เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 88
เวลานี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไป สองมือไพล่หลังนิ่งอยู่สักพัก จากนั้นค่อยยื่นมืออกมาอย่างสง่างาม ลูบคางตน “แก้ไข…”
……
บนรถม้า
“ท่านอ๋อง พวกเราจากมาเช่นนี้แล้ว ภายหน้าองค์ชายใหญ่ เกรงว่าจะแค้นเคืองพวกเรา” องครักษ์ประจำกายที่อยู่ด้านหลังเซี่ยโหวเฉินเอ่ยปาก
เซี่ยโหวเฉินมองเขา “หากข้าคาดการไม่ผิด ในยามนี้เขายังยากปกป้องตัวเองด้วยซ้ำ”
แต่ไหนแต่ไรมา เซี่ยโหวเฉินได้รับขนานนามว่าเป็นปราชญ์อันดับแห่งเป่ยเฉิน แน่นอนย่อมคาดการณ์หลายสิ่งหลายอย่างได้ เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ องครักษ์ประจำกายไม่ถามอีกต่อไปแล้ว
เซี่ยโหวเฉินเอ่ยต่ออีกว่า “อีกอย่าง ข้าไม่ใช่บอกเป่ยเจี้ยนเกอแล้วหรือไงว่าเป่ยเฉินเสียงจะเกิดเรื่อง มิเช่นนั้นต่อให้เป่ยเจี้ยนเกออยู่ในเมือง ก็มาช่วยเขาไม่ทัน ไม่ว่าอย่างไรก็ยังพอนับเป็นน้ำใจได้แล้ว”
“ท่านพูดก็ถูก” องครักษ์ประจำกายพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราจะไปที่ใดต่อดี”
เซี่ยโหวเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง มุมปากพลันยกยิ้มขึ้นสูงเป็นรอยยิ้มลึกลับ “ในเมื่อพวกเราสู้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้ ก็สมควรเอาความยุ่งยากไปให้เป่ยเฉินอี้เสียหน่อย ให้เขามาที่นี่ ”
……
ในห้องเยี่ยเม่ย
นางหยิบเคล็ดวิชาลับออกจากชายเสื้อ เมื่อเห็นอักษรตัวใหญ่เขียนว่า “เคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่” มุมปากนางกระตุกขึ้นโดยไม่อาจควบคุมได้
เมื่อเปิดเข้าไป นางเริ่มอ่านเนื้อหาภายใน
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกพิสดาร ในยามนี้แม้แต่ความอยากนอนก็ไม่เหลืออยู่แล้ว เมื่อไร้ความง่วง ก็เป็นช่วงเวลาที่สติจดจ่อ
ในขณะเดียวกัน นางคลายความระแวงสงสัย เริ่มฝึกกำลังภายในตามหนังสือ
ที่น่าแปลกก็คือ เมื่อพลังของนางไหลเวียน พลันรู้สึกถึงกระแสพลังคุ้นเคยสายหนึ่ง หมุนวนขึ้นในร่างกาย คล้ายกับว่าพลังสายนี้ซ่อนอยู่แต่แรก ทำให้นางหัวใจเต้นตึกตัก
ในเวลานี้เอง ด้านนอกหน้าต่างพลันมีเสียงลมพัด
เยี่ยเม่ยหันหน้ามองไปที่หน้าต่าง
ไม่มีคน ทว่าแค่ชั่ววูบที่หันกลับมา ผู้เฒ่าชราผมขาวท่านหนึ่งก็ยืนอยู่ในห้องของนางแล้ว
เยี่ยเม่ยตื่นตัวขึ้นมาทันที จ้องคนที่อยู่เบื้องหน้า
ผู้เฒ่าชราไว้เครายาว ใบหน้ากลับยิ้มร่า ดูแล้วเป็นคนมีเมตตา ทว่ารอยยิ้มกว้างเกินไป ทำให้ยามที่เยี่ยเม่ยจ้องเขา อดมุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
นางไม่รับรู้ถึงไอสังหารและเจตนาร้าย เพียงจ้องหน้ากับผู้เฒ่า มองเห็นดวงตาแวววับของฝ่ายตรงข้าม ไม่รู้สึกถึงความคุกคาม มือของนางยังคงจับพัดที่เอวไว้
ผู้เฒ่าเห็นมือนาง รีบโบกมือว่า “อย่า อย่าลงมือ มีอะไรค่อยๆ พูดดีๆ ผู้เฒ่าอย่างข้าอายุปูนนี้แล้ว รับการเคี่ยวกรำไม่ไหว”
ท่าทางดูหวาดกลัวของเขา ทำให้สายตาเยี่ยเม่ยทวีความล้ำลึกมากขึ้นหลายส่วน
ผู้เฒ่าเห็นเยี่ยเม่ยสีหน้ายังเย็นชาดังเดิม เขาพลันเผยท่าทางเจ็บปวดราวถูกมีดปักหัวใจ มองนางด้วยความร้าวรานเกินเปรียบ “หรือว่าการแสดงออกของข้ายังมีเมตตาไม่พอ ยามข้ามองเจ้า ข้าก็ฉีกปากยิ้มกว้างไปหลายนิ้ว ไฉนเจ้ายังคิดลงมือกับข้าอีก”
เยี่ยเม่ยจ้องหน้าเขา ตอบตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพราะว่าท่านยิ้มมากเกินไป ทำให้เห็นการแสดงออกมากเกินเหตุ คนที่ฝีมือการแสดงอ่อนด้อย ยากได้รับการเชื่อใจ”
ผู้เฒ่าคิดไม่ถึงเลยว่า ตนเองแสดงออกอย่างยากลำบากครั้งหนึ่ง เป็นผู้เฒ่ายิ้มร่ามีเมตตา ผลสุดท้ายกลับถูกหาว่าการแสดงยอดแย่
เขารู้สึกไม่พอใจ เดินสาวเท้ายาวไปนั่งลงที่เก้าอี้ยาวด้านข้าง ปรายตามองเยี่ยเม่ย เอ่ยด้วยความโกรธ “หนุ่มน้อยหน้ามนอย่างข้า ได้รับความนิยมมาพอแล้ว ยังต้องอาศัยการแสดงอะไรอีก”
เยี่ยเม่ย “…หนุ่มน้อยหน้ามน?”
ถึงใบหน้าเขาไม่มีริ้วรอย แต่ว่าคิ้วเคราล้วนเป็นสีขาว กาลเวลาไม่ทิ้งริ้วรอยเอาไว้บนใบหน้านี้ก็จริง แต่อาศัยเพียงเครายาวก็สามารถมองออกว่าอายุไม่น้อยแล้ว ใบหน้าก็มิได้หล่อเหลาเต่งตึง เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งไม่ผิดแน่ เขาพูดอะไรนะ…หนุ่มน้อยหน้ามน?
แม้แต่หนุ่มใหญ่มากประสบการณ์ยังไม่นับเลยเถอะ?
เห็นเยี่ยเม่ยมองหน้าเขาด้วยความลังเล เวลานี้ผู้เฒ่ายิ่งทวีความไม่พอใจ เสียงดังเอ่ยว่า “ทำไมอีก”
เยี่ยเม่ยนิ่งไป เอ่ยเสียงเย็นว่า “สำหรับเรื่องที่ท่านเป็นหนุ่มน้อยหรือไม่ พวกเราไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่อครู่ท่านบอกว่าท่านได้รับความนิยมมากก็พอแล้ว ดังนั้นความหมายท่านคือ ท่านมีคนนิยมด้วยหรือ”
“จริงแท้แน่นอน” ผู้เฒ่าสีหน้าลำพองใจ “แม้กระทั่งประมุขของหมู่ตึกกูเยว่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า กูเยว่อู๋เหินยังเป็นศิษย์ที่น่าภูมิใจของข้า ข้าไปที่ไหน คนมากมายต่างเข้าแถวคุกเข่ากราบข้าเป็นอาจารย์ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า พลันเข้าใจฐานะของอีกฝ่าย ยกเคล็ดวิชาในมือขึ้น เอ่ยกับผู้เฒ่าว่า “ดังนั้นท่านก็คือท่านผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ไม่ผิดแล้ว?”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มุมปากกระตุกเล็กน้อย เครายาวสีขาวสะอาดสั่นไหว มีท่าทางเหมือนถูกสังคมโจมตีและถูกหลอกลวง ชี้นิ้วสั่นระริกไปที่เยี่ยเม่ย กล่าวว่า “เจ้าถึงกับหลอกถามข้า”
เยี่ยเม่ยยักไหล่ไม่ใส่ใจ เพียงปรายตามองทีหนึ่ง ถามด้วยความเย็นชา “ท่านมาข้าทำไม เอาเคล็ดวิชากลับไปอย่างนั้นเหรอ”
นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เก็บท่าทางขมขื่นไว้ กางแขนกางขาวางท่าเป็นผู้สูงส่งลำพองใจ โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้องให้ข้าแล้ว ตั้งแต่ซินเยว่เยี่ยนขโมยของข้า ข้าก็ทำนายเอาไว้แล้วว่าของต้องตกอยู่ในมือเจ้า มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าด้วยความสามารถของนางหนูนั่น ยังจะขโมยของไปจากข้าได้หรือ”
แววตาของเยี่ยเม่ยเยียบเย็น ดวงตาที่มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เพิ่มความล้ำลึกขึ้นหลายส่วน
นางฉงน “นางขโมยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่านทำนายได้ว่าจะตกอยู่ในมือข้า ท่านทำนายได้อย่างไร”
นางเพิ่งข้ามกาลเวลามาไม่กี่วัน คนผู้นี้…
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ฟังคำถามนางเช่นนี้ รีบหันกลับไปมอง แววตางำประกายคมกริบกระแสหนึ่ง ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกภายใต้สายตาเช่นนี้ ตัวเองไม่อาจปกปิดความลับใดได้
แต่ก็ไม่ทำให้นางรู้สึกสนใจหรือหวาดกลัว
เยี่ยเม่ยมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่อย่างไม่ยี่หระ สายตาเย็นเฉียบรอประโยคต่อไปของอีกฝ่าย
เมื่อจ้องหน้ากันไปสักพัก ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันยิ้มออกมา ปรบมือเอ่ยว่า “ดี ไม่ผิดต่อความหวังของข้าจริงๆ ไม่มีแววหวาดกลัวเลยสักน้อย มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีคุณสมบัติมากพอเป็นศิษย์ข้า”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่ได้ตอบรับ
อย่างไรเสียนับตั้งแต่เริ่ม คนที่โอ้อวดว่าตัวเองได้รับความนิยมก็คือเขา คนที่บอกว่านางมีคุณสมบัติเป็นลูกศิษย์ก็คือเขา นางไม่ได้แสดงออกว่าตัวเองต้องการกราบอาจารย์เลย
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยินดีอยู่สักครู่หนึ่ง ค่อยตระหนักได้ว่าสีหน้าและอารมณ์ของเยี่ยเม่ยเย็นชาจนเกินไป
เขาหัวเราะอยู่นาน มองนางไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ทั้งไม่เอ่ยตอบ กลับทำหน้าเย็นชารอคำพูดของเขา เห็นได้ชัดว่าความยินดีของเขาไม่เข้ากับเวลานี้ ยามนี้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน หัวเราะไม่ออกอีกแล้ว
เขากระแอมไอเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนสักน้อย เอ่ยว่า “ข้ามองเห็นชีวิตก่อนรวมถึงชีวิตในตอนนี้ของเจ้า
คำพูดของเขา ทำให้เยี่ยเม่ยหรี่ตาลง
เรื่องมากมายที่นางลืมเลือนไป…
เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสี่ปีก่อน นางไม่หลงเหลือความทรงจำเลยสักน้อยนิด หลังจากถูกลูกพี่ช่วยขึ้นมาแล้ว เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านั้น นางล้วนจำไม่ได้
คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยแตกตื่น ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันรู้ทันว่านางจะทำอะไร เขารีบลุกขึ้น ปัดป่ายมือเอ่ยว่า “มีอะไรพูดจากันดีๆ อย่าคิดลงมือปิดปากข้าเชียว ข้ารักความสงบ เจ้าต้องรู้จักเคารพผู้อาวุโส…”