เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 70
เยี่ยเม่ยหัวใจเต้นตึกตักมองจิ่วหุน นางขมวดคิ้วแน่น กล่าวเสียงเย็นชา “ข้าชอบเจ้า”
ชอบเหมือนกับน้องชายเช่นนั้น
จิ่วหุนคงเข้าใจความหมายของนางสินะ?
นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา สายตาจิ่วหุนพลันวาวโรจน์ คนทั้งคนอารมณ์ดีขึ้นมาก
จากนั้นเขาก็ก้มหน้าอีก น้ำเสียงเล็กราวสัตว์ตัวน้อยดังขึ้นอีกครั้ง “อย่างนั้น…ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่งได้หรือไม่”
“ถาม” สายตาเยี่ยเม่ยยังคงเย็นชาเหมือนเดิม
จิ่วหุนนิ่งไปสักครู่ เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าชอบข้ามากกว่า หรือชอบเจ้าจอมประจบนั่นมากกว่า”
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก
นางจ้องมองจิ่วหุนด้วยความไม่เข้าใจ สักพักค่อยถามว่า “อย่างนั้นเจ้าช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่า เจ้าจอมประจบที่หมายถึงคือ…?”
“เป่ยเฉินเสียเยี่ยน” เขาตอบกลับอย่างว่องไว
สิ้นประโยคนี้ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง เน้นย้ำว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน”
เยี่ยเม่ย “…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเจ้าจอมประจบ? ทำไมนางดูไม่ออกเอาเสียเลย?
ถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะถนัดยกยอนาง แต่ว่าก็เป็นคำพูดที่เอ่ยออกมาจากใจจริง ไม่นับว่าประจบกระมัง?
แต่ยามนี้เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญแล้ว นางนิ่งอึ้ง เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าคิดว่าไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ”
ไม่มีเปรียบเทียบได้จริงๆ
คนทั้งสอง คนหนึ่งถนัดยกยอนาง อีกคนก็เชื่อฟังมาก
แบบนี้จะให้นางเปรียบเทียบสูงต่ำได้อย่างไร
นางเอ่ยเช่นนี้ เวลานี้จิ่วหุนพลันเข้าใจ
เขาไม่ดื้อดึง ทั้งไม่อาละวาด กลับพยักหน้าว่าง่าย “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปนอนเถอะ”
เห็นเขาเอ่ยประโยคนี้จบ สีหน้าก็ปกติดี เยี่ยเม่ยเองก็ง่วงแล้วจริงๆ นางพยักหน้าอย่างวางใจ ผลักประตูกลับเข้าไปนอน
จิ่วหุนมองนางเข้าห้องนอนแล้ว สายตามองไปทิศของห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แววตาแผ่ไอสังหาร
……
ในพระราชวัง ราชสำนักเป่ยเฉิน
ตำหนักฮองเฮา แม่ทัพนายหนึ่งคุกเข่ากลางโถง ใบหน้าเขาเหนื่อยล้า ทั้งยังตื่นเต้น
เขาก้มหน้าเอ่ยปากว่า “ฮองเฮา กระหม่อมทำให้พระองค์ทรงผิดหวังแล้ว”
สตรีผู้สูงศักดิ์ในตำแหน่งประธานพยักหน้าเล็กน้อย
เรียวคิ้วดวงตาของนางคล้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นอย่างมาก ทว่าภายในท่วงท่ากลับเผยความเย่อหยิ่ง ทั้งยังเผยความสูงส่งอย่างเป่ยเฉินเสียง
นางจ้องแม่ทัพผู้นั้น เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้าได้รับข่าวว่าพวกเจ้าถูกล้อมไว้ มีคนตายหรือไม่”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้นั้นรีบก้มหัว เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “กระหม่อมเห็นผู้นำทหารก็จำได้ว่าเขาคือแม่ทัพพิทักษ์ชายแดน เคยเป็นสหายร่วมรบกับกระหม่อม ดังนั้นเขาจึงบอกกระหม่อมว่า องค์ชายสี่สั่งให้ล้อมกระหม่อม หากกระหม่อมหนีไม่ต้องฆ่า หากไม่หนีก็…”
ฮองเฮากวาดตามองแม่ทัพ ถามเสียงนิ่งว่า “ดังนั้นเจ้าจึงหนีมาแล้ว”
“คือ…” หน้าผากของแม่ทัพมีเหงื่อเย็นเยียบ เขาไม่เข้าใจความคิดฮองเฮาไปชั่วขณะ จึงเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “กระหม่อมสมควรตาย ทว่าที่กระหม่อมทำเช่นนี้ก็เพื่อกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย ขอให้ฮองเฮาทรงประทานอภัยด้วย”
ฮองเฮานิ่งเงียบอยู่นาน ยกมือออกมานวดหว่างคิ้ว
หว่างคิ้วมีแววโทสะ กัดฟันเอ่ยว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นไฉนถึงให้กำเนิดคนเช่นนี้ เขาเป็นดาวพิฆาตของข้าจริงๆ”
แม่ทัพผู้นั้นตัวสั่นงก ไม่กล้าเอ่ยวาจา
องค์ชายสี่คือปีศาจร้าย เป็นคนที่ใครต่อใครไม่กล้าเอ่ยชื่อเขาออกมาตรงๆ เพราะใครก็ไม่รู้ว่า หากพูดผิดไปสักประโยค หรือพูดเกินไปสักประโยค คำพูดถูกถ่ายทอดไปเข้าหูเขา จะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองรวมไปครอบครัวและสุสานบรรพบุรุษสิบแปดชั่วคน
ดังนั้นยามที่ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าเอ่ยขัด
ในเวลาเดียวกัน นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้าตำหนักมา ก้มหน้ารายงาน “ทูลฮองเฮา ท่านกั๋วจิ้ว[1]มาขอพบเพคะ”
สีหน้าของฮองเฮาพลันหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน มองแม่ทัพกลางห้องโถง ตรัสเสียงเย็นชาว่า “เจ้าถอยไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้นั้นยินดีที่ถูกปล่อยตัว รีบจากไปทันที
ถัดมาขุนนางบุ๋นสีหน้าเขียวคล้ำผู้หนึ่งเดินสาวเท้ากว้างเข้ามาภายในตำหนัก
หลังจากเข้ามาแล้ว เขาแสดงความเคารพก่อน “ถวายพระพรฮองเฮา ”
“ท่านพี่ลุกขึ้นเถิด” ฮองเฮารีบลุกขึ้น พยุงตัวเขา
ซือถูจ้าวเป็นถึงกั๋วจิ้ว รวมทั้งเป็นเสนาบดีของราชสำนัก ยามนี้ไม่ไว้หน้าฮองเฮาเลยสักน้อย เขาลุกขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ฮองเฮา เรื่องนี้ท่านต้องมอบข้อสรุปให้กระหม่อม เฉียงเอ๋อเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูลซือถูของเราในรุ่นนี้ ตั้งแต่เด็กได้รับความรักเอ็นดู ตระกูลเราฝากความหวังไว้กับนาง หวังว่านางจะเป็นมารดาแผ่นดินในภายหน้า แต่ยามนี้…”
“เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจ ไฉนข้าจะไม่หวังให้วังหลังเป็นของตระกูลซือถูเราตลอดไป ท่านพี่อย่าเพิ่งโมโห” ฮองเฮารีบปลอบซือถูจ้าว
ซือถูจ้าวสีหน้าเขียวคล้ำ มองฮองเฮา “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ทหารที่เจ้าส่งไปสังหารนางสารเลวนั่น ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำให้หวาดกลัวกลับมาแล้ว ข้าได้รับข่าวลับว่า เฟิงเอ๋อพาเฉียงเอ๋อหนีไปแล้ว ไม่รู้ร่องรอย ส่วนคนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไล่จับพวกเขา ไม่แน่อาจไม่เหลือชีวิตรอดกลับมา ฮองเฮา ท่านก็เป็นคนของตระกูลซือถู เกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าท่านก็ไม่ได้รับประโยชน์”
ฮองเฮาเห็นเขาท่าทางโมโหโทโส เวลานี้นางก็เกิดโทสะบ้าง ตรัสเสียงสูง “ตอนนั้นข้าไม่เห็นด้วยให้เฉียงเอ๋อไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ชายแดน พี่ชายยังกดดันข้า บอกว่าเจ้าลูกทรพีนั่นเห็นแก่หน้าข้า ไม่ทำอะไรเฉียงเอ๋อ วันนี้เขาไม่ไว้หน้าข้า ทำให้เฉียงเอ๋อเป็นเช่นนี้ บัญชีนี้ต้องโทษพี่ชายหรือว่าข้า”
ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ออกไป ซือถูจ้าวชะงักไปชั่วขณะ
ฮองเฮาเอ่ยต่อว่า “ข้าหวังว่าท่านพี่จะสนับสนุนเป่ยเฉินเสียงมาโดยตลอด ให้เขาขึ้นเป็นรัชทายาท แต่ท่านพี่ถูกคำของซือถูเฉียงยุยง มีใจสนับสนุนให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเจ้า วันนี้เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ นับเป็นความเขลาท่านพี่หรือไม่”
คราวนี้ซือถูจ้าวยิ่งพูดไม่ออก
ฮองเฮาสีหน้าเย็นชา “เดิมทีข้าคิดว่า หลังพวกเจ้าพ่อลูกได้รับบทเรียนว่าเจ้าลูกทรพีนั่นไม่คำนึงถึงความเป็นญาติมิตรก็จะคิดได้ ใครจะรู้เขาลงมือครั้งแรก ค่าตอบแทนก็ใหญ่หลวงขนาดนี้ สิ่งเหล่านี้อยู่ในการควบคุมของข้าอย่างนั้นหรือ”
เอ่ยถึงตรงนี้ ซือถูจ้าวสูดลมหายใจลึก มองฮองเฮา “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ข้าไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้ ฮองเฮา องค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่ล้วนเป็นลูกของท่าน ต่างก็เป็นหลานของข้า สำหรับข้าแล้วสนับสนุนใครก็เหมือนกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าย่อมต้องทำตามประสงค์ท่านสนับสนุนองค์ชายใหญ่ แต่…”
น้ำเสียงซือถูจ้าวสงบนิ่งลง “แต่เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรท่านต้องมีข้อสรุปให้ข้า ต่อให้ไม่อาจเอาชีวิตสตรีนางนั้น อย่างน้อยเจ้าก็ต้องรับประกันว่า นางจะไม่มีทางเป็นพระชายาองค์ชายสี่ ทั้งไม่อาจเป็นสะใภ้ตระกูลเป่ยเฉิน ภายหน้าพวกเราหาโอกาสฆ่านาง หากเจ้าไม่รับรอง อย่าโทษข้าผู้เป็นพี่ชายจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์หันไปสนับสนุนองค์ชายรองกับองค์ชายสาม”
ฮองเฮาได้ฟังคำนี้ ใจเต้นกระตุก รีบมองซือถูจ้าว เอ่ยรับรองว่า “ท่านพี่วางใจ ท่านพี่ก็รู้ จะเอาชีวิตนางในตอนนี้เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ข้ารับรองว่า ขอเพียงข้ามีชีวิตอยู่วันหนึ่ง อย่างมากนางก็เป็นได้แค่อนุแสนต่ำต้อยในวังองค์ชายสี่เท่านั้น ตำแหน่งพระชายารองก็เป็นไปไม่ได้ นางต้องตาย ชีวิตต้อยต่ำของนางยังไม่มีค่าเท่ากับขาของเฉียงเอ๋อ”
[1] ตำแหน่งพี่เขยหรือน้องเขยฮ่องเต้