เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 75
เห็นคนกลุ่มนี้ท่าทางเหมือนผู้ไม่มีเจตนาดี เยี่ยเม่ยพลันตระหนักได้ถึงปัญหา
นางไม่รอให้คนกลุ่มนั้นมาถึงเบื้องหน้า รีบหันหลังกลับ มองคนทั้งหมดด้านหลังตน “จัดกระบวนทัพ ”
อย่างไรหลูเซียงฮั่วก็เป็นแม่ทัพกรำศึกมานับร้อย เขาตวาดเสียงดังทันที “ตั้งโล่ เรียงแถว”
สิ้นเสียง คนกลุ่มนั้นพุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าแล้ว
ผู้นำคนกลุ่มนั้นไม่คุ้นหน้าเลย เยี่ยเม่ยมั่นใจว่าหลายวันที่อยู่ในเมืองไม่เคยพบเขามาก่อน พวกเขาสวมชุดธรรมดา หลังจากพุ่งเข้ามาแล้ว จ้องเยี่ยเม่ย “สังหารสตรีนางนั้น”
สิ้นเสียงเขา คนกลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาฆ่าแทบไม่ทัน พวกหลูเซียงฮั่วจัดทัพไว้พร้อม ทหารนับพันล้อมปกป้องเยี่ยเม่ยไว้ตรงกลาง
เยี่ยเม่ยมองหัวหน้าศัตรูทีหนึ่ง ถามเสียงเย็น “พวกเจ้าคือใคร”
หลายวันที่ผ่านมานี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกคนล้อม แต่นางยังแปลกใจว่า นี่เป็นคนของใครอีกแล้ว
“พวกเราเป็นใคร หรือในใจเจ้ายังคาดเดาไม่ได้” ผู้เป็นหัวหน้ากล่าว ถลึงตาใส่เยี่ยเม่ยอย่างดุร้าย
เยี่ยเม่ยเอ่ยตรงไปตรงมาเสียงเย็นเยียบ “ข้าล่วงเกินคนตั้งมากมาย คนที่คิดสังหารข้าในยามนี้ยังต้องเรียงแถวเข้ามาตามลำดับ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าเป็นคนกลุ่มไหน”
คำพูดนี้ของนางเอ่ยออกมา คนไม่น้อยต่างหันหน้ามองเยี่ยเม่ย
ไฉนพวกเขาถึงรู้สึกว่า สตรีนางนี้พูดออกมาได้ภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน?
หัวหน้าศัตรูมุมปากกระตุก จ้องเยี่ยเม่ยอย่างดุร้ายเอ่ยว่า “ทำไมกัน คนตั้งมากมายคิดฆ่าเจ้า สำหรับเจ้าแล้วเป็นเรื่องน่าภูมิใจมากนักหรือ”
เยี่ยเม่ยแค่นเสียง ตอบกลับไปว่า “ข้าเข้าใจว่าเป็นการพิสูจน์ถึงความสำคัญของตัวข้า และความสามารถของข้า”
ซินเยว่เยี่ยนกลับพยักหน้าเป็นคนแรก ไม่ถูกเหรอไง คนมากมายคิดฆ่าเจ้า ความสำคัญย่อมไม่ผิดน้อย คนตั้งมากมายยังฆ่าไม่ได้ ความสามารถก็ไม่ด้อย
คนผู้นั้นฟังจนถึงบัดนี้ พลันเข้าใจว่า สตรีเบื้องหน้าตนนางนี้ หาได้เห็นว่าการล่วงเกินผู้อื่นและการไม่รู้จักวางตัวของนางเป็นจุดอ่อนเลยสักน้อย
เขาเอ่ยตรงๆ ว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จริงๆ ข้าก็ไม่ขอปิดบัง ให้เจ้าตายอย่างรู้แจ้ง พวกเราคือคนขององค์ชายใหญ่ นางสารเลว เจ้าพูดความจริงมา เช้าวันนี้เป็นเจ้าใช่ไหมที่เล่นตุกติกกับอาหารเช้าขององค์ชายใหญ่”
“อะไรนะ” พวกหลูเซียงฮั่วมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา
เมื่อหัวหน้าศัตรูเห็นสถานการณ์ ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น กล่าวต่อ “เจ้าเป็นสตรีที่มาไม่แน่ชัด องค์ชายสี่มอบตราพยัคฆ์ให้เจ้าเพราะความเชื่อใจ แต่เจ้าไม่เพียงไม่สำนึกในบุญคุณ ยังลงมือวางยาพิษองค์ชายแห่งราชวงศ์เป่ยเฉิน เจ้ามีเป้าหมายใดกันแน่”
วางยาองค์ชาย มีโทษถึงตาย
หากเยี่ยเม่ยทำเช่นนี้จริงๆ ก็ทำให้คนทั้งหลายชิงชัง
แม้กระทั่งหลูเซียงฮั่ว เวลานี้สายตาที่เขามองเยี่ยเม่ยยังมีความเคลือบแคลงอยู่หลายส่วน สถานการณ์ในยามนี้คล้ายกับกำลังจะตีกันเอง
จิ่วหุนไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์ผิดปกติ ก็วางมือไว้บนด้านกระบี่ เตรียมตัวลงมือทุกเมื่อ
ทุกคนเข้าใจว่าโทษวางยาพิษทำร้ายองค์ชายมีคิดไม่ซื่อ เยี่ยเม่ยย่อมไม่รับ ฝ่ายตรงข้ามเตรียมใจไว้แล้วว่าถึงตายเยี่ยเม่ยก็ไม่ยอมรับอย่างแน่นนอน
หลังจากเยี่ยเม่ยฟังจบ นางกลับสงบมาก
“ความหมายของเจ้าคือ…” เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา แล้วเอ่ยปากว่า “เช้าวันนี้เขากินข้าวแล้วก็ถูกพิษจริงๆ?”
คำพูดของนาง ก็เท่ากับยอมรับว่า นางรู้เรื่อง
พวกหลูเซียงฮั่วเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อทันที ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะรู้สึกดีกับแม่นางผู้นี้ขึ้นมาบ้าง เชื่อว่าอีกฝ่ายตั้งใจช่วยพวกเขาอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงว่านางถึงกับวางยาทำร้ายองค์ชายใหญ่?
คนของศัตรูเองก็ตะลึงไปเช่นกัน
ไม่ช้าหลังจากสิ้นเสียงนาง ในกองหทารก็มีบุรุษก้าวออกมา นั่นคือองครักษ์ที่มักติดตามข้างกายเป่ยเฉินเสียง
องครักษ์ผู้นั้นก้าวออกมา ตวัดสายตาของเยี่ยเม่ย “ดังนั้นเจ้าก็ยอมรับแล้ว ว่าอาหารพวกนั้นเป็นเจ้าลงมือ”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว กลับไม่คัดค้าน เพียงเอ่ยช้าๆ ว่า “นั่นไม่ใช่ข้าวที่เมื่อคืนองค์ชายใหญ่ของพวกเจ้าสับเปลี่ยนกับข้าวที่พวกเราเตรียมไว้แลกกับต้ามั่วในวันนี้หรอกหรือ เขาต้องการทำลายแผนการของข้า ถึงได้รับกรรมตามสนอง ถูกพิษแล้วใช่ไหม”
คราวนี้คนทั้งหมดล้วนสับสนอลหม่าน
องครักษ์เบื้องหน้าพลันหน้าเขียวคล้ำ เมื่อคืนคนที่วางแผนลงมือกับข้าวสารคือองค์ชายใหญ่ไม่ผิด แต่เขามั่นใจว่าเยี่ยเม่ยไม่มีหลักฐานในมือ ดังนั้นเขาคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่า เยี่ยเม่ยที่ไม่มีหลักฐานก็เปิดโปงเรื่องนี้ได้
ส่วนหลูเซียงฮั่วที่ในตอนแรกสีหน้าไม่เห็นด้วย เคลือบแคลงสงสัยถึงกระทั่งมีใจสังหารเยี่ยเม่ยได้ฟังก็ขมวดคิ้วแน่นเป็นคนแรก
สายตาที่มองเยี่ยเม่ยค่อยๆอ่อนลง “ความหมายของแม่นางคือ เมื่อคืนที่องค์ชายสี่ให้พวกเรานำข้าวเปลี่ยนออกมาก่อน ก็เพราะว่ารู้แต่แรกแล้วว่าองค์ชายใหญ่จะลงมือ”?
“อืม” เป่ยเฉินเสียงส่งคนมาสังหารนาง แน่นอนว่านางรู้อะไรก็ต้องตามไปตามนั้น
เมื่อสิ้นเสียงเยี่ยเม่ย สีหน้าหลูเซียงฮั่วเขียวคล้ำทันที เหล่าทหารที่ตอนแรกมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่ยินดี พลันหันไปกวาดตามองคนกลุ่มนั้นอย่างไม่พอใจ
หลูเซียงฮั่วจ้ององครักษ์ผู้นั้นกล่าว “เพราะอะไรองค์ชายใหญ่ถึงคิดทำลายแผนการต่อกรกับต้ามั่ว หากแผนของเขาสำเร็จ สุดท้ายคนที่แพ้ศึกคือฝ่ายพวกเราเป่ยเฉิน จะทำให้ทหารจำนวนเท่าไหร่ล้มตาย หรือองค์ชายใหญ่หาได้คิดถึงผลลัพธ์เหล่านี้บ้าง”
เขาเอ่ยเช่นนี้ไป เหล่าทหารรู้สึกไม่ยินดี อารมณ์ปะทุขึ้นถึงขีดสุด
ถึงทุกคนจะกลัวองค์ชายสี่ ถึงขั้นเห็นดีกับการที่องค์ชายใหญ่เป็นฮ่องเต้ในอนาคต ทว่าทุกคนก็รู้จักแยกแยะผิดถูก
รองแม่ทัพหลังหลูเซียงฮั่วนายหนึ่ง ก้าวออกมาเช่นกัน เขาเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หากองค์ชายใหญ่ทำเช่นนี้จริง นั่นก็เท่ากับทำไปเพื่อการส่วนตัว ไม่ใส่ใจความปลอดภัยของชาติบ้านเมือง ราชสำนักเป่ยเฉินของพวกเราไฉนถึงมีองค์ชายเยี่ยงนี้ได้”
เดิมทีเป็นสถานการณ์ที่เตรียมจะลงมือกับเยี่ยเม่ยที่คิดไม่ซื่อ วางแผนทำร้ายองค์ชาย ไพร่พลทั้งสองฝ่ายเตรียมการสังหารเยี่ยเม่ย
ที่คิดไม่ถึงเลยก็คือ สตรีนางนี้เอ่ยไม่กี่คำ องค์ชายใหญ่ก็กลายเป็นหัวข้อหลักของปัญหา ทำให้ทหารทั้งหลายเริ่มเคียดแค้นองค์ชายใหญ่
คนของศัตรูเก็บกดความเดือดดาลไว้ในใจ
องครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงมองเยี่ยเม่ย แผดเสียงสูงว่า “นางสารเลว เจ้าไม่มีหลักฐาน ก็ใส่ความคน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า เรื่องส่งคนไปวางยาในโรงคลังเป็นองค์ชายใหญ่สั่งการ เจ้ามีหลักฐานหรือ”
“อ้อ? ส่งคนไปวางยาที่โรงคลัง?” เยี่ยเม่ยแสร้งกวาดตามองเขา สีหน้าเย็นชาดังเดิม
นางเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “ข้าเพิ่งบอกว่าองค์ชายใหญ่ของเจ้าคิดก่อกวนแผนการข้า ตัวเจ้าเองกลับรับสารภาพว่าวางยาพิษ คิดว่าองค์ชายใหญ่ของเจ้าทำอะไร เขาถูกปรักปรำหรือไม่ ในใจเจ้าคงรู้ชัด”
นางเอ่ยเช่นนี้ออกไป สีหน้าขององครักษ์ผู้นั้นเดี๋ยวซีดขาวเดี๋ยวดำคล้ำ
เขารีบร้อนไปจึงพูดออกไปตรงๆ รู้ที่ไหนกันว่าเมื่อเอ่ยออกก็เท่ากับสารภาพออกมา
ต้องโทษที่สตรีนางนี้ดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกิน ทำให้เขาสับสน
เยี่ยเม่ยจงใจทำท่าทางมั่นใจอย่างมาก เช่นนี้ถึงเป็นสงครามทางจิตวิทยา ทำให้อีกฝ่ายเผยพิรุธได้ง่าย
เยี่ยเม่ยมองหลูเซียงฮั่วทีหนึ่ง “พวกเจ้าก็ได้ยินแล้ว องค์ชายใหญ่ของพวกเจ้าไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของชาติบ้านเมือง ยังคิดสังหารข้าอีก นี่ไม่ใช่ปัญหาของข้าแล้ว ”
หลูเซียงฮั่วรีบตอบ “แม่นางวางใจ ข้าสาบานว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยของแม่นาง ทั้งจะถวายฎีกาเอาผิดองค์ชายใหญ่กับฝ่าบาท”
องครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงเห็นเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ก็รู้ว่าไม่อาจย้อนกลับแล้ว รีบหัวเราะเย็นชา “ช่างเถอะ พวกเจ้ารู้ก็รู้แล้ว อย่างนั้นก็ขอให้พวกเจ้าตายอยู่ที่นี่แล้วกัน”
เยี่ยเม่ยฟังจบก็ล้วงพัดออกมา ซัดใส่องครักษ์ผู้นั้น นัยน์ตาของนางแผ่ไอสังหาร พุ่งตัวเข้าหาพวกเขา พลังนั้นทำให้ฝ่ายศัตรูจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่สงบ
เยี่ยเม่ยจ้องมองพวกเขา เสียงเย็นชาตวาดว่า “วันนี้ข้าจะสอนให้พวกเจ้ารู้ว่าเป็นคนต้องทำตัวอย่างไร”