เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 62
ยามนี้อวี้เหว่ยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาเหยียดปาก เอ่ยไปในทางเลวร้ายขึ้นอีกว่า “เตี้ยนเซี่ย ไฉนท่านไม่คิดบ้างว่า ตรงเข้าไปตบแม่นางผู้นั้นเลย ทำเช่นนี้ถึงดึงดูดความสนใจนางได้ ไม่แน่ว่านางยังจะบอกว่า ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยมีใครกล้าตบข้ามาก่อน ท่านก็ทำให้นางรู้สึกถึงความพิเศษได้สำเร็จ”
ก็ไม่รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยจริงจังหรือไม่ ไฉนเมื่อก่อนเขาไม่รู้เลยว่าเตี้ยนเซี่ย…เบาปัญญา
เดิมก็นับเป็นประโยคประชดประชัน คิดไม่ถึงว่าเมื่อเอ่ยไปแล้ว เตี้ยนเซี่ยกลับมองเขาอย่างจริงจัง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “คำพูดของเจ้า ไม่ใช่เยี่ยนไม่เคยคิด เพียงแต่เยี่ยนกำลังภายในล้ำเลิศ หากตบแม่นางเยี่ยเม่ยแล้วทำให้นางบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าดึงความสนใจไม่ได้ ซ้ำยังเป็นเพาะปมแค้นอีก”
อวี้เหว่ยปากกว้างจนคางแทบไปจรดกับรองเท้า
เตี้ยนเซี่ยเคยคิดถึงเรื่องตบหน้าจริงๆ ตบจนบาดเจ็บสาหัสก็เคยคิดมาแล้ว…
อวี้เหว่ยกลั้นน้ำตาไว้ สายตาสอดส่องไปรอบๆ พลันรู้สึกว่าทนมองไม่ได้อีก คิดเงียบๆ ในใจ ยังดีที่เตี้ยนเซี่ยยังรู้ว่า การตบคนบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจดึงความสนใจได้ ทั้งยังเป็นการผูกความแค้น ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าเรื่องจะบานปลายไปไกลถึงขั้นไหน
เห็นอวี้เหว่ยสีหน้าอมทุกข์ องค์ชายสี่เลิกคิ้วสูงอย่างสง่างาม กวาดสายตามองอวี้เหว่ย ถามเนิบๆ ว่า “ทำไมกัน”
อวี้เหว่ยมองห้องของเยี่ยเม่ยที่ไม่ไกลออกไป เห็นเยี่ยเม่ยผลักประตูเปิดออก เขาพรูลมหายใจยาว
“ไม่มีอะไร” อวี้เหว่ยฟังประโยคนี้ของตนเองคิดว่า
ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ เตี้ยนเซี่ยก็ทำเรื่องไปแล้ว เวลานี้พูดไปก็ไม่ทันอีก ได้แต่โทษที่ตัวเองโง่งมเกินไป เตี้ยนเซี่ยให้ไปจับงูก็จับ มองเตี้ยนเซี่ยทำร้ายตัวเองอย่างเต็มตา เพียงคิดว่าเตี้ยนเซี่ยแกล้งแม่นางเยี่ยเม่ยเท่านั้น ใครจะคิดว่าเตี้ยนเซี่ยคิดเช่นนี้…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมไม่เคยจีบสตรีมาก่อน แต่อย่างไรก็ไม่ถึงขั้นโง่งม เห็นการตอบสนองของอวี้เหว่ย เขาเริ่มสงสัยว่า ตนเองทำเกินไปหรือไม่
……
เยี่ยเม่ยเปิดประตูออก
จิ่วหุนยื่นมือรั้งตัวนางไว้ เส้นเสียงของเขายังคงต่ำเหมือนเคย เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าเข้าไปจับงูออกมาก่อน”
เยี่ยเม่ยชะงักไป นางไม่กลัวงูแน่นอน แต่เจ้าสิ่งนี้ก็น่าแขยงจริงๆ ไม่น่าเชยชมเลยสักน้อย จิ่วหุนช่วยจับออกไปก่อน ก็เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว
นางพยักหน้า อนุญาตเสียงเย็นชา “ดี”
จิ่วหุนสาวเท้ากว้างเข้าห้องเยี่ยเม่ย ส่วนนางรออยู่ด้านนอก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นเหตุการณ์ ดวงตาสีเขียวหรี่เล็กลงฉายแววไม่พอใจ อวี้เหว่ยยืนมองอยู่ด้านข้าง ถอนใจ “เตี้ยนเซี่ย ท่านดูสิ วิธีดึงดูดความสนใจของท่าน ใช้ไม่ค่อยได้ อย่าว่าแต่กำราบศัตรูหัวใจเลย ยังช่วยศัตรูหัวใจมีโอกาสเข้าห้องแม่นางเยี่ยเม่ยอย่างสง่าผ่าเผย”
เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ สีหน้าสบายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หนักอึ้งลงทันที
ในเวลานี้เอง
จิ่วหุนจับงูทั้งหมดในห้อง เดินจากออกมา ครั้นมองงูพิษในมืออวี้เหว่ยรู้สึกหนังศีรษะชาวาบอยู่สักพัก งูพิษเช่นนี้ แม้บุรุษอกสามศอกอย่างเขาเห็นแล้วยังรู้สึกหวาดกลัว
เตี้ยนเซี่ยถึงกับปล่อยงูพิษบนเตียงแม่นางเยี่ยเม่ย เพื่อดึงดูดความสนใจของนาง
นี่ออกจะ…พิสดารจริงๆ
เยี่ยเม่ยมองงูเห่าหลายตัวในมือเขา หัวใจเต้นกระตุก ยิ่งสงสัยว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนประสาทหรือเปล่า แค้นนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ
จิ่วหุนมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปาก “จับหมดแล้ว ข้าตรวจดูไม่มีเหลือรอด อีกเดี๋ยวค่อยให้คนมาเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้เจ้า”
“อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ขอบคุณ”
ใบหน้าหล่อเหลาของจิ่วหุนแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ในยามราตรีมองไม่ชัดมีเพียงเขาเองที่รู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า เขาพยักหน้า เสียงเบาเอ่ย “ไม่เป็นไร”
เขาหมุนกายเอางูไปทิ้ง สองเท้าก้าวออกว่องไวราวกับมีอะไรไล่ตามอยู่ด้านหลัง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นภาพนี้สีหน้ายิ่งหนักอึ้ง เพื่อชักนำให้เตี้ยนเซี่ยมีความคิดอยู่ในทางปกติ อวี้เหว่ยรีบเอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านก็เห็นแล้ว สุดท้ายเรื่องนี้ ยังทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยซาบซึ้งในตัวศัตรู ที่น่ากลัวกว่าคือ ไม่แน่ว่าในใจของแม่นางเยี่ยเม่ยจะตำหนิท่าน ภายหน้าท่านเปลี่ยนวิธีเถอะ”
สิ้นเสียงเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ น้ำเสียงอ่อนโยน เอ่ยช้าๆ “อวี้เหว่ย วันนี้เจ้าพูดมากนัก”
อวี้เหว่ยยังบ่นต่อ “เพราะการกระทำของท่าน ทำให้ข้าน้อยไม่อาจไม่พูด ข้าน้อยกลัวข้าน้อยไม่เอ่ยออกไป ภายหน้าท่านจะสะดุดล้มอย่างอนาถกว่านี้”
อย่างไรเตี้ยนเซี่ยเก็บเขาไว้ข้างกาย ไม่สังหารเขาทิ้ง เขาจึงคิดว่าในใต้หล้านี้นอกจากตัวเองแล้ว ไม่มีใครกล้าบ่นเตี้ยนเซี่ย เขาจึงไม่กลัวที่เอ่ยออกไป
แล้วก็เป็นจริง เขาพูดเช่นนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ได้กำจัดเขาจริงๆ กลับแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง
จากนั้นเขาเห็นบ่าวเข้าห้องแม่นางเยี่ยเม่ย เปลี่ยนผ้าปูเตียงแล้วคนเดินจากไป ก่อนเยี่ยเม่ยเข้าประตู ยังก่นด่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ผีเข้าหรือไงก็ไม่รู้”
จากนั้นนางก็เดินเข้าห้องไป
หลังจากองค์ชายสี่สูดลมหายใจลึก ค่อยถอนใจออกมา วิจารณ์คำพูดของอวี้เหว่ย “เจ้าพูดถูก เยี่ยนกลับคิดไม่ถึงว่า แนวคิดของบุรุษและสตรีต่างกันถึงเพียงนี้”
หากเป็นตัวเขาพบคนที่กล้ายั่วยุตนเป็นครั้งแรก ย่อมมีความสนใจไม่น้อย เขาพยายามคาดเดาความคิดนางแล้ว ทว่าคิดไม่ถึงคือเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
หรือวิธีที่ตนใช้เกินเหตุไปจริง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมุ่นคิ้วใช้ความคิด ลุกขึ้น จัดอาภรณ์ตนเองด้วยท่าทางสง่างาม เอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว วันนี้ถือว่าเจ้านั่นได้เปรียบ ให้เขาได้โอกาสก่อน แต่…ไม่ว่าอย่างไร เยี่ยนจะหาทางใหม่เพื่อดึงความสนใจของแม่นางเยี่ยเม่ย”
อวี้เหว่ยถอนใจ ในขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นเสียจนหัวใจแทบกระดอนออกมาจากปาก กลัวว่าเตี้ยนเซี่ยของตนจะคิดวิธีที่ทำให้คนพูดไม่ออกอีก
เตี้ยนเซี่ยเป็นคนควบคุมความรู้สึกได้ดี ทั้งยังคาดเดานิสัยคนได้เก่งกาจ ถนัดการทรมานใจคน วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว…ทั้งสติปัญญา ทั้งอารมณ์ความรู้สึกล้วนไม่เหลือหลอ
“ไปเถอะ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้าวเท้าออก
อวี้เหว่ยรีบตามไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยปากรายงาน “จริงสิ เตี้ยนเซี่ย คนที่ฮองเฮาส่งมาจับแม่นางเยี่ยเม่ย ถูกคนที่ท่านส่งไปไล่กลับไปหมดแล้ว ฮองเฮาไม่ส่งใครมาอีก ยังมีอีก…ที่ท่านให้แม่ทัพหลี่นำคนไปสังหารซือถูเฉียง ผ่านไปสองวันแล้ว…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันมองเขา แววตาเย็นเยียบ ทอประกายเย็นชา
อวี้เหว่ยรายงานาต่อ “ผ่านไปสองวันแล้ว ยังตามคนไม่พบ ได้ยินว่าซือถูเฟิงพานางหนีไปด้วยกัน แม่ทัพหลี่ไล่ตามไม่ทัน ภายหลังแม่ทัพหลี่ส่งคนไปค้นหา เพียงแต่…”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ไม่เอ่ยต่ออีก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้วคล้ายไม่ใส่ใจ ถามว่า “ซือถูเฟิงหรือ”
อวี้เหว่ยพยักหน้า “คือเขา ข้าน้อยคิดว่า ถึงแม้แม่ทัพหลี่ไม่กล้าสังหารซือถูเฉียง แต่ว่าต้องรู้ผลลัพธ์ของการขัดคำสั่งท่าน ทั้งยังรู้ว่าหากสุดท้ายหาคนไม่พบ ต้องถูกท่านจัดการแน่ ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า เรื่องนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดอยู่ที่ซือถูเฟิง ยังมีอีกข้าน้อยได้ข่าวลับมา ซือถูเฟิงเคยส่งคนล้อมแม่นางเยี่ยเม่ย”