เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 60
นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา อย่าว่าแต่คนฟังด้านข้างเลย แม้แต่เยี่ยเม่ยเองยังหวั่นไหว
ส่วนที่ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เพราะราชาดาบทั้งหมด หากเป็นเพราะราชาดาบ นางสัญญาว่าติดหนี้บุญคุณก็พอแล้ว ต่อให้กำหนดสัญญาไว้หลายปี ก็ไม่ถึงขั้นยาวนานถึงสิบปี
เพียงแต่…
แม่นางเบื้องหน้านี้รูปร่างหน้าตาคล้ายสหายของตนจริงๆ นางอยากอยู่ข้างกายอีกฝ่ายเพื่อยืนยันว่า…
อีกฝ่ายคือจงเจิ้งซีหรือไม่
เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจแผนการของนาง กลับเลิกคิ้ว “เจ้าสามารถไปสืบดูที่ต้ามั่วก่อนได้ กลับมาแล้วค่อยปรึกษากับข้าว่าก้าวต่อไปจะทำอย่างไร ข้าจะพยายามช่วยเจ้าตามหาคนอย่างถึงที่สุด ส่วนที่ว่าเจ้าจะอยู่ข้างไปอีกสิบปีหรือไม่ ข้าไม่ถือสา”
นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา ซือหม่าหรุ่ยใจเต้นระส่ำ มองนางอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อว่า “ข้ายุ่งเรื่องนี้ เพียงเพราะเจ้ายินยอมเสียสละเพื่อพี่บุญธรรมถึงขั้นนี้ พูดตามตรงแล้วคนที่สามารถเสียสละเพื่อสหายได้ หาได้ยากจริงๆ สมควรแก่การเคารพ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว เลิกคิ้วสูงด้วยท่วงท่าสง่างาม นัยน์ตามีแววสนุกสนานหลายส่วน
ซือหม่าหรุ่ยก็รำลึกถึงเรื่องในอดีตอยู่บ้าง
เป่ยเฉินเสียงกลับขมวดคิ้ว แววตามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เห็นด้วย อีกทั้งเขาอดทนไม่ไหวก้าวออกมา เอ่ยปากกับซือหม่าหรุ่ยว่า “ท่านหมอเทวดา ตัวข้าก็สามารถช่วยเจ้าตามหาราชาดาบได้ ข้านี้คือองค์ชายใหญ่แห่งเป่ยเฉิน เป่ยเฉินเสียง…”
ซือหม่าหรุ่ยคารวะเป่ยเฉินเสียง ปฏิเสธคำเสนอของอีกฝ่ายอย่างสุภาพ “องค์ชายใหญ่ หวังว่าท่านจะเข้าใจ ซือหม่าหรุ่ยยินยอมยื่นข้อเสนอนี้ ก็เพราะมีความรู้สึกดีกับแม่นางผู้นี้”
ความหมายของซือหม่าหรุ่ยชัดเจนมาก
นางรู้สึกดีกับเยี่ยเม่ย ไม่รู้สึกอะไรต่อเป่ยเฉินเสียง
เป่ยเฉินเสียงย่อมเข้าใจว่าตนเองไม่มีเหตุผลไปแย่งชิงความรู้ดีๆ ของซือหม่าหรุ่ยกับสตรีคนหนึ่ง ทว่าในเวลานี้เขายังคงรู้สึกประดักประเดิดมาก
เขาสีหน้าเปลี่ยนไป จ้องซือหม่าหรุ่ย “แต่หากข้าพบพี่บุญธรรมของแม่นางก่อนเล่า”
ซือหม่าหรุ่ยเงียบไปชั่วครู่ มองเป่ยเฉินเสียง “หากเป็นเช่นนั้นซือหม่าหรุ่ยยินยอมช่วยชีวิตคนให้องค์ชายใหญ่สามคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
คำสัญญานี้ถึงแม้ไม่ดีเท่ากับคำสัญญาที่ให้กับเยี่ยเม่ยเมื่อครู่ แต่ก็นับว่าไม่ด้อยแล้ว
เป่ยเฉินเสียงกำหมัด พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะช่วยแม่นางตามหาราชาดาบอย่างเต็มที่”
เดิมทีเยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ ซือหม่าหรุ่ยบอกว่าจะอยู่ข้างกายนางสิบปี เยี่ยเม่ยถูกความจริงใจทำให้หวั่นไหว นางถึงได้คิดช่วยคน แต่คำพูดยังเป่ยเฉินเสียง นางเริ่มไม่พอใจบ้างแล้ว
นางหันหน้ามองเป่ยเฉินเสียง น้ำเสียงเย็นชาไม่ยินดี “ทำไมท่านถึงชอบยุ่งไปทุกเรื่อง”
เป่ยเฉินเสียงชะงัก
คิดย้อนดูตนเองก็เข้าร่วมกับเรื่องมากมายจริง ก่อนอื่นคือเรื่องตราพยัคฆ์ ตอนนี้ยังเป็นเรื่องนี้อีก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ยสีหน้าไม่พอใจ กลับยิ้มบางออกมา มองเป่ยเฉินเสียง เอ่ยช้าๆ ว่า “หากแม่นางเยี่ยเม่ยไม่พอใจต่อองค์ชายใหญ่ เยี่ยนยินดีทำเพื่อแม่นาง ให้เขาเงียบปากไปตลอดกาล”
เป่ยเฉินเสียงใจกระตุก หว่างคิ้วปรากฎความเดือดดาล
เซี่ยโหวเฉินกระตุกชายเสื้อของเป่ยเฉินเสียงอีกครั้ง บอกให้อีกฝ่ายเงียบ เมื่อได้คำสัญญากับซือหม่าหรุ่ยแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าเป็นศัตรูกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่อไปอีก
เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินเสียง แค่นเสียงเบาๆ ไม่ใส่ใจ “ข้าโอบอ้อมอารีใจกว้างมาโดยตลอด ขอเพียงแต่เขาอย่าหาเรื่องให้ข้ารำคาญ”
เป่ยเฉินเสียงหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาอีกครั้ง…
ซือหม่าหรุ่ยกลับคลี่ยิ้ม เบี่ยงประเด็นของเป่ยเฉินเสียง เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “แม่นางท่านนี้ ไม่รู้ว่าหลายวันนี้ข้าจะอยู่ข้างกายท่านได้หรือไม่”
เรื่องนี่กลับทำให้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง กวาดตามอง “เจ้าไม่ได้จะไปต้ามั่ว สืบหาข่าวของพี่บุญธรรมของเจ้าหรอกเหรอ”
ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “ถึงข้าจะมีวิชาแพทย์สูงส่ง แต่วรยุทธ์ธรรมดา ไม่มีทางเข้าไปค่ายทหารต้ามั่วได้ ข้าต้องรอคนผู้หนึ่งมา ให้นางไปกับข้าถึงจะปลอดภัย”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ไม่ถามว่าเป็นใคร เพียงเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “นางรู้ว่าเจ้าอยู่กับข้าที่นี่?”
ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ต่อให้ไม่รู้ คาดว่าหลังจากนางมาถึง เรื่องที่ทำเป็นอย่างแรกก็คือตามหาแม่นาง จริงสิ สนทนามาตั้งนานแล้ว ยังไม่รู้ว่าแม่นางมีนามว่าอะไร”
เยี่ยเม่ยตอบออกมา “เยี่ยเม่ย เรียกข้าว่าเยี่ยเม่ยก็พอ”
ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ดี ขอบคุณแม่นางเยี่ยเม่ย”
เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอยู่สักพัก เอ่ยเสียงเย็นชา “หากเจ้าอยากอยู่กับข้าหลายวัน ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ช่วงนี้ชายแดนมีการศึก ข้าไม่สามารถูแลเจ้าได้ดี…”
ซือหม่าหรุ่ยยิ้ม “ซือหม่าหรุ่ยออกท่องยุทธภพจนเคยชินแล้ว หาได้ต้องการคนปรนนิบัติ ขอเพียงมอบที่พักให้ซือหม่าหรุ่ยก็เพียงพอ”
เยี่ยเม่ยเสริมขึ้นต่อว่า “วางใจเถอะ อาหารหนึ่งวันสามมื้อก็ไม่มีขาดตกบกพร่อง”
ซือหม่าหรุ่ยหัวเราะโพล่งออกมา “ขอบคุณแม่นาง”
สนทนากันมาจนถึงตอนนี้ เป็นอันว่าปรึกษาหารือกันเสร็จเรียบร้อย
องค์ชายสี่ยื่นหน้ามาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเม่ย จิ่วหุนหน้าเปลี่ยนสี มือจับที่มีดสั้นอย่างไม่รู้ตัว แต่เมื่อคิดถึงวิธีที่เยี่ยเม่ยใช้หยุดพวกเขาโจมตีกันเมื่อครู่ เขาหยุดมือโดยไว
เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความไม่พอใจ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาอยู่ด้านหน้าเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟัง ในเวลานี้เต็มไปด้วยแววประจบประแจง “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าเอ่ยวาจามาครึ่งค่อนวันแล้วหิวแล้วหรือยัง เยี่ยนเตรียมอาหารเช้าอันสมบูรณ์ไว้ให้แม่นางแล้ว ไปกินข้าวด้วยกันดีหรือไม่ เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า ให้เยี่ยนช่วยทุบบ่าให้ไหม”
อวี้เหว่ยหันกลับมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ใจคิดว่า “นี่คือองค์ชายสี่บ้านไหนกัน ลากตัวออกไปที ข้าไม่รู้จักเขา”
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา น้ำเสียงเย็นชา “ทุบบ่าคงไม่ต้องแล้ว ไปกินข้าวก็ได้ ช่วงบ่ายยังมีแผนการอีกมากมายให้จัดการ ทุกคนไปกินข้าวกันก่อน”
“ขอรับ” หลูเซียงฮั่วเป็นคนแรกที่พยักหน้า เขาเฝ้ารอการลงมือตามแผนการต่อไปในตอนบ่ายเป็นอย่างมาก
…
เจียงหนาน
หมู่ตึกกูเยว่
สตรีนางหนึ่งเดินกอดอกผ่านสวนดอกไม้ สวนนั้นเต็มไปด้วยบุปผากว่าร้อยชนิด บานสะพรั่งดูแล้วสะเปะสะปะตามอำเภอใจไปบ้าง ทว่ากลับแสดงให้เห็นรสนิยมของผู้เป็นนาย
คนที่เดินผ่านไปมาพบสตรีนางนั้น ค้อมเอว “ผู้อาวุโส”
นางพยักหน้า
นางเดินตรงเข้าเรือน ไกลออกไปฉากกั้นลมบดบังบุรุษที่กำลังบรรเลงพิณ แต่ยังสามารถเห็นชายเสื้อของบุรุษพลิ้วไหว เนื้อผ้าเรียบง่ายทว่างดงาม บริสุทธิ์และสูงส่ง เผยให้เห็นความชอบชั้นสูง ทว่าไม่อาจเห็นรูปโฉมแท้จริง
สตรีพลันยื่นมือออก แถบผ้าสีแดงในมือสะบัดออกไปโจมตีฉากกั้นลมนั้น
แถบผ้ายังไม่ทันกระแทกฉากกั้นลม ก็ถูกกำลังภายในของคนผู้นั้นทำให้หยุดลง
เสียงพิณยังคงดังต่อเนื่อง ไม่ได้รับผลกระทบเลยสักน้อย
น้ำเสียงน่าฟังของบุรุษด้านในส่งออกมา ทว่ากลับโดดเดี่ยวไร้ซึ่งความรู้สึก “ความชอบของพี่หญิงบุญธรรม ไม่เคยเปลี่ยน”
สตรีแลบลิ้นออกมา รีบค้อมเอวคารวะ “นายท่าน ข้าน้อยทำผิดล่วงเกินแล้ว”
พูดไป น้ำเสียงของสตรีนางนั้นโศกเศร้าขึ้น “แต่ถึงข้าซินเยว่เยี่ยนจะเป็นพี่สาวบุญธรรมของเจ้า ทว่าพี่สาวไร้สามารถคนนี้ ชั่วชีวิตยังไม่เคยเอาชนะเจ้าได้ กูเยว่อู๋เหิน”
ที่แท้สตรีนางนี้คือซินเยว่เยี่ยน ส่วนบุรุษคือกูเยว่อู๋เหิน
เสียงพิณยังดำเนินต่อไป
น้ำเสียงเรียบสงบของกูเยว่อู๋เหิน เอ่ยถามต่อว่า “พี่หญิงบุญธรรมเดินทางมา เพราะขออนุญาตไปตามหาราชาดาบ?”