เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 90-91
ตอนที่ 90 บุรุษแข็งกร้าวเยี่ยเม่ย
“ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบทำหน้าลำพองใจ เอ่ยเสริมขึ้นทันทีว่า “เรื่องนี้สำหรับเจ้าและข้าแล้วถือเป็นเรื่องดี เมื่อเจ้าเริ่มฝึกกำลังภายในใหม่อีกครั้ง จะพบว่าฝึกได้ง่ายกว่าเดิมมาก ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ได้แต่ร่ำเรียนเคล็ดวิชาที่ทำร้ายร่างกายแล้ว”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ เอ่ยคำนี้ออกมา ก็ถอนใจ
ราวกับว่าคิดถึงใครหรือเรื่องอะไรขึ้นมาได้
เยี่ยเม่ยไม่มีอารมณ์สนว่าเขาคิดอย่างไร เพียงแต่ถามเขาเสียงเย็นว่า “อย่างนั้นท่านรู้หรือไม่ว่า เหตุใดตอนนั้นข้าถึงสูญเสียความทรงจำ”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “เพราะเจ้าพลัดไปอยู่อีกห้วงเวลาหนึ่ง เจ้าถูกพัดไปด้วยสายน้ำ ความกดดันทางห้วงเวลา ทำให้ความทรงจำของเจ้าว่างเปล่า สิ่งที่พูดได้ข้าก็พูดไปหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องถามอีก หากพลอยให้หนุ่มน้อยอย่างข้าถูกสวรรค์ลงโทษลำบากไปด้วย เจ้าจะชดใช้ไม่ไหว”
เขาพูดไปด้วยท่าทางรักถนอมชีวิตอย่างที่สุด ถอนร่นไปสองก้าว มองเยี่ยเม่ยด้วยความป้องกัน
เยี่ยเม่ยมองเขา ถามว่า “จุดประสงค์ที่ท่านปรากฏตัวในที่นี้คืออะไร”
“รับเจ้าเป็นศิษย์” คำพูดนั้นของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ เรียกได้ว่าหน้าไม่แดงเลยสักนิด ราวกับว่าเรื่องราวควรเป็นไปเช่นนี้ ทั้งไม่จำเป็นต้องถามความสมัครใจส่วนตัวเยี่ยเม่ย
…
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ข้าเห็นด้วยแล้วหรือ”
“หรือเจ้าไม่ยินยอม?” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่คล้ายถูกโจมตีอย่างหนัก มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เชื่อสายตา คนทั้งร่างเหมือนถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน
พูดไปๆ เขาก็ชี้มาที่ตัวเอง ทั้งกล่าวด้วยความแตกตื่นว่า “เจ้ารู้หรือเปล่าข้าคือใคร ข้าคือผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ในตำนาน พวกศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าล้วนเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งอันดับของใต้หล้า เป็นคนหล่อเหลาร่ำรวยตามมาตรฐานนิยม ต่อให้เจ้าไม่เห็นแก่ข้า ก็สมควรเห็นแก่บุรุษรูปงาม เจ้าก็น่าจะตอบรับสิ?”
ไม่ใช่สตรีสมัยนี้ล้วนชมชอบบุรุษหล่อเหลาร่ำรวยมิใช่เหรอ
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ครุ่นคิดเช่นนี้
จากนั้น เยี่ยเม่ยกลับปรายตามองเขาอย่างเย็นชา ตอบกลับไป “ข้าไม่สนใจบุรุษหล่อเหลาร่ำรวย อย่างไรเสียผู้อื่นโดดเด่นก็ไม่สู้ตัวเองโดดเด่น ดังนั้นจุดนี้เย้ายวนข้าได้ไม่มากพอ ฐานะและชื่อเสียงของท่านก็ไม่อาจจูงใจข้าได้ ท่านลองหาวิธีอื่นมาทำให้ข้ายอมรับเถอะ”
หลังจากเยี่ยเม่ยพูดจบ นางกลับมานั่งบนเตียง หลับตาทำสมาธิ เตรียมฝึกกำลังภายในตามเคล็ดวิชา
ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าไม่คิดจะเอาเคล็ดวิชากลับไป อย่างนั้นนางก็ไม่ต้องเกรงใจอีก ฝึกไปเลยก็แล้วกัน
คำพูดนี้ของนางทำให้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตกตะลึงถึงขีดสุด ตัวสั่นมองเยี่ยเม่ยอยู่สักพัก คนทั้งร่างโมโหเสียจนเคราสั่นระริก ชี้ที่นางเอ่ยปากว่า “อย่างนั้นเจ้าพูดมา เจ้าจะเอาอย่างไรถึงยอมเป็นศิษย์ข้า”
หากเอ่ยออกไปว่า เขารับศิษย์ล้มเหลว ต่อไปจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน มุดอยู่ในกางเกงหรืออย่างไร
เยี่ยเม่ยตอบไปตามสัตย์ “ข้าเองก็อยากรู้ ทำอย่างไรถึงยอมเป็นศิษย์ท่าน ท่านลองคิดดูเถอะ ไม่แน่อาจคิดวิธีเกลี้ยกล่อมข้าได้”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่นิ่งไปชั่วขณะ ปรายตามองนางด้วยความน้อยใจ “เจ้าฝึกเคล็ดวิชาของข้าแล้ว ไม่เคารพข้า ยอมข้าเสียหน่อยหรือ”
“เดิมคิดว่าได้ แต่เมื่อครู่ท่านไม่ใช่พูดเองหรือว่า เคล็ดวิชาอยู่ในมือข้า ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านคาดการไว้แล้ว ในเมื่อข้าตกอยู่ในแผนการของท่าน ก็เท่ากับเสียเปรียบท่าน ทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเสมอกัน ท่านว่าอย่างไร” ตรรกะความคิดของเยี่ยเม่ยยังนับว่าชัดเจนมาก
ลูกพี่กับเยาไกว่ พวกเขามักวิจารณ์นางเสมอ “หากนางไม่ใช่ผู้หญิง ซ้ำยังงดงามเกินคนทั่วไปมาก อาศัยตรรกะความคิดรวมถึงการกระทำของนาง โดยพื้นฐานแล้วนางก็คือบุรุษแข็งกร้าวไม่ผิดแน่
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ในยามนี้พลันอยากร้องไห้แล้ว…
ในเวลานี้เอง หลังคาห้องพลันเกิดเสียงดังขึ้นมา ทั้งสองสีหน้าแตกตื่น
ตอนที่ 91 ท่านดีใจมากนักเหรอ
คนทั้งสองต่างไม่รับรู้ถึงไอสังหาร
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองเยี่ยเม่ยอย่างมีความนัยอื่น ร่างไหววูบหนึ่ง หายไปจากห้องไม่เห็นเขาอีก
ก่อนเขาจากไป เพียงใช้เสียงส่งเข้าโสตประสาทเยี่ยเม่ย “ข้ายังจะกลับมาอีก”
เงาร่างของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ออกจากห้องไปแล้ว
ส่วนคนบนหลังคา หรี่ดวงตาชั่วร้ายมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จากไป แสงริบหรี่นั้นเล็กน้อยเสียจนยากจับสังเกตได้ มุมปากยกยิ้ม แต่ก็เก็บสีหน้าไปอย่างรวดเร็ว
อวี้เหว่ยอยู่ด้านล่างหลังคา มองเตี้ยนเซี่ยของตนด้วยความตื่นตัว
ไม่เพราะเรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะตัวเขาได้ข่าวมาว่า แม่นางเยี่ยเม่ยได้รับเคล็ดวิชาเล่มหนึ่ง หากท่านคิดชดเชยให้แม่นางเยี่ยเม่ย เวลานี้ก็สามารถส่งของที่ช่วยให้แม่นางเยี่ยเม่ยฝึกกำลังภายในได้
หลังจากเขาเอ่ยจบ เตี้ยนเซี่ยก็รวบรวมของกองโต
ยาทั้งหลายที่ช่วยในการฝึกกำลังภายใน คัมภีร์เคล็ดวิชาสารพัดสำนัก สรุปแล้วคือทุกอย่างที่ใช้ได้ จับยัดใส่จนเต็มแน่นลัง เตี้ยนเซี่ยแบกมาจนถึงที่นี่ ยกขึ้นไปไว้บนหลังคาห้องแม่นางเยี่ยเม่ย
ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หลังจากขึ้นหลังคาไปแล้ว ก็นำลังใบนั้นขึ้นไปหลังคาเช่นกัน นี่ก็คือที่มาของเสียงที่ เยี่ยเม่ยได้ยิน
หลังจาก องค์ชายสี่วางลังเรียบร้อย ก็เปิดกระเบื้องหลังคาห้องเยี่ยเม่ยออก เตรียมทำให้นางแปลกใจ
สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ ลังใบนั้นน่าจะหนักมาก?
เมื่อครู่ตอนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคุกเข่าลง ใช้มือข้างหนึ่งขยับกระเบื้องหลายแผ่น เพื่อก้มลงไปในห้องสบตากับเยี่ยเม่ย ลังใบนั้นเกิดขยับเอง
มันกดทับหลังคาห้อง ตกร่วงลงไปด้านล่าง
ส่วนตำแหน่งนั้นก็ตรงลงไปที่เยี่ยเม่ยอย่างพอดิบพอดี
อวี้เหว่ยเห็นฉากสะเทือนขวัญนี้ เอามือปิดหน้าตน อดทนดูต่อไปไม่ไหว
ลังตกลงไปตรงๆ ไม่เบนทิศเลยสักนิดเดียว อีกทั้งภายในยังอัดแน่นไปด้วยของขวัญชดเชยที่องค์ชายสี่ตระเตรียมไว้ให้แม่นางเยี่ยเม่ยอีกด้วย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบสนองในทันที ไม่พูดพร่ำมากความพุ่งทะลวงหลังคาลงไป
คิดจะใช้มือปัดลังให้ก็ไม่ทันแล้ว ใช้กำลังภายในก็จะทำลายเคล็ดวิชาภายในลัง
ดังนั้นเขายื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ดึงเยี่ยเม่ยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ทั้งสองล้มลงบนเตียง กลิ้งตัวไปเล็กน้อยหลบลังได้สำเร็จ
“โครม” เสียงลังตกกระแทกพื้น
ลังไม้แตกออกเป็นเสี่ยง ยังดีที่ข้าวของภายในหาได้บุบสลาย
ส่วนบนเตียง
เยี่ยเม่ยนอนอยู่บนเตียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทับอยู่บนตัวนาง เขาใช้แขนยันเตียงไว้ ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงคืบเดียว
เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา สายตาเจือความโกรธ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายสี่เผยความกระอักกระอ่วนอย่างที่หาชมได้ยาก ท่วงท่าของเขายังดูสง่างามไม่เสื่อมคลาย แต่สุดท้ายน้ำเสียงเร่งร้อนขึ้นอยู่บ้าง “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยน…”
เขาตระหนักได้ว่า หากเมื่อครู่ตนช้าไปอีกก้าวเดียว เยี่ยเม่ยจะถูกทับแล้ว
เขาอยากแสดงออกว่าตัวเองมาขอโทษ ไม่ใช่มาก่อเรื่อง ทั้งหมดนี่เป็นอุบัติเหตุ
จากนั้น ยังไม่ทันเอ่ยปากออกไป เยี่ยเม่ยก็ยื่นมือออกอย่างเย็นชา ผลักเขาออก
ทั้งสองลุกขึ้นมานั่งบนเตียง เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา มองซากลังที่แตกอยู่บนพื้น จากนั้นมองหลังคาแตกทะลุ นางเงียบไปสักครู่หนึ่ง ถึงได้ปรายตามองเขา “นี่คือวิธีใหม่ในการดึงดูดความสนใจข้าของท่านหรือ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งไปสักพัก เขาเหลือบมองของบนพื้น ยังไม่ทันได้เอ่ยวาจา
เยี่ยเม่ยพลันยื่นมือออกมา กดเขาลงบนเตียง ท่วงท่าคล้ายผู้กรำชัยกดอยู่เหนือร่างเขา จ้องใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้าย ถามเสียงเย็นชาว่า “ได้ซุกซนสักหน่อย ท่านดีใจมากนักหรือ”