไหม”
คนทั้งหมด “…” พวกเขารู้สึกจริงๆ ว่าแม่นางผู้นี้ได้คืบเอาศอก ไม่ต้องการชีวิตแล้ว
เยี่ยเม่ยกลับไม่คิดเช่นนั้น นางไม่มีทางทำตัวเองลำบาก
ส่วนที่นางรับปากอยู่ต่อก็แค่วันเดียวเท่านั้น กลางคืนต้องคิดให้ดีว่า พรุ่งนี้ควรเดินทางไปไหน ภายหน้าจะเอาอย่างไร สมควรสานต่อสายอาชีพเดิมหรือเปล่า เรื่องเหล่านี้ยังต้องใคร่ครวญ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วเลิกคิ้วสูง ดูจากแววตาขบคิดของนาง เขามองความต้องการจากไปของนางออก
เขาเองก็ไม่คัดค้าน นัยน์ตาทอยิ้ม แววตาชั่วร้ายจ้องนาง ตอบช้าๆ ว่า “ได้แน่นอน ภายหน้าแม่นางอยากกินสิ่งใด ก็คือสิ่งที่เยี่ยนจะกิน แม่นางต้องการสิ่งใด เยี่ยนจะคำนึงถึงทุกเช้าค่ำ พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม”
“เข้าใจแล้ว” คนทั้งหมดสั่นเทิ้ม รีบตอบรับ
ความหมายของประโยคนี้คือ แม่นางท่านนี้พูดอะไรก็คืออย่างนั้น
ในเวลานี้ประตูเมืองเปิดออก ขุนนางบุ๋นนำขบวนเดินออกมาอย่างเร่งร้อน ด้านหลังเขาติดตามมาด้วยแม่นางน้อยสวมชุดผ้าต่วนสีเหลือง แม่นางผู้นี้ใบหน้าหยิ่งผยอง ดูปราดเดียวก็รู้ว่าได้รับการเอาใจมาแต่เด็กจนโต
หลังจากนางพุ่งออกจากประตูเมือง ก็เห็นเยี่ยเม่ยข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ไม่รอให้ใครเอ่ยอะไร นางก็ชี้เยี่ยเม่ย หน้านิ่ว ถามด้วยความโกรธเคือง “พี่เยี่ยน นางคือใคร”
[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับ 15 นาที