เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 99
อวี้เหว่ยปิดดวงตาคึกคักฮึกเหิมสองข้างของตนอย่างตื่นเต้นเป็นทวีคูณ
ความจริงฐานะของเจ้าหนุ่มนี่ เตี้ยนเซี่ยมองออกนานแล้ว จิ่วหุนนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า แม่นางเยี่ยเม่ยเรียกอีกฝ่ายว่าเสี่ยวจิ่ว ก็เท่ากับยืนยันว่าการคาดเดานี้เป็นจริง
สำหรับอวี้เหว่ย…
เขาเองก็อยากชมดูจริงๆ ว่า เตี้ยนเซี่ยปีศาจอันดับหนึ่งในใต้หล้า กับจิ่วหุนนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า ใครกันแน่ที่จะชนะ อืม เขาเป็นองครักษ์ที่มีภักดีอย่างแน่นอน เพียงแต่ความสงสัยของเขาค่อนข้างรุนแรง ก็เท่านั้น
อวี้เหว่ยคิดแล้ว ขยับมือขยับเท้าเตรียมลุกออกจากหน้าต่าง ติดตามฝีเท้าเตี้ยนเซี่ยไป
ทว่าในเวลานี้เอง
เยี่ยเม่ยหันมองหน้าต่าง น้ำเสียงเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ครั้งหน้าหากยังกล้าปีนหน้าต่างห้องข้าอีก ข้ารับรองว่าไม่ตีเจ้าตายแน่”
นี่คือคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางเอ่ยมอบให้กับอวี้เหว่ยโดยไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลง
อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก ท่าทางขยับมือขยับขาเตรียมตัวเดินพลันหยุดชะงัก หันมองเยี่ยเม่ยภายในห้อง มุมปากกระตุกสั่น “อืม…คือว่า ก็คือแม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าเห็นว่าข้าอยู่ที่หน้าต่างอย่างนั้นเหรอ”
ถึงความสามารถในการต่อสู้ของอวี้เหว่ยมีไม่มาก แต่ความสามารถในการเร้นกายกลับเป็นหนึ่ง
ในใต้หล้านี้คนที่หาเขาที่แฝงกายอยู่ได้ง่ายๆ นอกจากเตี้ยนเซี่ยแล้ว ก็มีแค่เสินเซ่อเทียน คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเม่ยจะกลายเป็นคนที่สาม
เยี่ยเม่ยสองมือกอดอก ปรายตาเย็นชามองเขา “ทุกครั้งที่เจ้าปีนหลบอยู่ตรงนี้ ข้ารู้ทั้งนั้น แค่ขี้เกียจพูด”
“ข้า…ข้ารู้แล้ว” อวี้เหว่ยตัวสั่น รีบกล่าวว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าขอตัวไปก่อนไม่รบกวนการพักผ่อนของเจ้าแล้ว ข้าจะไม่ปีนที่นี่แอบฟังอีก ขอตัวแล้ว”
อวี้เหว่ยเอ่ยคำพวกนี้จบ กลับมีใบหน้ายินดีราวคลุ้มคลั่ง
เยี่ยเม่ยเห็นเขาท่าทางราวกับถูกรางวัล วิ่งอย่างตื่นเต้นและเบิกบานไป มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย
เมื่อครู่นางเพิ่งตักเตือนเจ้าหนุ่มนั่นไม่ใช่เหรอ
ไฉนเขาถึงไม่เพียงไม่โกรธ ไม่คิดเอาคืนนาง กลับยังยินดีขนาดนี้เล่า
ไม่ผิด ท่าทางเมื่อครู่ของอวี้เหว่ยคือยินดีจริงๆ
เยี่ยเม่ยยืนอยู่ที่เดิมสักพัก มองเงาหลังของเขาที่จากไป สุดท้ายก็ส่ายหน้า ช่างเถอะ ความคิดของเจ้าหนุ่มนี่นางไม่เข้าใจ
เยี่ยเม่ยหมุนกาย สาวเท้ากว้างไม่กี่ก้าวมุ่งหน้ากลับไปยังเตียงนอนตน
อวี้เหว่ยอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นจริงๆ เดิมเขาคิดว่าเตี้ยนเซี่ยจะหาคนรู้ใจได้ หาคนที่สามารถช่วยจิตใจที่โหดเ**้ยมคลุ้มคลั่งของเตี้ยนเซี่ยได้เขาก็พอใจแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่เพียงเป็นคนเช่นนั้นพอดี ทั้งความสามารถก็ไม่ด้อยด้วย
ใช่แล้ว เขารู้มาตลอดว่าแม่นางเยี่ยเม่ยมีความสามารถ
แต่ว่าวันนี้ ได้พิสูจน์ความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ยด้วยตัวเขา พิสูจน์ด้วยความสามารถในการเร้นกายที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด เมื่อเรื่องราวเกี่ยวพันมาถึงตัวเอง ก็ยิ่งเป็นการพิสูจน์ความร้ายกาจของนาง
เช่นนั้นภายหน้าเตี้ยนเซี่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยร่วมมือกันยังจะเสียเปรียบได้เหรอ
ฮ่าฮ่า ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน
ส่วนเขาอวี้เหว่ยผู้ช่วยคนสนิทของเตี้ยนเซี่ยก็เป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกปลอมเป็นพยัคฆ์[1] มุ่งสู่จุดสูงสุดของชีวิตคน ไม่แน่ว่าในอนาคตวันข้างหน้าสักวันหนึ่ง ยังได้เป็นคนสูงส่งมีอำนาจเป็นท่านอ๋องกับเขาบ้าง
อวี้เหว่ยคิดได้เช่นนี้ คนก็ยินดีเสียจนไม่อาจควบคุม เพราะความยินดียังหัวเราะจนสำลักไออยู่นาน…
……
กำแพงเมืองชายแดนเป่ยเฉิน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุน คนทั้งสองยืนอยู่กันคนละฝั่ง
ดวงอาทิตย์สาดแสงในยามเช้า ปรากฏสีทองเหลืองบนปุยเมฆเป็นชั้นๆ ทำให้คนรู้สึกว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีวันหนึ่งอย่างแน่นอน
ใต้กำแพงเมือง เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยต่างยื่นหัวผลุบๆโผล่ๆ คิดชมความสนุก
อย่างไรนี่ก็คือเตี้ยนเซี่ยที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า อีกคนคือ “เสี่ยวจิ่ว” ที่แม่นางเยี่ยเม่ยกล่าวถึง ยามค่ำคืนพวกเขามีโอกาสได้เห็นความสามารถราวกับเทพแห่งสงครามก็ไม่ปานในสนามรบของเขา
ในใจคนทั้งหมด ล้วนตื่นเต้นเพราะเรื่องนี้
หากคนทั้งสองต่อยตีกันจริงๆ
พวกเขาถูมือสองข้างด้วยความตื่นเต้น
…..
พวกเขาควรตั้งวงพนันดูสักตาไหม วางเดิมพันกันที่นี่เลย จ่ายส่วนแบ่งเท่าไหร่ถึงเหมาะสม สุดท้ายเตี้ยนเซี่ยจะชนะ หรือเจ้าเสี่ยวจิ่วจะชนะ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นจริงๆ
สิ่งเหล่านี้คือความคิดในใจของพวกทหาร
ทว่าในใจของเหล่าแม่ทัพกลับไม่คิดเช่นนี้
พวกเขาต่างก็เศร้าโศกเป็นพิเศษ…
นี่มันเรื่องอันใดกัน ไฉนเตี้ยนเซี่ยถึงได้เป็นปรปักษ์กับเสี่ยวจิ่วแล้วเล่า
เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลังจากเอาชนะศึกได้ แม่ทัพทั้งหมดคิดถึงบุคลลิกห้าวหาญผ่าเผยของเสี่ยวจิ่ว คนทั้งหมดต่างปรึกษากันว่าจะรวมชื่อถวายฎีกาแนะนำเสี่ยวจิ่ว ส่งกลับไปให้ฝ่าบาทที่เมืองหลวง เพื่อบอกพระองค์ว่าแผ่นดินเป่ยเฉินปรากฏอัจริยะบุคคลผู้หนึ่ง หวังว่าพระองค์จะให้ความสำคัญ มอบตำแหน่งหน้าที่ให้เขา
นี่…
ยามนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
มีใครสามารถบอกพวกเขาได้หรือไม่
หากเตี้ยนเซี่ยต่อยตีทำร้ายจนเสี่ยวจิ่วเป็นอะไรขึ้นมา อย่างนั้น…
อย่างไรเสียบรรดายอดฝีมือที่ว่าเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม ล้วนพ่ายแพ้ใต้น้ำมือของเตี้ยนเซี่ยภายในหนึ่งสองกระบวนท่า พวกเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเสี่ยวจิ่วจากใจจริง
อารมณ์ของหลูเซียงฮั่วในยามนี้ยิ่งสลดเป็นพิเศษ แทบอยากร่ำไห้ออกมา “พวกเจ้าบอกมา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนพวกเขาถึงตีกันแล้ว”
แม่ทัพเซียวที่อยู่ด้านข้างสีหน้าหมดอาลัยตายอยากแล้วเช่นกัน อยากร้องไห้แทนบ้านเมืองและชาวบ้าน “ความหวังจากเบื้องลึกในใจของข้าคือ อย่างน้อยก็อย่าให้ถึงชีวิตเลย”
พวกเขาคิดจริงๆ ว่า เสี่ยวจิ่วจะมีอนาคตที่ก้าวหน้ากว้างไกลและราบรื่น
ขอเพียงเจ้าหนุ่มมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี โลดแล่นอยู่ในสนามรบ ผ่านไปไม่กี่ปีอย่างน้อยก็น่าจะได้ตำแหน่งโหว ใครมันจะรู้ว่าทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะอะไรกัน…
พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ
จิตใจของคนทั้งหมดกังวลว่าเสี่ยวจิ่วจะเกิดเรื่อง ไม่มีสักคนที่เป็นห่วงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะเกิดเรื่อง
เหตุผลนั้นง่ายมาก เตี้ยนเซี่ยในใจของพวกเขาคือปีศาจ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเกิดเรื่อง อีกอย่าง…คนจำนวนไม่น้อยยังรู้สึกว่า เตี้ยนเซี่ยเกิดเรื่องขึ้นบ้างก็ดีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้อยู่อย่างหวาดระแวงไปทั้งวัน
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่จงรักภักดีไม่รักแผ่นดิน แต่เตี้ยนเซี่ยผู้นี้ช่าง…
นิสัยโหดร้ายจริงๆ
ภายใต้สถานการณ์นี้ในใจของพวกเขานั้นแตกตื่น ทั้งห่วงใย ทั้งอยากร้องไห้
บนหอสังเกตการณ์ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุนทีหนึ่ง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “ยามเจ้าโยนมีดโหดร้ายอำมหิตเล่มนั้นใส่เยี่ยน เพื่อทำลายความสัมพันอันดีงามระหว่างเยี่ยนและแม่นางเยี่ยเม่ยอีกครั้ง เยี่ยนก็รู้ว่า ต่อให้เจ้าเป็นเด็กคนหนึ่ง ก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำผิดต่อไปได้อีก”
เขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เหล่าทหารนายทัพด้านล่างพลันส่งเสียงฮือฮา
พวกเขาต่างคิดว่าเตี้ยนเซี่ยอยู่ว่างๆ จึงหาเรื่องคน คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวจิ่วจะเป็นฝ่ายเริ่มยั่วยุเตี้ยนเซี่ยก่อน ไอ้หยา เจ้าหนุ่มนี่ไม่อยากมีชีวิตแล้วเหรอ
เด็ก?
คำนี้ปลุกโทสะของจิ่วหุนขึ้นมาโดยไม่ต้องสงสัย
หลายวันที่ผ่านมาสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดคือ เยี่ยเม่ยให้สายตาเหมือนมองเด็กผู้หนึ่งมองเขา
เขาไม่ชอบการถูกนางมองเป็นเด็ก หรือฟังคำว่าน้องชายจากปากนางจริงๆ
ฝ่ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้จักจุดอ่อนของเขาอย่างชัดเจน รู้ว่าคำพูดแบบไหนถึงทำให้เขาโมโหได้ คนผู้นี้สมกับเป็นปีศาจช่ำชองการทรมานใจคน เพราะว่ามีสายตาที่ยอดเยี่ยม
เขาก็รู้ว่าจุดอ่อนของตนอยู่ที่ไหน
แววตาของจิ่วหุนเผยไอสังหาร ชัดกระบี่ยาวข้างเอว สายตาประดุจมองคนตายมองอีกฝ่าย “เลิกพูดไร้สาระ ใช้กระบี่พิสูจน์กันเถอะ”
[1] สุนัขจิ้งจอกปลอมเป็นพยัคฆ์ หมายถึง อาศัยอำนาจความน่าเกรงขามของผู้อื่นเพื่อข่มขู่คนอื่น