เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 53
“ปล่อยข้าไปหรือ[1]? องค์ชายใหญ่ท่านมีอาชีพปล่อยม้า[2]หรอกหรือ” เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองหน้าเขา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าอยากได้ม้าอะไร ไม่จำเป็นให้องค์ชายใหญ่ปล่อย ข้าไปยื้อแย่งมาเองได้”
พูดจบนางก็เปิดม่านกระโจมเดินออกไป
หนึ่งคำพูดสองความหมายนี้ทำเป่ยเฉินเสียงโมโหเสียจนสีหน้าบอกไม่ถูก คล้ายกับมีเด็กน้อยละเลงสีน้ำลงไปไม่ผิดเพี้ยน
ทางหนึ่งบอกว่าเป่ยเฉินเสียงไม่รู้จักประมาณความสามารถตน อีกทางหนึ่งยังเตือนเรื่องที่ตนเองถูกนางขโมยม้าไปเมื่อครั้งก่อน คำพูดเช่นนี้เป่ยเฉินเสียงจะไม่โมโหได้อย่างไร
เขากำหมัดแน่น หากวันใดสตรีนางนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือเขา เขาจะต้อง…
เยี่ยเม่ยไม่มีเวลาว่างสนใจว่าเขาโมโหตนหรือไม่ นางไม่ใส่ใจ เดินออกจากกระโจมไป
เหล่าทหารไม่รู้ว่านางเตรียมแผนการใดไว้ สายตาคนทั้งหมดที่มองนางยังอัดแน่นไปด้วยความอึดอัดและไม่มั่นใจ กังวลในอนาคตของตน
เยี่ยเม่ยไม่เอ่ยอะไร หลังจากเดินห่างจากกระโจมร้อยเมตร ก็เห็นบุรุษที่มีท่วงท่าสง่างามเกินคนธรรมดายืนอยู่ไม่ไกลออกไป นัยต์ตาสีเขียวเจือรอยยิ้ม มองนางอย่างสงบ
นั่นก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
นางเดินไปด้านหน้า จ้องเขา ถามเสียงเย็นชาว่า “อยากรู้ว่าข้ามีแผนอะไรหรือ”
เขาได้ฟัง กลอกตามองใบหน้าตาเย็นชาของนาง มุมปากยิ้มยกขึ้น เอ่ยช้าๆว่า “จำเป็นด้วยหรือ เยี่ยนเชื่อมั่นในความสามารถและสติปัญญาของแม่นางเยี่ยเม่ย”
เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปากน้อยๆ ต้องบอกว่าในใจนางรู้สึกดีกับบุรุษผู้นี้เพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
นางชื่นชอบคนที่ชมตนมาโดยตลอด การแสดงออกของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นได้ชัดว่า เขาตรงกับมาตรฐาน ‘ความชอบมาโดยตลอด’ ของนาง
นางผงกหัวให้อย่างเกรงใจ เอ่ยเสียงเย็นชาไปว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เสด็จพี่ใหญ่ของท่าน เมื่อครู่พยายามชักจูงข้าไปเป็นพวก ให้ข้ามอบตราพยัคฆ์ให้กับเขา”
ในใจเขาสมควรคิดได้ ที่เอ่ยออกมาก็เพื่อบอกว่านางจริงใจบริสุทธิ์ใจ
ผู้อื่นมอบอำนาจในการทหารให้นางแล้ว การปฏิบัติด้วยเช่นนี้ นางต้องตอบแทนความเชื่อใจอย่างแน่นอน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับชะงักไปเล็กน้อย เขาย่อมรู้ว่าเป่ยเฉินเสียงไปหานางแล้ว เพียงแต่ด้วยนิสัยเย็นชาและไม่ไว้หน้าใครของนาง เขาคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายเอ่ยบอกเรื่องนี้กับเขาเอง
เห็นเขาไม่พูด เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “เชื่อว่าท่านคงรู้เรื่องแล้ว ท่านกังวลว่าข้าจะหวั่นไหวกับข้อเสนอของเขา จะย้ายไปพึ่งพิงเขาหรือไม่”
นางเอ่ยคำนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มออกทันที
เสียงทั้งน่าฟังและเชื่องช้าอธิบายว่า “เยี่ยนเชื่อว่าแม่นางเยี่ยเม่ยผู้เพียบพร้อมงดงาม ต้องชอบเป็นพวกเดียวกับผู้เข้มแข็งอย่างแน่นอน”
ส่วนระหว่างเขากับเสด็จพี่ใหญ่ ใครเป็นผู้เข้มแข็ง ความจริงนี้มองปราดเดียวก็เข้าใจ
ไม่อาจไม่บอกว่าคำพูดแต่ละประโยคของบุรุษผู้นี้ตรงใจของนางได้อย่างง่ายดาย คำว่าเพียบพร้อมงดงามอธิบายถึงตัวนางชัดๆ นางเดินผ่านเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พลันยื่นมือวางไว้บนบ่าเขา น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยว่า “ปากน้อยๆของท่านช่างหวานนัก ข้าชอบเหลือเกิน ภายหน้าก็ยกยอข้าต่อไป”
เขามองมือบนบ่าตน ไม่เบี่ยงตัวหลบ
นัยน์ตาสีเขียวกลับฉายแววยินดี ถามช้าๆ ว่า “ถ้าหากเยี่ยนเป็นเช่นนี้ตลอดไป ชื่นชมแม่นางเยี่ยเม่ย ยกยอแม่นางเยี่ยเม่ยไปตามความจริง จะได้รับความชื่นชอบจากแม่นางเยี่ยเม่ยยิ่งขึ้นหรือไม่”
ต้องบอกว่าคำว่า “ไปตามความจริง” ในคำพูดของเขา ได้รับความรู้สึกดีจากเยี่ยเม่ยอีกครั้ง
คำศัพท์นี้สามารถพิสูจน์มากพอว่าคำชมของเขาล้วนมาจากใจ หาได้เป็นการเสแสร้งประจบเอาใจ
เวลานี้เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยสายตาชื่นชม น้ำเสียงเย็นเอ่ย “ถูกต้องแล้ว พยายามต่อ คนในโลกนี้รู้จักข้อดีของข้ามากมาย ทว่าคนที่สามารถพูดออกมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับข้า มีน้อยเต็มที ข้าชื่นชมท่าน ชื่นชมมาก ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน พบกันวันพรุ่งนี้”
คำพูดนี้เป็นคำจากใจจริง อย่างเช่นว่านางไม่มีทางไปอยู่ข้างเป่ยเฉินเสียง เหตุผลหลักก็คือเพราะว่า เป่ยเฉินเสียงไม่เคยเอ่ยชมนางเลย ทั้งมองความโดดเด่นของนางไม่ออก นางสงสัยว่าเป่ยเฉินเสียงออกจะตาบอดไปหน่อย
เยี่ยเม่ยถอนมือออกจากบ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก้าวเท้าจากไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่รั้งนางไว้ ทั้งรู้ว่าสองวันนี้นางเหนื่อยมากพอแล้ว ดังนั้นนางต้องการพักผ่อน เขาก็ไม่พร่ำมากความ
เขามองส่งเยี่ยเม่ยจากไปไกล นัยน์ตาองค์ชายสี่ตื่นเต้นอย่างมาก
ในเวลานี้เองพลันมีแม่ทัพผู้หนึ่งเดินผ่านมา นั่นก็คือแม่ทัพหลูคนที่เยี่ยเม่ยกระซิบให้ออกไปทำงานผู้นั้น
แม่ทัพหลูเดินถึงเบื้องหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ค้อมกายเอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย แม่นางเยี่ยเม่ยให้ข้าน้อย…”
เขายังไม่ทันเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยกมือยั้งไว้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยช้าว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ทำไป ไม่ต้องรายงานเยี่ยน ในเมื่อเยี่ยนมอบตราพยัคฆ์ให้นางก็คือเชื่อนางอย่างถึงที่สุด”
วันนี้แม่ทัพหลูได้ฟังแผนการของเยี่ยเม่ย ความจริงก็รู้สึกว่าสตรีผู้นั้นไม่อาจดูแคลน เดิมทีก็แค่คิดรายงานเตี้ยนเซี่ยไปตามหน้าที่ ที่ไหนได้เตี้ยนเซี่ยกลับรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรายงาน
แม่ทัพหลูเองก็ไม่สนใจอีก รีบประสานหมัดเอ่ย “ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวไปปฎิบัติหน้าที่แล้ว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มองเขา เพียงโบกมือ “ไปเถอะ”
…
ตกดึก ค่ายทหารต้ามั่ว ทหารต้ามั่วกลับมาแล้ว
ในกระโจมของราชาต้ามั่ว ลู่หวานหว่านนั่งอยู่ข้างกายราชาต้ามั่วในขณะนี้ แต่งหน้าแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เทียบกับสภาพน่าอนาถเมื่อวาน นางที่ยามนี้แต่งหน้าอย่างตั้งใจดูงดงามยั่วยวนคนกว่ามาก
ถัดมามีเซียวชิน และเหล่าทหารต้ามั่ว
ราชาต้ามั่วมองเซียวชิน เอ่ยปากถาม “ความหมายของจั่วอี้อ๋องคือ วันนี้เจ้านำคนออกไปจู่โจมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเขาหาได้นำทัพรับศึก กลับทำเป็นไม่เห็นพวกเจ้าแล้ว”
“ไม่ผิด” เซียวชินพยักหน้า เอ่ยตอบต่ออย่างรวดเร็วว่า “ฝืนจู่โจม ต่อให้สังหารศัตรูพันคนก็สูญเสียแปดร้อย สูญเสียมากไป ดังนั้นกระหม่อมไม่กล้าฝืนจู่โจม”
ราชาต้ามั่วพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา พลันมีนายทหารผู้หนึ่งวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา หลังจากนั้นเอ่ยปากว่า “ท่านข่าน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่งราชทูตมา”
คนทั้งหมดล้วนตะลึง
หลังจากราชาต้ามั่วขมวดคิ้ว ก็เอ่ยปากว่า “ให้เขาเข้ามา”
สิ้นเสียง แม่ทัพหลูก็สาวเท้ากว้างเข้ามา ใบหน้าเขาแข็งขืน สีหน้าเดือดดาลและไม่ยินยอม หลังจากเข้าประตูมา ก็ทำตามที่เยี่ยเม่ยสั่งการ เอ่ยปากว่า “ข้ามาส่งสาร”
เซียวชินมองเขาแวบหนึ่ง “แค่คนส่งสารตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่าไหน เหตุใดถึงโอหังเช่นนี้”
“พวกเจ้าจะรับหรือไม่ก็ตามใจ” แม่ทัพหลูโมโหเสียหน้าเขียว ไม่สบอารมณ์ ดังนั้นแสดงท่าทางจะไม่อยากเสวนามากความ
ท่าทางเช่นนี้ดึงดูดความแปลกใจของราชาต้ามั่ว
เขาเอ่ยปากว่า “สารอะไร ส่งมาให้ข้าดู”
ข้ารับใช้ข้างกายราชาต้ามั่วเดินไปหยุดหน้าแม่ทัพหลู นำสารกลับมาส่งให้กับราชาต้ามั่ว ราชาต้ามั่วเปิดสารออก อ่านข้อความภายใน ชะงักงันไปในฉับพลัน รู้ไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง ซ้ำยังกลัดกลุ้ม
เขาตวัดสายตามองแม่ทัพหลู ถามว่า “นี่คือความต้องการของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือ”
แม่ทัพหลูหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยปากว่า “องค์ชายสี่ถูกสตรีนางนั้นล่อลวงไปนานแล้ว มอบตราพยัคฆ์ให้แก่นาง นี่ย่อมเป็นคำสั่งของสตรีนางนั้น”
ลู่หวานหว่านทนความแปลกใจไม่ไหว ถามคำถามที่อยู่ในใจของคนทั้งหมดในที่นี้ “ท่านข่าน สารนั้นว่าอย่างไรบ้าง”
[1] 放我一马 (ฟ่างหว่ออี้หม่า) หมายถึง ปล่อยฉันไปครั้งหนึ่ง
[2] 放 (ฟ่าง) หมายถึง ปล่อย 马(หม่า) หมายถึง ม้า แปลตรงตัวว่าปล่อยม้า ในที่นี้เป็นการเล่นคำกับประโยคแรกที่บอกว่า ปล่อยฉันไปครั้งหนึ่ง