เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 97-2
ซินเยว่เยี่ยนกับจงรั่วปิงก็ไม่กล่าวอะไร ถึงพวกนางเห็นซือหม่าหรุ่ยเป็นสหาย แต่พวกนางก็เข้าใจอ ย่างชัดเจนว่า ซือหม่าหรุ่ยและโอวหยางเทาสองคนนี้เกี่ยวพันกับเรื่องของราชวงศ์จงเจิ้ง พวกนางไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
หลังจากโอวหยางเทาและซือหม่าหรุ่ยเดินออกไปด้วยกัน
โอวหยางเทาหันมองท่านหมอเทวดา เอ่ยปาก “เจ้ามีอะไรจะพูดก็บอกมาเถอะ”
ซือหม่าหรุ่ยกวาดตามองโอวหยางเทา นางไม่อ้อมค้อม ถามอย่างตรงไปตรงมา “ข้าขอถามท่าน คลังสมบัติที่ราชวงศ์จงเจิ้งเตรียมไว้กอบกู้แผ่นดิน ท่านรู้เบาะแสใช่หรือไม่”
โอวหยางเทานิ่งอึ้ง รีบปฏิเสธ “สมบัติอะไร ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”
“วิญญูชนไม่เอ่ยวาจาอ้อมค้อม” ซือหม่าหรุ่ยสีหน้าจริงจัง มองโอวหยางเทากล่าวต่อว่า “ท่านสมควรรู้ดี ปีนั้นเพื่อช่วยอาซีแล้วข้าสูญเสียอะไรไปบ้าง ข้าทำอะไรเพื่อราชวงศ์จงเจิ้งไปบ้าง หลายปีผ่านมาแล้ว ถึงตอนนี้ข้ายังไม่พบเบาะแสของเซียวชินเลย ถึงกระทั่งไม่รู้ด้วยว่าเขามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว”
นางพูดมาอย่างนี้ โอวหยางเทาหลบสายตา ไม่กล้ามองซือหม่าหรุ่ย ความเสียสละของ ซือหม่าหรุ่ยเพื่อองค์หญิงในปีนั้น คนนอกไม่รู้ แต่พวกเขาที่รู้เรื่องราวต่างเข้าใจอย่างชัดเจน
ส่วนน้ำเสียงของซือหม่าหรุ่ย เย็นชาขึ้นอีกหลายส่วนเอ่ยปากว่า “ดังนั้นท่านสมควรเข้าใจว่า ข้าไม่มีทางขายพวกท่านแน่ ทั้งไม่มีทางทรยศอาซี บอกข้าเถอะ ถือว่าข้าขอร้องท่าน ท่านรู้ที่ตั้งของคลังสมบัติใช่หรือไม่”
โอวหยางเทาฟังแล้ว สายตาสับสนสักพัก เขาลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็กัดฟันแน่น มองซือหม่าหรุ่ย พยักหน้าเอ่ยว่า “สมควรบอกว่า คนที่รู้เรื่องคือข้ากับเซียวเซ่อหยาง พวกเราสองตระกูลต่างก็ถือแผนที่คลังสมบัติคนละครึ่งส่วน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง หรือการใหญ่ของราชวงศ์จงเจิ้ง ข้าก็ต้องหาเซียวเซ่อหยางให้พบ”
เมื่อเขายอมเอ่ย ซือหม่าหรุ่ยรู้เรื่องที่ตนอยากรู้ก็คลายใจลง “เจ้ายอมรับได้ก็ดี ของพวกนี้ ข้าไม่ได้….”
โอวหยางเทากลับมอง ซือหม่าหรุ่ยด้วยแววตาแปลกประหลาด เอ่ยปากว่า “จู่ๆ ไฉนเจ้าถึงถามเรื่องนี้ พูดตามตรงแล้ว หากเอ่ยเรื่องแก้แค้น ถึงเป็นข้าก็ยังไม่กล้าคิด ปีนั้นองค์ชายสิ้นพระชมน์ในวัง องค์หญิงตกแม่น้ำหมิงสิ้นพระชนม์ ต่อให้พวกเราชนทายาทของขุนนางเก่าแก่ราชวงศ์จงเจิ้งคิดกอบกู้บ้านเมือง ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหน”
ซือหม่าหรุ่ยมองโอวหยางเทา พลันถามขึ้นว่า “หากองค์ชายยังมีชีวิตอยู่เล่า”
“อย่างนั้นพวกเราจะต้องติดตาม ภักดีจนกว่าชีวิจะหาไม่” น้ำเสียงโอวหยางเทาหนักแน่น ปีนั้นตระกูลเขาจงรักภักดีต่อราชวงศ์จงเจิ้ง หลายปีมานี้ปิดบังชื่อแซ่ ถึงกระทั่งออกท่องยุทธภพก็เพื่อการใหญ่
จู่ๆ ซือหม่าหรุ่ยก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่หากองค์หญิงยังมีชีวิตอยู่เล่า”
“องค์หญิง?” โอวหยางเทาตะลึงไปชั่วครู่ “เจ้าพูดถึงจงเจิ้งซี?”
ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า รุกถามต่อว่า “หากคนที่ยังมีชีวิตอยู่คือองค์หญิง ท่านกับพี่บุญธรรมข้ายังจะช่วยนางกอบกู้แผ่นดินเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“สตรีนางหนึ่ง…” โอวหยางเทาขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ข้าดูแคลนสตรี เพียงแต่สตรียากจะเรียกรวมทหารของจงเจิ้ง โดยเฉพาะ…เจ้าก็รู้ว่าในปีนั้นทหารจงเจิ้งพ่ายแพ้ นาง…”
ซือหม่าหรุ่ยตัดบท จ้องมองเขาเอ่ยว่า “ข้าแค่ถามว่า หากอาซียังมีชีวิตอยู่ เจ้ากับเซียวเซ่อหยางยินดีช่วยนางกอบกู้แผ่นดินหรือไม่ ข้าเพียงถามถึงพวกท่านสองคน ไม่เอ่ยถึงผู้อื่น ส่วนเรื่องในปีนั้น ข้าเชื่อว่าท่านก็เข้าใจว่าอาซีไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น”
โอวหยางเทาสูดลมหายใจลึก ข้ารู้สึกว่าซือหม่าหรุ่ยช่างแปลกประหลาดนัก จงเจิ้งซีตายไปแล้ว นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจดิ้นรนได้อีก ศพก็หาเจอแล้ว ฝังอยู่ในวังของเป่ยเฉินอี้
ท่าทีเช่นนี้ของซือหม่าหรุ่ย…
โทสะเล็กน้อยของเขาค่อยๆ สงบลง มองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าพูดไม่ผิด องค์หญิงเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น นางเองก็คาดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินอี้…ความจริง คนจำนวนมากต่างก็ระลึกถึงความดีขององค์หญิง นางเป็นราชนิกุลที่ในใจมีแต่อาณาประชาราช หากนางกลับมา ข้าจะจงรักภักดีต่อนาง ต่อให้นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ ข้าเชื่อว่าเซียวเซ่อหยางก็คิดเหมือนกัน”
“อย่างนั้นก็ดี” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า เตือนว่า “จงจำคำพูดของท่านในวันนี้เอาไว้”
โอวหยางเทามอง ซือหม่าหรุ่ยด้วยความแปลกใจ มุ่นคิ้วถามว่า “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ไฉนถึงได้ถามเรื่องพวกนี้กับข้า ตอนนั้นจงเจิ้งซีนางก็…”
“เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องถาม หากถึงเวลาที่ท่านสมควรรู้ ข้าจะบอกท่านเอง” ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยประโยคนี้ออกมา
โอวหยางเทารู้สึกเหมือนตกอยู่ในหมอกหนาไม่ชัดเจน
ส่วนซือหม่าหรุ่ยเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “ท่านไปตามหาพี่บุญธรรมก่อนเถอะ พบเขาเร็ววันหนึ่ง พวกเราก็สบายใจได้ไวขึ้นวันหนึ่ง”
“อืม” โอวหยางเทาพยักหน้า อยู่ในอารมณ์แปลกใจ เดินจากไป
ซือหม่าหรุ่ยยืนอยู่ที่เดิม มองส่งโอวหยางเทาเดินไปไกล
นางหันกลับไปมองยังทิศทางของเป่ยเฉิน เอ่ยเบาๆ ว่า “อาซี หากเยี่ยเม่ยคือเจ้า เช่นนั้นวันนี้ข้าช่วยเจ้าเปิดทาง ก็ไม่เสียแรงเปล่า ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องแก้แค้น ความทุกข์ที่พวกเราได้รับ คนที่พวกเราสูญเสีย ราชวงศ์เป่ยเฉินกับเป่ยเฉินอี้จะต้องชดใช้พวกเรา”
สิ้นเสียงนาง ผ่านไปชั่วครู่ซินเยว่เยี่ยนกับจงรั่วปิงเดินออกมาจากกระโจม
ซือหม่าหรุ่ยหันกลับไปมองพวกนาง สายตากลับมาเป็นปกติ มองพวกนางสองคน จากนั้นปรายตามองในกระโจม “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า “จัดการแล้ว ข้าให้เขากินพิษหนอน หากเขากล้าโกหก โอวหยางเทาหาร่องรอยของเซียวเซ่อหยางไม่พบ เขาจะต้องตกอยู่ในสภาพอยู่ก็ไม่สู้ตาย”
“อืม อย่างนั้นก็ดี” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า รีบมองซินเยว่เยี่ยน “ข้าคิดกลับไปอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย เจ้าเล่า”
ซินเยว่เยี่ยนส่งเสียงดังขึ้นมาทันที “ข้าจะกลับไปอยู่ข้างกายนางอย่างแน่นอน เมื่อครู่ข้าก็บอกโอวหยางเทาไปแล้ว หากเกิดเรื่องให้ส่งข่าวไปชายแดนเป่ยเฉิน ต่อให้หาเซียวเซ่อหยางไม่พบแล้ว ก่อนจะพาน้องสะใภ้ข้ากลับไป ข้าไม่ไปไหนเด็ดขาด”
ซือหม่าหรุ่ยหัวเราะ ผงกหัว “ดี”
ในยามนี้จงรั่วปิงกลับสอดขึ้นมาหนึ่งประโยค “ก็ดีเลย ข้าก็อยากไปพบเยี่ยเม่ยผู้นั้น”
สิ้นเสียง นางกอดกระบี่ยาวเดินนำหน้าไปทางเมืองก่อน ท่าทางดูแล้วเย็นชา แต่ก็ทำให้คนสัมผัสได้ถึงไอสังหารรุนแรง
ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนมองหน้ากัน ต่างก็ไม่เข้าใจ ท่าทางของจงรั่วปิงเช่นนี้หมายถึงอะไร
ในใจเกิดความแปลกใจ แต่ก็พูดไม่ออก ติดตามไปอย่างรวดเร็ว
……
ภายในห้องของเยี่ยเม่ย
หลังจากคำพูดพร้อมจะพลีกายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เยี่ยเม่ยยื่นมือออกมา กระชากเขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างแรง “เชิญท่านไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ไป” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนอยู่บนเตียง ยืนหยัดไม่ลงจากเตียง
สายตาชั่วร้ายคู่นั้น ใช้ท่าทางล่อลวงใจคน มองเยี่ยเม่ย “หากวันนี้เจ้าไม่นอนกับข้า ข้าไม่ไปไหนแน่”
สมองเยี่ยเม่ยพลันปรากฎความมึนตื้อ
เมื่อมองบุรุษไร้ยางอายเบื้องหน้า ยามเขาทำตัวไร้เหตุผล ท่วงท่าดันงดงามเกิดทั่วไป ถือเป็นตัวแทนของบุรุษรูปงามทั้งหมด
เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก จ้องตาเขา เอ่ยปากว่า “ข้ารู้ว่าตัวเองรูปงามมาก ทำให้เจ้าอยากเปลือยกายล้อนจ้อนมาปรนนิบัติข้า แต่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านเป็นคนไร้ยางอายอย่างนั้นหรือ”
เขาอยากทำอะไรกันแน่
เห็นว่านางโง่งมใช่หรือไม่ รู้สึกว่าต่อให้เขายอมรับแล้วว่า เขามีเจตนาไม่ดีมาตลอด คิดเพียงแต่ทรมานนาง อยากให้นางรับรู้ถึงความเจ็บปวด แต่นางยังคงถูกเขาล่อลวงไปได้แล้ว?
นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับหัวเราะออกมา
เขากลับพลิกมือคว้าข้อมือนางที่คิดจะลากเขาลงจากเตียง ดึงนางมาไว้เบื้องหน้า น้ำเสียงไพเราะน่าฟังค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ยางอาย? มีเพียงแต่คนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ถึงใส่ใจสิ่งนี้ แม่นางเยี่ยเม่ยกล่าวไม่ผิด เยี่ยนไร้ยางอาย”
เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับถลึงตาใส่เขา ไม่เอ่ยวาจา
สายตาเย็นชาคล้ายกับมองทะลุอารมณ์ของเขา ทะลุคำพูดของเขา ทะลุภาพลักษณ์ มองเห็นความคิดที่แท้จริงในใจของเขาอย่างชัดเจน
แต่สายตาเย็นชานี้ มองจนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกลนลานเป็นครั้งในชีวิต
ระหว่างสบตากัน
เขาพลันรู้สึกว่าตนเองคอแห้งขึ้นมาบ้างแล้ว ในที่สุดเขาจ้องใบหน้าเยี่ยเม่ย ค่อยๆ ถามว่า “ก็ได้…เจ้าให้โอกาสข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่”
สีหน้าของเขาจริงจัง มองไม่เห็นเจตนาร้ายสักน้อย ทั้งมองไม่เห็นท่าทางชั่วร้ายแบบเมื่อก่อน มีความจริงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
…
ใต้หล้านี้สิ่งที่ชวนให้คนหวั่นไหวที่สุดคืออะไร นอกเสียจากจริงใจและความสัตย์จริง
เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ นางไม่ตอบ เมื่อเห็นนางไม่ตอบ เขารู้สึกใจสั่น เป็นครั้งแรกที่กังวลใจที่จะได้ฟังคำปฏิเสธ
ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ในนาทีนี้ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ อารมณ์ขุ่นมัวของเยี่ยเม่ยเมื่อครู่สลาย
นางจ้องใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายนั้น เอ่ยปากว่า “ให้โอกาสท่านอีกครั้งหรือ”
“ไม่ผิด” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ เอ่ยอย่างจริงใจ “เจ้าเดาไม่ผิด ตั้งแต่แรกข้าก็มีใจทรมานเจ้า แต่ภายหลัง ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเกินความคาดการของข้า เมื่อคืนเยี่ยนบอกว่ายินยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อเจ้า เป็นคำพูดจากใจจริง เพียงเพราะแรกเริ่มเกิดจากเจตนาร้าย ดังนั้นถึงไม่แก้ตัว ตอนนี้เยี่ยนหวังว่า พวกเราจะมีโอกาสเริ่มต้นกันอีกครั้ง”
เขาจำเป็นต้องเอ่ยอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นในใจนางคงหยั่งรากความสงสัยและขัดใจไปชั่วชีวิต
เยี่ยเม่ยมองเขา ถามเสียงเย็นชาว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าชอบข้า อย่างนั้นเจ้าชอบข้าที่ตรงไหน ฉลาด โดดเด่น เพรียบพร้อม มีคุณธรรมน้ำมิตร? หรือเพราะคุณสมบัติอันดีงามที่มีความสูงส่งแต่ถ่อมตนของข้ากันเล่า”
อวี้เหว่ยที่แอบฟังอยู่นอกหน้าต่าง “…”
นี่แม่นางเยี่ยเม่ยจับใจความสำคัญไม่ได้ หรือว่าในใจนาง เรื่องพวกนี้ถึงเป็นสิ่งสำคัญกันนะ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไปชั่วครู่ ในที่สุดก็ยิ้มแล้ว ค่อยๆ เอ่ยว่า “ทั้งหมด ไม่เพียงเท่านี้ แม่นางเยี่ยเม่ยยังงดงามกินใจ เรียบง่ายแต่สง่า สูงส่งราวดอกไม้ทำให้คนไม่กล้าอาจเอื้อม ยามนี้เยี่ยนไล่จีบแม่นาง ความจริงในใจกังวลว่าจะอาจเอื้อมไม่ถึง”
อวี้เหว่ยกุมขมับเงียบๆ เอาอีกแล้ว เยี่ยนจอมประจบกลับมาอีกแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยรู้เลยว่า เตี้ยนเซี่ยประจบสอพลอได้ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นความสามารถด้านนี้เลย…
คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตรงใจเยี่ยเม่ยอย่างมิต้องสงสัย
เยี่ยเม่ยมองเขา
ในที่สุดก็พยักหน้า กล่าวว่า “คำพูดของท่านเมื่อครู่ ข้าจะลองเก็บไปคิดดู”
“หืม?” องค์ชายสี่ตะลึงงัน รู้สึกไม่อยากเชื่อ
อวี้เหว่ยนอกหน้าต่างก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาเองก็ไม่อยากเชื่อ เดิมเขาคิดว่าเตี้ยนเซี่ยต้องลงแรงไม่น้อย ถึงกระทั่งต้องคุกเข่าขอโทษ แม่นางเยี่ยเม่ยถึงยอมให้อภัยด้วยซ้ำ
หลังจากตกตะลึง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันหัวเราะออกมา ถามช้าๆ “คำพูดนี้เป็นจริงหรือ”
เยี่ยเม่ยมองเขา ตอบตรงไปตรงมา “ข้อดีที่สุดของข้าก็คือ นอกจากถ่อมตนแล้วยังไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ข้าไม่ปฏิเสธว่ามีความรู้สึกดีๆ ให้ท่าน มิเช่นนั้นคำพูดของท่านเมื่อวาน ข้าคงไม่รู้สึกผิดหวัง จนถึงกระทั่งยามนี้อารมณ์ข้ายังไม่เบิกบานเลย ดูท่าจะเกิดขึ้นเพราะเรื่องเมื่อคืน ข้าถึงได้ตระหนักว่า ตนเองรู้สึกดีกับท่านอยู่บ้าง”
พูดถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็ยังกล่าวเสียงเย็นชาต่อไป “แต่ไรมาข้าไม่ชอบทำให้ตัวเองลำบาก ในเมื่อรู้สึกดีกับท่าน ส่วนเรื่องพวกนี้ท่านก็อธิบายชัดเจน ข้ายอมรับคำพูดของท่านได้ อย่างนั้นก็สามารถพิจารณายกโทษให้ท่านได้ ก็ง่ายๆ เท่านี้”
เยี่ยเม่ยเป็นสตรีแกร่ง ถึงความคิดจะเบนไปทางบุรุษ แต่ข้อดีเช่นนี้ ก็มีเหตุผลมากพอให้
นางรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและกล้ายอมรับว่า นางไม่มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนสตรีทั่วไป พูดจาไม่ตรงกับใจ เสียเวลาเปล่า รู้สึกดีก็คือรู้สึกดี ไม่ลำบากตัวเองก็คือไม่ทำให้ตัวเองลำบาก
นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ ใบหน้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฎแววยินดี
เขารู้สึกว่า เขาสมควรตายนัก เขารักนางที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา รู้จักผลประโยชน์
อีกอย่าง นางบอกว่า นางมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเขา
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ เยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า ”เอาล่ะ ที่สมควรพูดก็พูดหมดแล้ว วันนี้ทหารต้ามั่วเสียเปรียบครั้งใหญ่ คิดว่าไม่ช้าคงเตรียมจู่โจมกลับ ข้าต้องรีบพักผ่อน เพื่อเตรียมรับศึก ในเมื่อข้ายอมพิจารณา ท่านก็ต้องให้เวลาข้า ตอนนี้ท่านออกไปได้แล้ว”
“ดี” คำตอบของเขากลับตรงไปตรงมา จากนั้นน้ำเสียงไพเราะก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “หากรู้สึกเหนื่อย เรื่องทหารต้ามั่ว ให้เยี่ยนจัดการก็ได้”
หลังจากสิ้นเสียงเขา เยี่ยเม่ยยังไม่ทันตอบ
“ปัง” เสียงหนึ่งดังขึ้น ประตูห้องเยี่ยเม่ยพลันถูกคนถีบออก
เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่างตะลึง หันกลับไปมองประตู