เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 94
“เตี้ยนเซี่ย…”
ชั่วขณะนี้อวี้เหว่ยไม่รู้ว่าตัวเองสมควรเอ่ยอะไร เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของคนมากกว่าเตี้ยนเซี่ยที่ยามปกติไม่สนใจแม้แต่ญาติพี่น้อง แต่ความสัมพันธ์ประเภทนี้ เขาก็ไม่รู้จะกู้คืนกลับมาในทันทีอย่างไร
ในขณะที่อวี้เหว่ยตกอยู่ในความสับสน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ก้าวเท้าเตรียมตัวจากไป
อวี้เหว่ยเห็นเงาหลังของเขา มุ่นคิ้วถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านเตรียมจะกลับไปอย่างนี้จริงๆ เหรอ คำพูดที่ท่านเอ่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยเมื่อครู่นี้ หากท่านจากไปในเวลานี้ อย่างนั้นทุกสิ่งที่ท่านทำมาตลอดหลายวัน ก็เหมือนกับยอมแพ้ก่อนจะประสบความสำเร็จ”
อย่างนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าสิ่งที่เตี้ยนเซี่ยทำในช่วงหลายวันนี้ ล้วนเป็นกับดัก นี่ไม่เพียงแต่จะสูญเสียความรู้สึกดีๆ ของเยี่ยเม่ย ไม่แน่ว่าจะได้รับความแค้นกลับมา
คำพูดนี้ ทำให้เท้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม แต่สุดท้ายเขาก็ยังก้าวเท้าออกไป
ดวงตาชั่วร้ายทอดสายตาออกไปไกล น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เริ่มต้นด้วยการหลอกลวง ต่อให้สุดท้ายหัวใจของเยี่ยนจะเป็นจริง ก็ไม่คู่ควรได้รับผลลัพธ์ที่ดีทั้งหลาย อย่างนั้นก็ถือว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมด ไม่เคยเกิดขึ้นเถอะ ทิ้งงเรื่องทุกอย่างก่อนจะสำเร็จ รวมถึงการหลอกลวงตั้งแต่เริ่มต้น”
เวลานี้ อวี้เหว่ยไม่รู้ว่าตนควรพูดอะไรออกไปอีก
เขาเพียงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง…
ไม่ช้าน้ำเสียงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ดังขึ้นมาอีก เสียงไพเราะแฝงความเยาะเย้ยตัวเองไว้ “หากเยี่ยนกลับไปยามนี้ ยังจะพูดอะไรกับนางได้อีก บอกว่าเรื่องก่อนหน้าเป็นเรื่องกึ่งเท็จกึ่งจริง ข้าคิดจะทรมานเจ้าก็จริง? แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว?”
“เตี้ยนเซี่ย…” อวี้เหว่ยสูดหายใจลึก “เตี้ยนเซี่ย อย่าพูดอีกเลย ท่านพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา ไม่รู้สึกเสียใจหรือ”
“เสียใจ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยิ้มออก “เสียใจมาก แต่ก็ล้วนเป็นผลร้ายที่ตัวเองปลูกขึ้นมา ต่อให้เปื้อนเลือดของตัวเอง ก็ต้องกัดฟันทนไปให้ได้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันพรุ่งนี้ จะเป็นคนใหม่”
“เอ๊ะ?” อวี้เหว่ยพลันได้ยินถึงความไม่ปกติเล็กน้อย
เมื่อเงยหน้ามองคนผู้นั้น อวี้เหว่ยอยากหัวเราะ เลียบเคียงถาม “ท่านวันพรุ่งนี้ เป็นท่านคนใหม่ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
สุดท้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็คลี่ยิ้มออกมา สายตามีแววปล่อยวาง สาวเท้ากว้างออกไป “ความหมายก็คือ…คิดให้เยี่ยนยอมแพ้ ไม่มีทาง”
สิ้นคำ เขาก็ก้าวออกไปแล้ว
ส่วนอวี้เหว่ยเวลานี้ก็เข้าใจ…
นี่ยังบอกอะไรได้อีกเล่า นอกเสียจากว่าเตี้ยนเซี่ยรู้ว่าวิธีการในอดีตของตนไม่ถูกต้อง ดังนั้นวันนี้ก็ไม่ฝืนย้อนกลับไปแก้ไข เตรียมทุ่มเทใหม่ในวันพรุ่งนี้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ต่อหน้าแม่นางเยี่ยเม่ย
เห็นท่าทางดีใจของอวี้เหว่ยราวกับเก็บเงินได้
นี่กลับทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันหน้ากลับไป ถามด้วยความฉงนว่า “ดูเหมือนเจ้าจะดีใจมาก”
อวี้เหว่ยพยักหน้า ตอบตามตรงว่า “อือ เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยก็ไม่หวังว่าท่านจะปล่อยแม่นางเยี่ยเม่ยไป ข้าน้อยหวังว่าพวกท่านจะอยู่ด้วยกัน”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่ทันถามถึงเหตุผล
อวี้เหว่ยรีบเอ่ยต่อไปอย่างว่องไว “เพราะหลายปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่เห็นท่านสนใจเรื่องหนึ่งหรือใครคนหนึ่งเช่นนี้ เตี้ยนเซี่ยท่านรู้ไหม ในสายตาของท่านชีวิตคนแต่ไรมาไม่มีค่าสู้เศษหญ้ายังไม่ได้ ญาติสนิทมิตรสหาย คุณธรรมหลักการ ล้วนไม่อยู่ในสายตาของท่าน คนมากมายบอกว่าท่านเป็นปีศาจ เพราะในตัวท่านหาความเป็นมนุษย์ไม่ได้เลยสักน้อย มองไม่เห็นเงาร่างของความเป็นมนุษย์แต่นับตั้งแต่พบแม่นางเยี่ยเม่ย ท่านก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
บอกว่าเตี้ยนเซี่ยของตนไม่มีความเป็นมนุษย์ อวี้เหว่ยพูดออกมาได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
อวี้เหว่ยเอ่ยไปก็มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ถึงแม้สองสามวันนี้ ข้าน้อยไม่เข้าใจมาตลอดว่า ท่านชอบนางจริงหรือไม่ แต่เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยเห็นความรู้สึกอื่นนอกจากความโหดร้ายจากตัวท่าน จนถึงกระทั่งเห็นท่านรู้จักเจ็บปวด ท่านรู้หรือเปล่า เมื่อก่อนไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่าน ท่านล้วนไม่รู้สึกเจ็บปวด หากการดำรงอยู่ของนางทำให้ท่านค้นพบความรู้สึกอารมณ์แบบคนทั่วไป ข้าน้อยหวังว่าพวกท่านจะได้อยู่ร่วมกัน”
หลายปีมานี้เตี้ยนเซี่ยผ่านเรื่องราวมาไม่น้อย หากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวคนที่อ่อนแอ เกรงว่าชีวิตคงแตกดับไปตั้งนานแล้ว แต่ที่น่าแปลกก็คือเมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับเตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ยถึงกับไม่รู้สึกอันใดเลย
ไม่รู้สึกเลยสักเล็กน้อย
เตี้ยนเซี่ยถึงกระทั่งทำตัวสบายๆ ช่วยแนะนำเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับตนให้กับเหล่าคนที่วางแผนทำร้ายเขาจากนั้นก็เหยียบย่ำคนพวกนั้นโดยไม่สนใจ ต่อให้หนึ่งในนั้นคือบิดามารดาญาติมิตรก็ตาม
“เดิมข้าคิดว่า ชั่วชีวิตนี้ท่านจะไม่รู้สึกเสียใจ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แม้กระทั่งไร้ความรู้สึก แต่ยามนี้…ดังนั้นการดำรงอยู่ของแม่นางเยี่ยเม่ย สำหรับท่านแล้วสมควรนับว่าเป็นคนพิเศษ” อวี้เหว่ยเอ่ยไป ยังผงกหัวไปด้วย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่ กลับยิ้มออกมาแล้ว เขาพยักหน้าด้วยท่าทางสง่างาม เอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าพูดไม่ผิด ก่อนนางปรากฏตัว ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความเป็นคน”
อวี้เหว่ยเหงื่อเย็นเยียบแตกพลั่กออกจากด้านหลังหัว เตี้ยนเซี่ยคงไม่เอาคำพูดมานี้มาหาเรื่องเขาหรอกนะ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจัดชายเสื้อตนด้วยท่าทางสง่างาม เอ่ยช้าๆ ว่า “ไปเถอะ”
……
ในห้องของเยี่ยเม่ย
นางเดินเข้าห้อง มองข้าวของที่ตกอยู่บนพื้นทีหนึ่ง ก่อนตั้งใจมองอีกหลายครั้ง ในนั้นข้าวของที่มีส่วนช่วยนางฝึกยุทธ์
จิตใจของเยี่ยเม่ยพลันจมดิ่งลงไปหลายส่วน ทั้งไม่รู้ว่าสมควรยินดีที่ตัวเองฉลาด มองจิตใจความคิดของเขาออกได้อย่างรวดเร็ว หรือควรหัวเราะเยาะที่ตัวเองฉลาดเกินไป มีสติปัญญามากเกินไป…
ในขณะที่ครุ่นคิดนั้น ด้านนอกพลันมีเสียงเท้าดังขึ้น
นางหันหน้ากลับไปดู จิ่วหุนก้าวนำเข้ามาก่อน ร่างสูงของเด็กหนุ่มปรากฏอยู่ในห้อง ผ้าผูกผมสีแดงพัวพันอยู่ระหว่างเส้นผมดำขลับ ใบหน้างดงามเกินเปรียบของเขาทวีความน่าหลงใหลเพิ่มอีกหลายส่วน แต่ดันดูสะอาดบริสุทธ์จนทำให้คนไม่กล้าคิดมาก กลัวจะเป็นการดูหมิ่น
เขามองข้าวของในห้องทีหนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองเพดาน ใบหน้างดงามนั้นพลันหนักอึ้งลง “เขามาแล้วหรือ”
นางบอกว่าอยากพักผ่อน ไม่ต้องการให้ใครรบกวน เขากลัวเสียงดัง จึงไม่เฝ้าอยู่หน้าประตู
จะรู้ที่ไหนว่า พอไม่เฝ้าหน้าประตูก็มีคนพังหลังคาลงมา
เยี่ยเม่ยก็ไม่คิดพูดมาก เพียงแค่ผงกหัว “อืม มาโดยไม่ได้รับเชิญ หลังจากข้าเปิดโปงความคิด ก็เผ่นไปแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกนางไล่ไป สีหน้าจิ่วหุนผ่อนคลายขึ้นมาก
เยี่ยเม่ยมองเขา ถามว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร”
จิ่วหุ่นหันหลังมองหลูเซียงฮั่วที่ติดตามมาด้านหลัง
หลังจากแม่ทัพหลูเข้าประตูมาแล้ว ก็ค้อมเอวเอ่ยปากรายงานว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ทหารทั้งหลายของต้ามั่วเป็นดังที่ท่านคาด เอาข้าวสารพวกนั้นออกมากินแล้ว พวกเราเตรียมบุกจู่โจมได้หรือยัง”
“อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างว่องไว สาวเท้าก้าวยาวๆ ออกจากห้อง “จัดทัพเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
จิ่วหุนรีบติดตามมาอยู่ข้างกายนาง
หลูเซียงฮั่วก็รีบติดตามไปโดยไว “เตรียมตัวพร้อมแล้ว แม่นางซือหม่ากับแม่นางซินไปตามหาโย่วอี้อ๋องก่อนแล้ว ยังมีอีกเรื่องเทพกระบี่โอวหยางเทามาถึงแล้ว เขามาสืบข่าวของราชาดาบ คุ้มกันแม่นางสองคนนั้นเดินทางไปต้ามั่วแล้ว”
เยี่ยเม่ยพยักหน้าคล้ายไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พวกต้ามั่วกลุ่มนั้นดีใจอยู่นาน ถึงเวลาสังหารพวกเขา แล้ว”