เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 76
ท่วงท่าดุดันของนาง ทำให้เหล่าทหารศัตรูหนังศีรษะชาวาบในทันที
แต่เมื่อทหารศัตรูมองพวกของตน แล้วมองคนของเยี่ยเม่ย พวกเขาพาคนมาสามพัน ส่วนฝั่งตรงข้ามมีแค่พันกว่าเท่านั้น ใช้จำนวนคนเข้ากดดัน ไม่น่าพ่ายแพ้
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ พวกเขาก็ปลุกความมั่นใจได้มากพอ
องครักษ์ประจำกายเป่ยเฉินเสียงมองเยี่ยเม่ย เขารู้ดีว่าวรยุทธเยี่ยเม่ยไม่ต่ำต้อย ถึงแม้หัวใจจะเต้นระส่ำ แต่ก็รู้ว่ายามนี้ตัวเองไม่อาจเผยความขลาดกลัว
เขาฝืนบังคับตนให้สงบลง เอ่ยปาก “นางสารเลว เลิกข่มขู่คนเสียที ไม่ช้าข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า…”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้ข่มขู่เจ้า “ เยี่ยเม่ยตอบรับประโยคเขาด้วยเสียงเย็นชา
จากนั้น ช่วงเวลาที่ทุกคนยังไม่ทันได้สติ เยี่ยเม่ยดีดกายขึ้น พัดในมือนางยามนี้กางออก หยกขาวแตกกระจายออกไปในอากาศ
ริมฝีปากบางของนางเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ “ร้อยอิง ทะลวง”
“ฉึก”
“ตึ่ง”
“อ๊าก”
เมื่อสิ้นเสียง ร่างขององครักษ์ในเวลานี้ถูกเกล็ดพัดจำนวนนับไม่ถ้วนของเยี่ยเม่ยถูกซัดออกไป ชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ดูแล้วไม่มีแรงทำลายล้างทะลุผ่านร่างเขา ทั่วร่างถูกกระบวนท่านี้ของเยี่ยเม่ยทำให้เกิดรูนับร้อย ล้วนเป็นแผลจากการถูกแทงทะลุ เลือดไหลโทรมไปทุกส่วน
ฝีมือโหดเ**้ยมนี้ทำให้บุรุษจำนวนไม่น้อยรู้สึกหนังศีรษะชาวาบอย่างอดไม่อยู่
ใครต่างก็คิดไม่ถึง แม่นางผู้นี้ร้ายกาจก็จริง แต่ถึงกับมีความสามารถระดับนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ นางเข่นฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาเลยสักนิด เมื่อยื่นมือรับ พัดก็กลับมาอยู่ในมือนาง สีหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเดิม คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนองครักษ์ประจำกายเป่ยเฉินเสียงยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น พลันรู้สึกว่าตนเจ็บปวดไปทั่วร่าง เขาก้มมองร่างของตนท่ามกลางความงุนงง ทุกหนแห่งกลายเป็นรู แม้กระทั่งร้องยังไม่ทันร้องออกมา
ร่างเขาโน้มเอียงไปด้านหลัง หงายหลังล้มลง ดวงตาเบิกกว้าง ตายตาไม่หลับ ถึงตายแล้ว เขายังไม่อยากเชื่อว่า สตรีผู้นี้มีความสามารถถึงขั้นนี้
ส่วนเยี่ยเม่ยเห็นฉากนี้ สีหน้าไม่มีความเมตตาสักน้อย
นางใช้สายตาเย็นเฉียบกวาดมองคนทั้งหลาย เอ่ยด้วยความยโสลำพองว่า “พวกเจ้ามีความกล้าหาญที่จะโอ้อวด ข้าก็มีความสามารถสอนให้พวกเจ้ารู้จักการปฏิบัติตัว ข้าขอย้ำอีกครั้ง ข้าไม่ชอบให้คนด่าว่านางสารเลว ทั้งไม่ใจกว้างกับคนที่คิดฆ่าข้า พวกเจ้าใครอยากทดสอบพัดเล่มนี้ ก็เข้ามาได้เลย”
ท่าทางโอหังของนาง ทำให้ทุกคนต่างสงบปาก
แต่ใครๆ ล้วนเข้าใจ นางมีคุณสมบัติจะโอหัง
เยี่ยเม่ยถูกคนกลุ่มนี้ทำให้หงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ อยากด่านางก็ด่า อยากฆ่านางก็พาคนมาฆ่า คิดว่านางไม่มีความรู้สึกหรือไง
อยากส่งพวกเขาไปศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเสียเหลือเกิน ฟังดูเสียบ้างว่า ในยุคสมัยนั้นมีใครกล้าหาเรื่องนางบ้าง คนโบราณพวกนี้ไม่รู้จักความร้ายกาจและนิสัยของนาง อย่างนั้นนางก็ต้องแสดงออกสักหน่อย เพื่อลดระดับความยุ่งยากในภายหน้า ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่รู้ว่านางเป็นคนอย่างไร
คนที่เป็นหัวหน้าศัตรู เห็นองครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงตกตายอย่างโชกเลือดเบื้องหน้า พลันตกใจเสียจนตัวสั่น
แข้งขาสั่นงก คิดถึงคำพูดเยี่ยเม่ยก่อนหน้านี้ ไม่ชอบคนด่านางว่าเป็นนางสารเลว ส่วนตนเมื่อเอ่ยปากก็ด่าอีกฝ่ายว่านางสารเลว ตอนนี้ใจเขาเต้นระส่ำคล้ายรัวกลอง กลัวเสียเหลือเกินว่าศพที่จะล้มลงต่อไปจะเป็นตนเอง
ทว่าเขายังฝืนสงบนิ่งได้ มองเยี่ยเม่ย “เจ้าถึงกับกล้าสังหารเขา? เขาเป็นคนโปรดขององค์ชายใหญ่ เขา…”
เยี่ยเม่ยไม่รอให้เขาเอ่ยจบ ก็ใช้เสียงเย็นเยียบตอกกลับ “ข้าไม่เพียงแต่ฆ่าเขา ไม่ช้าก็จะไปคิดบัญชีกับองค์ชายใหญ่ของพวกเจ้าด้วย ก่อนหน้าวางยาก็เพื่อตักเตือนเขาเท่านั้น ทว่าเขาไม่เข้าใจในความใจกว้างของข้า ช่วงนี้ข้าคงดูอ่อนโยนมากหรือไง”
เยี่ยเม่ยพูดไปพลาง มือขวาถือพัดเคาะลงที่กลางมือซ้ายเบาๆ ทว่าสายตาจับจ้องทุกการกระทำของกลุ่มคนเบื้องหน้า ไม่ให้พวกเขามีโอกาสขยับสักน้อย
นางเอ่ยเช่นนี้ ต่อให้เป็นหลูเซียงฮั่วยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้
ความจริงเขาอยากบอกว่า แม่นางเยี่ยเม่ย หลายวันที่ผ่านมานี้ไม่ว่าพบท่านตอนไหน ท่านล้วนหน้าตาเย็นชา ก็ไม่รู้ว่าท่านหน้าตาเย็นชาเช่นนี้มาตั้งแต่เกิดหรือไม่ ความหมายของข้าคือ ไม่ว่าจะพบท่านในเวลาไหนก็ตาม ดูไปแล้วไม่มีความอ่อนโยนเลย
ดังนั้นคำพูดของท่าน…ที่ว่าช่วงนี้ท่านดูอ่อนโยน…อ่อนโยน? ไม่มีอยู่แน่นอน…
หัวหน้าศัตรูพลันไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี เดิมคิดว่าเยี่ยเม่ยโหดเ**้ยม ใช้ชื่อองค์ชายใหญ่เพื่อข่มขวัญอีกฝ่าย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่เห็นองค์ชายใหญ่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
เขาฝืนสงบนิ่ง หันหน้ากลับไปมองคนด้านหลังตน “บุก”
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้จบ คนทั้งหมดด้านหลังเขามองศพองครักษ์ประจำกายเป่ยเฉินเสียง จากนั้นก็มองเยี่ยเม่ยที่ท่าทางไม่เป็นมิตร ต่อให้พวกเขาทางนี้มีจำนวนคนมากกว่า แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือก่อนเลยสักคน
สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว วิธีฆ่าคนเช่นนี้ ทั้งร้ายกาจ ทั้งโชกเลือด น่ากลัวจริง
อารมณ์ของพวกเขาในขณะนี้ คือความหวาดกลัว เป็นแบบเดียวกันกับยามที่คนของเป่ยเฉินทั้งหมดพบหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองเหล่าศัตรู สีหน้าเย็นชาไม่เปลี่ยน จ้องตัวหัวหน้า “ข้าว่าพวกเขาคงไม่กล้าเข้ามาแล้ว เจ้าจะเข้ามาเองไหม จะได้คิดบัญชีที่เมื่อครู่เจ้าด่าข้าเป็นนางสารเลวไปเลย”
“ข้า…” หัวหน้าศัตรูตกใจจนหน้าซีด
หันกลับไปถลึงตาใส่คนด้านหลังตน ตวาดว่า “พวกเจ้ารีบเข้าไปเร็ว พวกเจ้าขัดคำสั่ง หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว พวกเจ้า…”
คำพูดของเขา มีผลกระตุ้นกับคนด้านหลังอย่างเห็นได้ชัด
ถึงใบหน้าของคนพวกนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ยามนี้ยังต้องฝืน เตรียมบุกเข้าไป ช่วยไม่ได้ คำสั่งอยู่เบื้องหน้า ต่อให้รู้ว่าเข้าไปตาย พวกเขาก็ต้องบุกเข้าไป
หลูเซียงฮั่วรีบโบกมือ สั่งให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม
เยี่ยเม่ยกวาดตามองศัตรู น้ำเสียงเย็นชาถามว่า “พวกเจ้าก็เป็นทหารหรือ”
นางเอ่ยเช่นนี้ ฝ่ายศัตรูที่เดิมปลุกปลอบความกล้า เตรียมเสี่ยงชีวิตเข้าไปโจมตีเยี่ยเม่ยพลันชะงักไป
หลูเซียงฮั่วหันกลับมามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา
คนตรงหน้าเป็นทหาร? พวกเขาสวมชุดธรรมดานี่ แม่นางเยี่ยเม่ยดูออกได้อย่างไร
ไม่ช้า เยี่ยเม่ยก็คลายความสงสัยของเขา
นางมองศัตรูด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยว่า “ท่าทางของพวกเจ้าพร้อมเพรียง ตัวตรง เดินเท้าเป็นระเบียบ นี่คือคนที่ได้รับการฝึกทหารมาก่อนถึงมีท่าทางเช่นนี้ ถึงพวกเจ้าจะสวมชุดธรรมดา แต่ข้าก็ดูออก”
หัวหน้าศัตรูพลันลนลาน หลบสายตา “เจ้าพูดอะไร พวกเราไม่ใช่…”
“ไม่ใช่?” เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว อธิบาย “ตอนที่องค์ชายใหญ่เดินทางมาชายแดน ข้าบังเอิญพบเขาระหว่างทาง เขาไม่ได้พาคนรับใช้มามาก คำอธิบายเดียวก็คือทหารเท่านั้น บอกมาพวกเจ้าเป็นทหารประจำการที่ไหน ทหารของชายแดนหรือ ตราพยัคฆ์ของทหารชายแดนอยู่กับข้า ใครอนุญาตให้พวกเจ้ามากัน”
เมื่อหัวข้อเปลี่ยนไป เยี่ยเม่ยแผดเสียงสูงขึ้นอีกครั้ง “หรือพวกเจ้าเป็นทหารในบริเวณใกล้เคียง ใครกันที่อนุญาตให้พวกเจ้าละเลยหน้าที่ รุดมาทำร้ายผู้นำทัพทหารชายแดน ชีวิตของคนแก่เด็กเล็กในครอบครัว พวกเจ้าล้วนไม่ต้องการแล้วใช่ไหม”
สิ้นเสียงนาง คนของศัตรูสีหน้าซีดขาวในฉับพลัน
พวกเขารับคำสั่งทหารมา แต่ใครจะรู้ว่าคำสั่งทหารนั้นเป็นองค์ชายใหญ่สั่งการเพราะเรื่องส่วนตัว หากฐานะของพวกเขาถูกเปิดเผย องค์ชายใหญ่เองก็ไม่อาจหลุดพ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาแล้ว
เยี่ยเม่ยกวาดตามองพวกเขา คำพูดเป็นมิตรมากขึ้น แต่เส้นเสียงยังคงเย็นชา “ดูพวกเจ้าแต่ละคน ถูกข้าทำให้ตกใจเสียหมดแล้ว เดิมทีเห็นความสามารถข้าก็ไม่กล้าเข้ามาต่อสู้แล้ว ยามนี้ยังถูกเปิดโปงฐานะอีก พวกเจ้าลองคิดดู หากพวกเจ้ายอมสยบ หรือว่า…”
คำพูดนี้ยิ่งกระแทกใจพวกเขา พวกเขาเห็นฝีมือของเยี่ยเม่ย ก็ไม่กล้าขยับแล้ว? หากไม่คิดถึงคำสั่ง คงหนีไปแต่แรก
ศัตรูพลันคุกเข่าเสียงดัง ‘ ตึ่ง’ ‘ ตึ่ง’ “พวกเราผิดไปแล้ว พวกเรายอมแพ้”
นางไม่ต้องเสียแรง ไม่เสียทหารสักคน คำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้ทหารทัพใหญ่จำนวนมากนั้นคุกเข่ายอมแพ้ พวกหลูเซียงฮั่วที่ยืนมอง แต่ละคนอยู่ในอารามตกตะลึง เลื่อมใสนับถือเยี่ยเม่ยจากใจ
ถัดมา สายตาเยี่ยเม่ยกวาดมองหัวหน้าศัตรูอีกครั้ง กล่าวว่า “เจ้าเล่า คุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดจากใจ หรือยังฝืนดื้อดึงให้ถึงที่สุด”