เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 58
จิ่วหุนไม่พูดอะไร ในมือถือมีดสั้น แต่เมื่อตวัดเบาๆ ประกายมีดแวววับภายใต้แสงอาทิตย์แยงตา
แต่ว่าจิตสังหารยิ่งหนักแน่น เห็นได้ชัดว่าเขารอหลังจากประมือกัน คนทั้งหมดจะยิ่งรู้ชัดว่า คนที่ไม่ประมาณตนสรุปแล้วคือใครกันแน่
เยี่ยเม่ยเห็นท่าทีของเขาทั้งคู่ ขมวดคิ้ว นางยื่นมือออกไปจับคอเสื้อของจิ่วหุนอย่างไม่ปราณี กระชากคนไปด้านหลังตน…
นางลงมืออย่างรวดเร็ว ออกแรงไม่น้อยดึงคนไปอยู่ข้างหลังตน
จิ่วหุนมีสติรับรู้ว่าเป็นนาง จึงไม่กล้าทำร้ายนาง ด้วยเหตุนี้เขาถึงถูกดึงไปได้
แต่คนทั้งหมดต่างเห็นว่าใบหน้าของจิ่วหุนว่างเปล่าไปเสี้ยววิ จนกระทั่งใบหน้างดงามมีชีวิตชีวานั้นมีความรู้สึกที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้ง่าย…ความขุ่นเคืองและอับอาย
หลังจากทำให้พวกเขาทั้งสองคนรักษาระยะห่างระหว่างกันได้เรียบร้อย เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทั้งคู่ ถามเสียงเย็นชา “พวกท่านสองคนมีเหตุผลที่ต้องต่อยตีกันให้ได้หรือ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกยิ้มน่ามอง ทั้งยังกระตุกมุมปากน้อยๆ ยากจับสังเกตได้ ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดว่า ยามที่ตนเองกับกับคนอื่นเตรียมจะเปิดศึกกัน จะมีสตรีนางหนึ่งมาดึง…ดึงคนหลบไป
เยี่ยเม่ยเห็นพวกเขาไม่พูดจา มองจิ่วหุน เอ่ยปาก “ไม่มีเหตุไม่มีผล แล้วจะทะเลาะกันทำไม เก็บมีดสั้น”
น้ำเสียงไม่นับว่าเป็นคำสั่ง แต่ก็ไม่ค่อยดีนัก
จิ่วหุนไม่ส่งเสียง แต่ว่าก็เก็บมีดสั้นกลับมาอย่างเชื่อฟัง
เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สายตาเย็นชา แววตาแผ่ไอชวนให้เหน็บหนาว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนความรู้สึกไว เห็นสีหน้านางไม่ดี ไม่รอให้นางเอ่ยปาก กระบี่ยาวที่เกิดจากกำลังภายในในมือก็หายไป
ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีสีหน้าประจบเอาใจอย่างที่ทำให้คนไม่อยากเชื่อ ยิ้มอ่อนโยนเอ่ย “เก็บแล้ว เก็บแล้ว ขอเพียงแม่นางเยี่ยเม่ยมองมา เยี่ยนก็ยินดีทำตามความปรารถนาของเจ้าทันที”
เขาแสดงออกด้วยท่าทางว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครเชื่อฟังเท่าข้าอีกแล้ว
อวี้เหว่ยยืนอยู่หลังเขา แอบปาดเหงื่อไม่พูดไม่จา
เยี่ยเม่ยเห็นว่าเขาทั้งสองให้ความร่วมมือ ไม่ต่อยตีกันต่อหน้านางก็พอใจ แต่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกอย่างฉับพลัน มองจิ่วหุนเอ่ยว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ข้า”
นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา จิ่วหุนนิ่งชะงัก ใบหน้าแดงเรื่อไม่เป็นธรรมชาติ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสายตานิ่งไป นัยน์ตามีประกายดุร้ายฉายออกมา สายตาที่มองจิ่วหุนก็ไม่เป็นมิตร เห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังคำสารภาพจากปากจิ่วหุน
ความจริงก็ชัดเจนแล้ว บุรุษผู้หนึ่งไม่ยินยอมให้คนอื่นเข้าใกล้สตรีนางหนึ่ง นอกจากความปลอดภัย ย่อมหมายถึงความหึงหวง
เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุนไม่พูดจาอยู่นาน ใบหน้ากลับแดงขึ้นมาเล็กน้อย พลันตระหนักได้ ลูบคางตัวเอง เอ่ยปากว่า “ข้าเห็นหน้าเจ้าแดง…”
คนทั้งหมดเข้าใจแจ่มแจ้ง รู้สึกว่านางที่หลงตัวเองมาตลอด เดาได้ก็ไม่แปลก
จากนั้นพวกเขาพบว่าสตรีเบื้องหน้าตนผู้นี้ เทียบกับสตรีที่หลงตัวเองแล้วยังหลงตัวเองมากกว่ามาก…
เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอยู่สามวินาที จ้องจิ่วหุน จากนั้นมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากเสียงเย็นชาว่า “นอกจากว่าบนตัวข้ามีกลิ่นไอเซียน ยืนอยู่ข้างกายข้ายิ่งทำให้เจ้าสีหน้าสดใส วรยุทธ์ก้าวหน้า เจ้ากลัวเขาจะเอาเปรียบ คิดยึดไว้คนเดียว”
จิ่วหุน “…?”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…”
คนทั้งหมด “….?”
เยี่ยเม่ยคิดว่าตนเองก็เป็นคนที่ย้อนเวลากลับมา ไม่แน่ว่าบนร่างจะมีกลิ่นไอเซียน พลังเหนือธรรมชาติอะไรพวกนั้นจริงล่ะ ใช่ไหม
เมื่อพบว่าหลังจากสิ้นคำพูดตนเอง สีหน้าทุกคนล้วนว่างเปล่า
เยี่ยเม่ยหลงคิดว่าตนเดาถูกแล้ว นางพยักหน้า คิดถึงพฤติกรรมของทุกคนก่อนหน้านี้ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “มิน่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าแต่ละคนคิดจับข้า คิดติดตามข้า ข้าเข้าใจมาตลอดว่า พวกท่านล้วนถูกรูปโฉมงดงาม ท่าทางสง่างามเกินทั่วไปของข้าดึงดูด ตอนนี้ดูแล้ว คงเป็นเพราะข้ามั่นใจในตัวเองเกินไป”
คนทั้งหมด “…”
ในที่สุดวันนี้พวกเขาก็ได้รับรู้แล้วว่า คนหน้าไม่อายผู้หนึ่ง มีความหลงตัวเองเกินเหตุได้ถึงขั้นไหน
แม้กระทั่งเป่ยเฉินเสียงที่เพิ่งเดินเข้ามา ได้ฟังประโยคนี้ของนาง ยังรู้สึกว่าตัวเองจนปัญญาเดินต่อไป เขาอยากหันหลังเดินกลับแล้ว
เวลานี้เขาพลันเข้าใจแล้ว เพราะเหตุใตสตรีนางนี้ถึงได้หน้าหนานัก ชื่นชมหลงตัวเองอย่างจริงจัง ไฉนทุกครั้งที่ตนสงสัยความสามารถของนาง นางโมโหถึงเพียงนั้น ที่แท้นางวางฐานะตัวเองไว้สูงส่งถึงเพียงนี้ เขาถึงกับสงสัยว่าเมื่อวานใช้คำพูดโน้มน้าวให้นางมอบตราพยัคฆ์ให้ตน ออกจะเบาปัญญาใช่หรือไม่
หลังจากความเงียบสงบอย่างพิลึกผ่านไปชั่วครู่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเหยียดปาก รอยยิ้มอ่อนโยน พยักหน้าเอ่ยช้าๆ ว่า “ความจริงแล้วแม่นางก็ไม่ได้คาดการผิดไปเสียทั้งหมด ทุกคนหลงใหลรูปโฉมและท่วงท่าสง่างามของแม่นางจริงๆ บนตัวของแม่นางมีไอเซียนประดุจนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ ทำให้คนที่อยู่ใกล้อดลุ่มหลงไม่ได้”
คนทั้งหมดหันไปมององค์ชายสี่ของพวกเขา รู้สึกว่าบนหัวขององค์ชายสี่มีคำสามคำปรากฎอยู่….จอมประจบ
ชั่วชีวิตของอวี้เหว่ยไม่เคยได้ยินเตี้ยนเซี่ยเอ่ยวาจาเอาใจถึงขั้นนี้ เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากออกอย่างไม่เชื่อ
เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของเขา กลับดื่มด่ำมาก มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างชื่นชม กล่าวยอด้วยเสียงนิ่ง “สายตาเหนือคนทั่วไปของท่าน ทำให้ข้ารู้สึกว่าการช่วยท่านนำทัพเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างเทียบไม่ได้ ชีวิตข้านี้ชอบให้คนชื่นชมข้าจากความจริงมากที่สุด”
คนทั้งหมด “…” นี่เรียกว่าความจริงอีกเหรอ ยังจะชื่นชมเจ้าจากความจริงอะไรอีกเล่า
ช่างเถอะ นับว่าพวกเขาเข้าใจแล้ว แม่นางท่านนี้เห็นคำชื่นชมทั้ง ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคำชื่นชมเหลวไหลไปเรื่อยเป็นคำชื่นชมจากความจริง อย่างไรเสียนางก็หลงตัวเองเกินไป
จิ่วหุนเห็นปฏิกิริยาของนาง ก็เข้าใจอารมณ์ของนางแล้ว
เขามิได้โง่ ความจริงยิ่งเป็นคนที่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความรู้สึกไวกว่าคนปกติมากเท่านั้น ทั้งยังเข้าใจความรู้สึกในใจของคนได้ง่าย ทั้งยังประจบเอาใจผู้อื่นอย่างระมัดระวังมากกว่าคนทั่วไปด้วย
ในเสี้ยวนาทีนี้เขาสงสัยว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนประเภทเดียวกับเขา
ดังนั้นถึงเขาจะไม่ชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพื่อเอาใจเยี่ยเม่ยที่เขาชื่นชอบ เขารับพยักหน้า “เจ้าพูดถูก”
เขามองเยี่ยเม่ยด้วยท่าทางเชื่อฟังเอาใจ
ในเมื่อเจ้าเรื่องทั้งสองเอ่ยเช่นนี้แล้ว ผู้ชมรอบด้านยังพูดอะไรได้เล่า ทุกคนต่างถอนสายชมเรื่องสนุกกลับ ที่สมควรทำงานก็ทำงาน สมควรเงียบก็เงียบ ที่สมควรมองท้องฟ้าก็มองไป
ในเวลานี้เป่ยเฉินเสียงกลั้นความรู้สึกจนปัญญาเดินเข้ามา มองเยี่ยเม่ยและคนอื่น เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ได้ยินว่าเจ้าทำสัญญาแลกของกับราชาต้ามั่ว ทั้งยังเตรียมเอาเสบียงไปแลกด้วย ไม่ทราบว่าเจ้าคิดจะแลกอะไรมา”
เยี่ยเม่ยหันมองเขา ถามเสียงเย็นชา “เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย”
สำหรับคนไม่เข้าใจคุณค่าของนาง คนที่ไม่ยอมรับความสามารถของนางแล้ว นางไม่ใส่ใจเลยสักน้อย
เป่ยเฉินเสียงสีหน้าแข็งนิ่ง หลายปีมาแล้วนอกจากอยู่ต่อหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มีเพียงเยี่ยเม่ยคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เห็นเขาเป็นองค์ชาย กล้าเอ่ยวาจากับเขาเช่นนี้ แม้กระทั่งเสด็จพ่อยังไม่เคยไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้
ยังไม่ทันเอ่ยอะไร ในเวลานี้ คนผู้หนึ่งปรากฎกายไม่ไกลออกไปจากประตูเมือง หลังจากคนผู้นั้นใกล้เข้ามา องครักษ์ทั้งหลายรีบก้าวออกไปรั้งไว้
เยี่ยเม่ยมองคนผู้นั้น คนผู้นั้นก็มองเยี่ยเม่ย
ในเสี้ยวนาทีนั้นเอง ฝ่ายตรงข้ามเบิกตากว้างมองอย่างไม่เชื่อ ชี้เยี่ยเม่ย ริมฝีปากสั่นเอ่ยว่า “เป็น…เป็นเจ้า?”