ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 145.2
“พี่สาม ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” เสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างไม่วางใจ
เสิ่นอิงเงยหน้าขึ้นทันที ถลึงตาแดงก่ำกลับมา “ข้าโง่มากใช่ไหม เห็นข้าเป็นเช่นนี้เจ้าคงสะใจมากใช่หรือไม่”
ชิ เสิ่นเวยกลอกตามอง ช่างไม่รู้จักสำนึกในความหวังดีของคนอื่นจริงๆ “ท่านรู้ถึงความโง่ของตัวเองแล้วหรือ รู้ว่าตัวเองโง่ก็หัดฟังความเห็นของคนอื่นมากๆ ต่อไปจะทำอะไรก็เชื่อฟังอี๋เหนียงของท่านให้มาก ไม่อย่างนั้นท่านจะตายโดยไม่รู้ตัว ส่วนข้า ออกมาตามหาท่านตลอดทั้งบ่าย ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย มีอะไรให้สะใจกัน เหอะ หากไม่ใช่เพราะอี๋เหนียงของท่านขอร้องข้า ข้าก็คร้านจะสนใจเรื่องของท่านหรอก”
เสิ่นอิงน้ำตาไหลในทันที นางถลึงตาใส่น้องสาวราวกับมีความแค้นต่อกันมากมาย
เสิ่นเวยจึงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว นางทำคุณบูชาโทษจริงๆ แม่นางผู้นี้สติไม่ดีหรืออย่างไร “อย่าคิดแต่จะแสดงท่าทีโกรธเคืองข้า ทั้งวันคิดแต่จะเปรียบเทียบตัวเองกับข้า ท่านจะเอาอะไรมาเทียบกับข้า ท่านเหนือกว่าข้าได้หรือ แม้แต่ฮูหยินหลิวก็ถูกข้าส่งตัวเข้าไปในหอธรรมแล้ว ข้ายังต้องกลัวท่านหรือ ข้าคร้านจะสนใจท่านต่างหาก บอกว่าท่านโง่ ท่านยังไม่ยอมรับ เรียนรู้จากท่านอี๋เหนียงของท่านให้มาก ต่อไปประจบข้าให้มาก หากทำเช่นนั้น เวลาที่ท่านแต่งงานออกเรือนไปแล้วข้ากับเจวี๋ยเกอเอ๋อร์จะได้เป็นที่พึ่งพาแก่ท่าน ท่านพ่อของพวกเราก็พึ่งพาไม่ได้ เข้าใจไหม การแต่งงานครั้งนี้ท่านไม่ขาดทุนสักนิด เมื่อกลับไปถึงเรือนแล้วก็ตั้งใจปักชุดแต่งงานของท่านให้ดี ผิดเป็นครู อย่าได้ทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้อีก วัยสาวจะพบเจอกับผู้ชายเลวๆ บ้างจะเป็นไรไป เก็บไว้เป็นบทเรียนต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ได้ยินหรือยัง”
ยิ่งพูดเสิ่นเวยก็อดไม่ได้ที่จะชี้แนะอีกฝ่าย ดูเอาเถอะ เมื่อเผชิญหน้ากับแม่นางน้อย นางก็ต้องใจอ่อนอยู่ร่ำไป
น้ำตาของเสิ่นอิงยิ่งพรั่งพรูออกมามากกวาเดิม นางสะอื้นไห้ราวกับถูกรังแกอย่างสาหัส “ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าดูแคลนข้า”
“ท่านอยากให้ข้ายกย่องท่านไปเพื่ออะไร ทำให้ท่านตัวใหญ่ขึ้นได้หรือ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเถอะ หรือท่านมีชีวิตอยู่เพื่อให้คนอื่นยอมรับกัน” เสิ่นเวยหงุดหงิดมาก นางยึดถือในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นอิสระ ไม่สนใจว่าภายนอกจะกล่าวกันไปว่าอย่างไร แต่ไหนแต่ไรมาพวกนางทั้งสองก็มีความคิดแตกต่างกันอยู่แล้ว “ท่านวางใจเถอะ จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
เสิ่นอิงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก นางทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ลงไป กลับมีจุดจบเป็นความโดดเดี่ยว แต่นางไม่ยอมแพ้ เวลานี้น้องสาวรับปากแล้วว่าจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ เช่นนั้นนางก็วางใจแล้ว ถึงแม้หญิงสาวทั้งสองดูเหมือนต่างฝ่ายต่างชิงชังกัน แต่เสิ่นอิงรู้ว่าน้องสาวเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ไม่เหมือนฮูหยินหลิวที่พูดอย่างทำอย่าง
เรื่องที่เสิ่นอิงหนีตามผู้ชายมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง ฝ่ายเสิ่นเวยไม่มีปัญหาอะไร จืออี๋เหนียงก็มีวิธีการจัดการกับคนอื่น ด้วยความพยายามของทั้งสองคน เรื่องนี้จึงเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความรู้สึกซาบซึ้งที่จืออี๋เหนียงมีต่อเสิ่นเวยไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้ ค่ำวันนั้นนางได้ส่งขนมที่ทำด้วยตัวเองมาให้เสิ่นเวย หลังจากนั้นจืออี๋เหนียงก็มักจะส่งของอร่อยมาให้นางได้ลิ้มลองเสมอ วันที่สามเสิ่นอิงก็มอบผ้าเช็ดหน้าที่นางปักเองกับมือให้เสิ่นเวยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน ถึงแม้จะยังพูดจาไม่ค่อยน่าฟังเหมือนเดิม แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว
ในคืนนี้ เสิ่นเวยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แต่อยู่ๆ หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมา นางนิ่งเงียบตั้งใจฟังเสียงบางอย่าง ใช่จริงๆ บนหลังคามีคนอยู่จริงๆ นางนึกโมโหขึ้นมา ลอบเข้ามาสืบข่าวกลางดึกก็ไปที่เรือนของท่านลุงใหญ่สิ มาที่เรือนเฟิงหวาของนางด้วยเหตุใด
เสิ่นเวยลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง นางไม่ได้เปิดประตูออก หากแต่กระโดดออกไปทางหน้าต่างขึ้นไปบนหลังคา ทอดมองออกไปไกล รอบกายเงียบสงบไม่มีเสียงอะไร
เสิ่นเวยอดทนมาก นางทิ้งกายลงนั่งบนหลังคา ถึงอย่างไรก็ออกมาแล้ว ชื่นชมบรรยากาศยามค่ำสักหน่อยก็แล้วกัน ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ลอบเข้ามาในเรือนเฟิงหวา เช่นนั้นนางก็จะไม่สนใจเรื่องของพวกมัน ถึงอย่างไรเสียในจวนก็เลี้ยงกำลังทหารไว้กลุ่มหนึ่ง ไม่จำเป็นที่คุณหนูตัวเล็กๆ อย่างนางต้องออกไปจับโจรด้วยตัวเอง
ในตอนที่กำลังคิดเช่นนี้ก็เห็นร่างทะมึนของใครบางคนบุกเข้ามาจากทางตะวันตก เมื่อมองดีๆ ก็เห็นว่า เหมือนด้านหลังจะมีใครอีกคนตามมาด้วย
ทันใดนั้นเสิ่นเวยก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา ก็ดี ในเมื่อรนหาที่ตายแล้วนางก็จะสงเคราะห์ให้อย่างสาสม ตอนที่ร่างดำทะมึนเข้ามาใกล้ นางก็กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระบี่อ่อนถูกใช้โจมตีจุดตายของผู้บุกรุก “หัวขโมยจะหนีไปที่ใด!”
ร่างทะมึนกำลังสนใจกับการวิ่งหนี ไม่ทันสังเกตว่าระหว่างทางมีคนดักรออยู่ ผู้บุกรุกมองปลายกระบี่ที่จ่อมาที่หัวใจของตน คนผู้นี้หลักแหลมไม่น้อย เขาฝืนกลับตัวกลางอากาศ หลบไม่ให้ปลายกระบี่โดนจุดสำคัญ กระบี่อ่อนของเสิ่นเวยจึงฟันถูกแขนของเขาแทน
เสิ่นเวยเห็นว่ากระบวนท่านี้คว้าน้ำเหลวก็รีบตวัดกระบี่ขึ้นจู่โจมอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าคนผู้นั้นไม่ตั้งรับสักนิด แต่พยายามสับเท้าวิ่งหนีไปทางตะวันออกต่อไป และผู้บุกรุกอีกคนที่ตามมาด้านหลังก็กำลังจะมาถึงตัวเสิ่นเวยแล้ว หญิงสาวอับจนหนทางจำต้องหันไปรับศึกด้านหลังแทน
เพลงกระบี่ของเสิ่นเวยจู่โจมรวดเร็วมาก แต่คนด้านหลังกลับเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งกว่า กระบวนท่าทั้งสองของเสิ่นเวยคว้าน้ำเหลวทั้งหมด หญิงสาวจึงตั้งใจบุกโจมตีอีกฝ่าย
“ข้าเอง!” เมื่อถูกเสิ่นเวยโจมตีใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้บุกรุกที่ตามเข้ามาทีหลังจำต้องเอ่ยปากอย่างอับจนหนทาง
เอ๊ะ คนรู้จักหรือ เสิ่นเวยหยุดโจมตี นางก็นึกแปลกใจว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงหลบการโจมตีได้ ที่แท้ก็คนคุ้นเคยกันนี่เอง “ใคร?” เสิ่นเวยยังคงจับกระบี่ไว้ ท่าทีระแวดระวังไม่ได้ลดลงเลย
ร่างทะมึนเห็นท่าทีของเสิ่นเวยก็กระตุกยิ้มมุมปาก เด็กคนนี้ระวังตัวมากจริงๆ “สวี่โย่ว” เขาบอกนามของตนเองออกไป
“เป็นท่านเองหรือ” เสิ่นเวยขยับเข้าไปมองใกล้ๆ ก่อนจะเก็บกระบี่อ่อนในทันที ร่างของคุณชายใหญ่แห่งจวนจิ้นอ๋องดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่ที่ทำให้นางหลงใหลโดยไม่รู้ตัว มันช่างสุกสกาวยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก
เสิ่นเวยลูบจมูกของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ดึกดื่นเช่นนี้ท่านไม่หลับไม่นอน มาเดินเล่นในจวนของพวกเราหรือ” รบกวนนางพักผ่อน เหลือเกินจริงๆ
สวี่โย่วกระตุกยิ้มมุมปากอีกครั้ง “ตามคนมา” เขาบอกไปได้หรือว่านอนไม่หลับมาเดินเล่นที่นี่ ตอนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่นอกเรือนของนางอยู่ๆ ก็พบว่ามีคนลอบเข้ามาในจวนโหว เขาจึงติดตามคนผู้นั้นมา
เสิ่นเวยเข้าใจในทันที…อ้อ ที่แท้เขาก็ติดตามคนชุดดำก่อนหน้านี้มา โชคยังดีที่เพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น ไม่ได้มุ่งร้ายต่อจวนโหว ไม่อย่างนั้นหากมีคนลอบเข้ามาบ่อยครั้ง เช่นนั้นคงน่ารำคาญใจไม่น้อย…
ดูเอาเถอะ เป็นเรื่องเข้าใจผิดแท้ๆ หากพูดกันดีๆ ก็จะเข้าใจกันแล้ว ว่าแต่คนร้ายหนีไปที่ใดแล้ว
“เช่นนั้นท่านก็ไล่ตามต่อไปเถอะ ข้าจะกลับห้องไปนอนแล้ว” เสิ่นเวยเมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรก็เตรียมจะไล่ชายหนุ่มไป
มองตามร่างบางที่กระโดดลงไปอย่างคล่องแคล้ว สวี่โย่วก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา รู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้เป็นคนกล้าหาญ แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ เมื่อรู้ว่ามีคนลอบเข้าในจวนกลางดึกก็ควรจะขดตัวสั่นอยู่ในผ้าห่มไม่ใช่หรือ เด็กคนนี้ไม่เพียงวิ่งออกมาตรวจดูเท่านั้น ทั้งยังเข้าไปประมือกับคนร้ายอย่างตื่นเต้นอีก นางไม่รู้หรือว่าทำเช่นนี้อันตรายมาก ช่างเป็นเด็กน้อยที่ชวนให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง