เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 7
พูดจบแล้ว นางหันไปมองหลุมใหญ่ที่ซือถูเฉียงตกอยู่
ภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อ กังวลใจและตกใจในสถานการณ์เบื้องหน้าของขุนนางบุ๋น นางปลอบเสียงเย็นชา “ไม่ต้องกลัว ข้าอ่อนโยนมากแล้ว ไม่ตายหรอก”
ทุกคน “…” อ่อนโยนมาก?
อ่อนโยนคือการโยนคนห่างออกไปห้าเมตร กระแทกจนเกิดหลุม หากไม่อ่อนโยนจะเป็นเช่นไร
ความจริงเยี่ยเม่ยไม่ได้โกหก นางอ่อนโยนมากพอแล้ว ส่วนยามที่นางไม่อ่อนโยน นั่นก็ไม่ใช่แค่หลุมใหญ่ห่างออกไป แต่อาจเป็นศพแหลกเหลว แยกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้าทุกคน
ก่อนหน้านางอยู่ในโลกนักฆ่า รับขนามนามว่าเป็นนักฆ่าโหดโรคจิต คนที่ใช้งานนางโดยปกติล้วนเป็นพวกที่มีความแค้นล้ำลึก ถึงว่าจ้างนางออกโรง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วก็หันไปมองทิศทางของซือถูเฉียงที่อยู่ห่างออกไป หันหน้ากลับมองขุนนางบุ๋นที่ยืนตะลึงอยู่หน้าประตูผู้นั้น
น้ำเสียงเสนาะหูเอ่ยขึ้น “นางในดวงใจของข้าหิวแล้ว เจ้าเมืองหลิน ไม่ได้ยินหรือไง”
“อ๋า นาง…นางในดวงใจ” ขุนนางบุ๋นที่ถูกเรียกว่าเจ้าเมืองหลิน มองเยี่ยเม่ยอย่างตะลึง จากนั้นตัวสั่นมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลืนน้ำลายลงคอ “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสั่งการลงไปเดี๋ยวนี้”
ก็ดี ความจริงแล้วสองคนนี้เหมาะสมกันเหลือเกิน ล้วนเป็นพวกน่ากลัว
เจ้าเมืองหลินรับคำ หันหลับไปโบกไม้โบกมือกับผู้ติดตาม เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายไปเตรียมการ
เยี่ยเม่ยไม่ใส่ใจว่าเขาแนะนำนางอย่างไร นางในดวงใจหรือคนนอกใจไม่ต่างกันมาก นางรู้แต่ว่านางหมดความอดทนไปนานแล้ว
ถัดมา เจ้าเมืองหลินสั่งการองค์รักษ์หน้าประตูเมือง “เร็ว รีบพยุงท่านหญิงขึ้นมา ไปตามหมอ เร็ว”
“ขอรับ”
คนทั้งหมดเริ่มปฏิบัติการ
เดิมคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเตี้ยนเซี่ยก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านหญิงฉางเล่อ ถึงยามนี้ก็สมควรเป็นห่วงเสียบ้าง
กลับคิดไม่ถึงว่า ความเป็นห่วงของเตี้ยนเซี่ยช่างพิเศษนัก
เขากวาดตามองไปทางท่านหญิงฉางเล่อทีหนึ่ง
ใบหน้าหล่อเหลาราวปีศาจเผยความห่วงใยหลายส่วน น้ำเสียงอ่อนโยน “นี่คือคนอ่อนแอหาเรื่องคนเข้มแข็ง รนหาที่ตายด้วยความไม่รู้ คนทั่วไปเรียกสิ่งนี้อย่างคุ้นเคยว่า ไม่รู้จักที่ตาย หากวันนี้นางกระดูกหัก ขาหัก คอหัก ล้วนเป็นนางในดวงใจของเยี่ยนอบรมสั่งสอน พวกเจ้าห้ามเชิญหมอ ขัดขวางการอบรมญาติผู้น้องสุดที่รักของเยี่ยนให้มีโอกาสก้าวหน้า”
คนทั้งหมด “…”
ญาติผู้น้อง ‘สุดที่รัก’ จากปากท่านใช้วิธีการเช่นนี้ปฏิบัติด้วยหรอกหรือ
ยามนี้พวกเขาเริ่มระแวงสงสัย คำว่าสุดที่รัก เป็นคำที่แสดงว่าความสัมพันธ์ดีจริงๆ แต่ไม่ใช่มีความแค้นล้ำลึกมิใช่หรือไง
หลังจากโยนซือถูเฉียงออกไป ความจริงเยี่ยเม่ยก็คิดว่า ผู้ชายคนนี้จะโกรธนางหรือเปล่า
ถึงอย่างไรก็เป็นญาติกัน
ไม่รู้เพราะอะไรการตอบสนองของเขาถึงได้อยู่เหนือการคาดหมายของนางนัก ทั้งรู้สึกว่าสมเหตุสมผล ผู้ชายคนนี้แสดงออกดุจปีศาจมาตลอด ยามคนของราชสำนักเป่ยเฉินมองเขา สีหน้าคล้ายมองปีศาจไม่ผิดเพี้ยน
ซือถูเฉียงถูกลากออกมาจากหลุมในไม่ช้า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกไป จึงไม่มีใครกล้าตามหมอ
หนึ่งในคนที่เข้าไป เขย่าตัวนาง ลองปลุก
ส่วนในเวลานี้ คนจากในเมืองวิ่งมารายงาน “องค์ชายสี่ อาหารเตรียมเรียบร้อยแล้ว”
“พาข้าไป” เยี่ยเม่ยไม่สนใจเจ้าเมือง เดินเข้าประตูเมือง
ผู้ติดตามตัวสั่นมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน จากนั้นหันมองเจ้าเมืองของตน เห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน ถึงได้พาเยี่ยเม่ยไปกินข้าวอย่างเชื่อฟัง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเงาหลังเยี่ยเม่ยเข้าประตูเมือง สายตาวาวประกายเล่ห์ร้าย
คล้ายกับปีศาจอสรพิษในยุคบรรพกาลจับจ้องเหยื่อ เผยความกระหายเลือด ทว่าใบหน้าอ่อนโยนประหนึ่งลมวสันต์พัดแผ่วเบา เผยความสง่าผ่าออกมา
ภาพนี้ทำให้คนข้างกายของเขาจำนวนมากเริ่มตัวสั่นเทิ้ม เตี้ยนเซี่ยจับจ้องแม่นางผู้นี้ด้วยสายตาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าอนาคตนางจะอนาถมากแค่ไหน
เยี่ยเม่ยย่อมรู้สึกถึงสายตาแรงกล้าจากด้านหลังได้ ทว่านางเป็นคนมั่นใจในความเพียบพร้อมของตัวเองเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่หันกลับไปมอง คิดเสียว่าเป็นสายตาชื่นชอบ
…
หลังจากเยี่ยเม่ยเข้าเมือง
ในที่สุดท่านหญิงฉางเล่อก็ฟื้นขึ้น นางตกใจจนเซื่องซึมไป น้ำตาไหลทะลักลงไม่ขาดสาย สะอื้นเอ่ย “นางแพศยานั่น ถึงกับตีข้า ข้าไม่มีทางปล่อยนางแน่ พวกเจ้า…นางเล่า นาง…”
ซือถูเฉียงมองหาเงาของเยี่ยเม่ยไปรอบทิศ
เจ้าเมืองหลินตอบ “นางเข้าเมืองไปกินข้าวแล้ว”
ซือถูเฉียงแทบโมโหจนกระอักเลือดออกมา นางไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ฟัง นางเป็นท่านหญิง ถูกทำร้ายถึงขั้นนี้ เดิมคิดว่าหลังจากฟื้นขึ้นมา นางผู้หญิงคนนั้นจะคุกเข่าต่อหน้านาง ร้องขอชีวิต บอกว่ามิได้ตั้งใจ
อ้อนวอนให้นางอภัยปล่อยไป คิดไม่ถึงจริงๆ
นางถึงกับทำเหมือนไม่มีอะไร เข้าเมืองกินข้าว นางรู้หรือเปล่าว่ากำลังล่วงเกินใครอยู่ นางรู้หรือไม่ว่าตนซือถูเฉียงเป็นหลานสาวที่ได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮามากที่สุด มากกว่าองค์หญิงด้วยซ้ำไป
เรื่องพวกนี้นางรู้หรือไม่
นางมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตะเบ็งเสียงร้องไห้ดัง “พี่เยี่ยน ท่านต้องแก้แค้นให้เฉียงเอ๋อนะ นางทำเกินไปแล้ว”
คนทั้งหมดเงียบไป ล้วนไม่กล้าเอ่ย ตอนที่ท่านสลบไป พี่เยี่ยนของท่านไม่ให้ตามหมอ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดสายตามองนาง มุมปากยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มงามล้ำดั่งแมวเปอร์เซีย เอ่ยเนิบ ๆ ว่า “การแก้แค้นก็คือคนไร้ความสามารถ ไม่พอใจกับสิ่งที่ตนได้รับ เพื่อปลอบใจให้ตนมีชีวิตต่อไป ถึงมีความคิดนี้ ญาติผู้น้องสุดที่รักของเยี่ยน ความจริงเจ้าไม่ต้องยืนหยัดถึงเพียงนี้ อย่างไรเสียศัตรูของเจ้าก็เข้มแข็งมากนัก เยี่ยนกลัวว่าเจ้าฝืนไปจะเหน็ดเหนื่อย จัดการตัวเองเสียจะดีกว่า นี่คือข้อเสนอของเยี่ยน เจ้าลองไปคิดดู”
เขาพูดไป ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นไม่มองซือถูเฉียงอีก ค่อยๆ สาวเท้าเข้าเมือง
หลังจากคนทั้งหมดได้สติกลับมา เตี้ยนเซี่ยท่านหมายความว่าอย่างไรกัน
การแก้แค้นก็เพื่อปลอบให้ตัวเองมีชีวิตต่อ ถึงฝืนตนต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจเกินไป แนะนำให้ท่านหญิงฉางเล่อไม่ต้องดึงดันถึงเพียงนี้ จัดการตัวเองจะดีกว่า นี่คือแนะนำให้ท่านหญิงฉางเล่อฆ่าตัวตายใช่หรือเปล่า
ซือถูเฉียงหาใช่คนโง่ หลังจากคิดได้ นางอึ้งไปแล้วร้องไห้สักพักหนึ่ง
ด่าทอด้วยความโมโห “ต้องเป็นเพราะนางแพศยานั่น ล่อลวงพี่เยี่ยนให้เลอะเลือน ข้ากลับเมืองหลวงแล้วจะขอให้ฮองเฮาสับร่างนางเป็นหมื่นชิ้น นางแพศยา นางแพศยา…”
อวี้เหว่ยหันกลับไปมองซือถูเฉียงอย่างอดไม่ไหว
ท่านหญิงเข้าใจเตี้ยนเซี่ยผิดไปหรือเปล่า ไฉนถึงบอกว่าแม่นางผู้นั้นล่อลวงให้เตี้ยนเซี่ยเลอะเลือน ชักนำเตี้ยนเซี่ยไปได้ เตี้ยนเซี่ยก็เลวร้ายเช่นนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอไง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินเข้าเมือง
เขามองอวี้เหว่ย ถามช้า ๆ “เสื้อผ้าข้าดูแปลกประหลาดนักเหรอไง”
“อ้อ…” อวี้เหว่ยคิดได้ ตอนนั้นแม่นางผู้นั้นบอกว่าเตี้ยนเซี่ยสวมเสื้อผ้าแปลกประหลาดมายั่วยวนนาง ดูท่าเตี้ยนเซี่ยยังจดจำได้อยู่ อวี้เหว่ยลูบหัวป้อยๆ ด้วยความงุนงง “ไม่แปลกนะขอรับ”
เตี้ยนเซี่ยแต่งตัวปกติมาก กลับกันเป็นเสื้อผ้าของแม่นางผู้นั้นต่างหาก เนื้อผ้าแปลกพิกลไม่เคยเห็นมาก่อน
“อืม” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า สะบัดชุดยาวไปไว้ด้านหลัง บังเกิดภาพสง่างามน่าชม สั่งการด้วยเสียงอ่อนโยน “อีกเดี๋ยวส่งคนไปถามว่านางชอบบุรุษแต่งตัวเช่นไร ชอบสีอะไร เยี่ยนจะเปลี่ยนรสนิยมให้เข้ากับความชอบของนาง”
“อ๋า” อวี้เหว่ยอึ้งไป เตี้ยนเซี่ยท่านเอาจริงหรือ