ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 147.2
จนกระทั่งพวกนางออกมาจากภูเขาก็พบว่าหร่วนเหิงกับเสิ่นเจวี๋ยมารออยู่ก่อนแล้ว หร่วนเหมียนเหมียนวิ่งไปหาทันที “พี่ชาย ญาติผู้น้อง พวกท่านได้อะไรมา พวกข้าได้กระต่ายมาหนึ่งตัว จับปลาตัวเล็กมาได้ด้วย ยังมีองุ่นภูเขาด้วย” สีหน้าของนางแจ่มใสด้วยความตื่นเต้น
“นี่ อยู่นี่ พวกท่านดูเองเถอะ” เสิ่นเจวี๋ยสีหน้าสมใจ
“ตายจริง สัตว์ป่ามากขนาดนี้เชียวหรือ” หร่วนเหมียนเหมียนร้องออกมาอย่างตกใจ นางลองนับดู พบว่ามีกระต่ายห้าตัว ไก่ป่าเจ็ดตัว อืม แล้วก็เห็ดป่าหนึ่งตะกร้า
เสิ่นเวยก็รู้สึกแปลกใจ คิดแล้วก็เข้าใจ พวกโอวหยางไน่ จางจู้จื่อ หลู่โถวมีฝีมือในการล่าสัตว์ พวกเขาล่าสัตว์ได้มากขนาดนี้ก็ไม่มีอะไรแปลก
กลุ่มคนกลับมาอย่างพร้อมเพรียงด้วยสีหน้าแช่มชื่น ร่าเริงกว่าตอนขามาเสียอีก
ในคืนนั้น เสิ่นเวยได้ดื่มน้ำแกงปลารสเลิศ ทั้งยังได้กินเนื้อกระต่ายน้ำแดงกับไก่ตุ๋นเห็ด ถึงแม้จะเป็นอาหารพื้นบ้าน แต่ทั้งห้าคนก็กินอาหารอย่างเพลิดเพลิน แม้แต่หร่วนเจิ้นเทียนก็กินได้มากกว่าปกติ
หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จแล้ว เสิ่นเจวี๋ยก็ถูกไล่ให้ไปพักผ่อน เขามีเวลาพักแค่วันเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ต้องกลับไปเรียนที่สำนักศึกษาแต่เช้า เมื่อหร่วนเหิงกับน้องสาวถูกหร่วนเจิ้นเทียนไล่กลับไปแล้ว ทั้งห้องรับรองก็เหลือแค่เสิ่นเวยกับท่านตาเพียงสองคน
“ท่านตา ข้อเสนอของข้าเมื่อครั้งก่อน ท่านไตร่ตรองดูหรือยังเจ้าคะ” หลานสาวเอ่ยถามไปตามตรง
ชายชราคลี่ยิ้ม ส่ายหน้าตอบ “เวยเจี่ยเอ๋อร์ เรื่องในราชสำนักไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด ตาปิดประตูไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกมาสิบกว่าปี ฝ่าบาทมีพระทัยเมตตาจึงไม่ได้ริบจวนแม่ทัพใหญ่กลับไป แต่ในใจของทุกคนจ่างรู้ดีว่าข้าเป็นแม่ทัพใหญ่เพียงแค่ในนามเท่านั้น คิดจะเข้าไปในราชสำนักอีกครั้ง จะง่ายได้ได้อย่างไร ราชสำนักไม่ต้องการแม่ทัพที่ขาเสีย ทำสงครามไม่ได้”
เสิ่นเวยตาเป็นประกาย รู้ว่าว่าความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้ง่ายเกินไป แต่ยังไม่ยอมแพ้ “แล้วเรื่องเมื่อตอนนั้นจะไม่สืบแล้วหรือเจ้าคะ เหตุใดอยู่ๆ ก็เกิดข่าวลือขึ้นมา หมิ่นหนานอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ ท่านที่ประจำการอยู่ที่นั่นหายตัวไป ในเมืองหลวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมา ในเมืองหลวงจะต้องมีคนรวมหัวกับทางนั้นเพื่อให้ร้ายจวนแม้ทัพใหญ่” นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ
หร่วนเจิ้นเทียนคลี่ยิ้มอย่างปวดร้าว “จะสืบอย่างไร เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ร่องรอยถูกลบไปแล้วไปนานแล้ว ดังนั้นเบาะแสไม่หลงเหลืออยู่แล้ว จะสืบจากสิ่งใดเล่า อีกอย่างตาก็แก่แล้ว ไม่มีความมุ่งมั่นอยู่แล้ว ถึงแม้จะสืบจนรู้ความจริงแล้วอย่างไรเล่า คนที่ตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาหรือ” ชายชราถอนหายใจยืดยาว ใบหน้ามีแต่ความสิ้นหวัง
ได้ฟังคำพูดของท่านตา ในใจของเสิ่นเวยยังไม่ยอมแพ้ สิ่งที่โศกนาฏกรรมของจวนแม่ทัพใหญ่พรากไปในครั้งนั้นไม่ใช่แค่ชีวิตคนเท่านั้น ยังมีความห้าวหาญและความมุ่งมั่นของท่านตาด้วย นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านตาในตอนนี้ แต่ไม่อยากรามือเพียงเท่านั้น พวกศัตรูกับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นไม่ได้ละเว้นท่านเพียงเพราะท่านยอมถอยให้
“แล้วท่านตาเคยนึกถึงอนาคตของญาติผู้พี่กับญาติผู้น้องบ้างหรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวกล่าวถามต่อไปอีก “ญาติผู้พี่อายุสิบหกปีแล้ว ถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว สถานการณ์ในจวนแม่ทัพใหญ่เป็นเช่นนี้ ตระกูลใดจะยอมยกบุตรสาวให้แต่งกับเขา ท่านคงไม่คิดจะให้เขาแต่งกับครอบครัวที่ฐานะยากจนหรอกใช่ไหมเจ้าคะ อีกอย่างเขาก็ร่ำเรียนหนังสือฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เล็ก ท่านจะทนได้หรือเจ้าคะ ยังมีเหมียนเหมียนก็ถึงวัยที่จะมองหาคู่ครองแล้ว ท่านคิดจะให้นางแต่งเข้าตระกูลใด ในเมื่อครอบครัวของมารดาไม่มีอำนาจ ครอบครัวของสามีจะทำดีกับนางหรือเจ้าคะ”
หร่วนเจิ้นเทียนรู้สึกแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าหลานสาวที่อายุน้อยกว่าเหิงเกอเอ๋อร์หนึ่งปีกลับสามารถพูดจาเช่นนี้ออกมาได้ ใช่แล้ว สิ่งที่เวยเจี่ยเอ๋อร์พูดล้วนเป็นความจริง เขาอายุมากแล้ว จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกกี่ปี แค่เขาสิ้นลมก็จะหลุดพ้นแล้ว แต่เหิงเกอเอ๋อร์กับเหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์จะทำอย่างไร ยิ่งเด็กทั้งสองมีอายุมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น
“พูดถึงคนอื่นได้คล่องแคล้ว แล้วเจ้าล่ะ” ชายชรามองหญิงสาวพร้อมเอ่ยถามออกไป
“ข้ามีอะไรหรือเจ้าคะ” เสิ่นเวยนิ่งชะงักไป
“การแต่งงานของเจ้าล่ะ” หร่วนเจิ้นเทียนกล่าว “การหมั้นหมายกับจวนหย่งหนิงโหวก็ยกเลิกไปแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับอนาคตของตัวเอง” เขารู้ว่าหลานสาวคนนี้มีแผนการอยู่ภายในใจแล้ว จึงเอ่ยถามเรื่องการแต่งงานของนางไปตามตรง
“แน่นอนว่าผู้อาวุโสในจวนเป็นคนดูแลเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบพลางยักไหล่
เห็นท่านตาคลี่ยิ้มไม่พูดจา นางก็ลูบจมูกพลางเอ่ยว่า “พูดตามจริง ข้าไม่อยากแต่งงานสักนิด” ราวกับกลัวว่าชายชราจะคัดค้าน จึงอธิบายต่อไปว่า “โบราณว่า เมื่อออกเรือนไปแล้ว ชีวิตก็จะมีแค่การแต่งตัวและกินข้าวเท่านั้น เห็นได้ว่าผู้หญิงแต่งงานออกไปก็เพื่อหาคนเลี้ยงดูตัวเอง แต่ตัวข้าก็มีเงิน นอกจากสินเดิมที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ ตัวข้าก็ยังมีกิจการอยู่ไม่น้อย มากพอให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหตุใดต้องแต่งเข้าเรือนของคนอื่น ได้แต่ทนรับอารมณ์ของเขาไปวันๆ”
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงกล่าวต่อไปว่า “อีกอย่าง การแต่งงานในยุคสมัยนี้มีความเสี่ยงอยู่มาก หากโชคดีสักหน่อยก็รักใคร่ให้เกียรติกัน หากโชคร้ายสักหน่อย แม้จะแก่ตายในเรือนก็กลายเป็นความขัดแย้งได้ หรือถ้าได้แต่งกับชายที่ร้ายกาจมาก เขาก็จะใช้สินเดิมหรือเงินทองของภรรยาไปเลี้ยงดูอนุภรรยากับบุตรนอกสมรส ทั้งยังจะให้นางเป็นบ่าวไพร่คอยปรนนิบัติและใจกว้างต่ออนุภรรยาเหล่านั้น ท่านว่าน่าขยะแขยงหรือไม่ อีกอย่างหลานเป็นคนใจร้อน และไม่มีความอดทน ถ้าหากต้องพบกับเรื่องนั้น ไม่แน่ว่าข้าอาจจะทำลายพวกเขาทั้งตระกูลก็เป็นได้ ท่านว่าทำเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร ไม่สู้ไม่แต่ง อยู่ตัวคนเดียวเป็นอิสระดีกว่า”
หร่วนเจิ้นเทียนหลุดยิ้มออกมา “เจ้าช่างเหลือเกินจริงๆ เหตุใดจึงมีความคิดเหลวไหลเช่นนี้ เจ้าไม่แต่งงาน เมื่อแก่ชราลงจะทำอย่างไร ร้อยปีผ่านไปไม่มีใครคอยเซ่นไหว้”
เสิ่นเวยไม่แยแส “แก่แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ามีเงินเสียอย่าง จะขาดคนปรนนิบัติได้หรือเจ้าคะ แม้ข้าจะแต่งงานมีลูกชาย ใครสามารถรับรองได้ว่าลูกชายของข้าจะมีความสามารถและกตัญญู ลูกอกตัญญูที่ขับไล่พ่อแม่ออกจากตระกูลก็มีอยู่มากไม่ใช่หรือเจ้าคะ ตัวข้าไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการเซ่นไหว้เท่าใดนัก หากพูดให้ฟังยากสักหน่อยคือ หลังจากข้าตายไปแล้ว แม้น้ำจะท่วมถึงฟ้า ข้าตายไปแล้วก็ไม่รับรู้อะไรอีก ยังจะต้องใส่ใจเรื่องคนเซ่นไหว้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“เจ้านี่นะ อายุยังน้อยก็มองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้แล้ว เส้นทางของเจ้าหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล” หร่วนเจิ้นเทียนเกลี้ยกล่อม “ถึงแม้ปล่อยวางในชีวิตได้จะเป็นเรื่องดี แต่ปล่อยวางเกินไป ปลงตกเกินไปเหมือนเจ้าจะไม่ดี ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่งดงามมากมายรอให้เจ้าไปสัมผัส”
“แต่สิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง ใครใช้ให้โลกนี้โหดร้ายกับผู้หญิงขนาดนี้เล่า” เสิ่นเวยโต้แย้ง
“ผู้อาวุโสในจวนจะยอมให้เจ้าไม่แต่งงานหรือ บิดาของเจ้าไม่ใช่คนหลักแหลม” ชายชราย้อนถามกลับมา
เสิ่นเวยย่นจมูก “เวลานี้เขาบงการข้าไม่ได้แล้ว ท่านปู่โหวของเราลั่นวาจาไว้แล้วว่า เรื่องของข้ากับเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ ท่านจะเป็นผู้ตัดสินใจ คนอื่นห้ามสอดมือเข้ามายุ่ง”
“ท่านปู่ของเจ้าให้ความสำคัญกับเจ้ามากขนาดนี้หรือ เกรงว่าเขาจะยิ่งไม่ยอมให้เจ้าครองตนเป็นโสด” หร่วนเจิ้นเทียนเอ่ยเตือน
“ไม่ปิดบังท่านตา ท่านปู่ของข้าเป็นคนหลักแหลม พึ่งพาได้มากกว่าท่านพ่อของข้าเสียอีก เขาฉลาดปราดเปรื่องมาก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ทำการค้าที่ขาดทุน ขอเพียงท่านมีประโยชน์ เขาก็จะให้อิสระกับท่าน ข้าคิดว่าข้าต้องมีประโยชน์กว่านี้ มีประโยชน์มากกว่าผู้ชายในจวนทั้งหมด เขาก็จะไม่บีบบังคับข้าให้แต่งงาน ใครใช้ให้หลานชายของเขาไม่เอาไหนเล่า” เสิ่นเวยพูดด้วยท่าทีจริงจัง
เรื่องนี้ เสิ่นเวยยอมแลกเปลี่ยนกับท่านปู่ของนาง หญิงสาวรู้ว่าทำเช่นนี้อาจจะต้องเผชิญกับสายตาแปลกประหลาดและคำติฉินนินทาของผู้คน แต่ว่านางยอมทนกับเรื่องนี้ แต่จะไม่ยอมถูกกักขังไว้ในเรือนหลังชั่วชีวิต ไม่อยากคอยเสแสร้งแกล้งทำ ชิงดีชิงเด่นกับพวกอี๋เหนียง
“หากจำต้องแต่งงานจริงๆ เช่นนั้นก็เลือกแต่งกับคนหัวอ่อน บงการได้ง่าย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมเชื่อฟังข้าเช่นนี้ก็สมบูรณ์พูนสุขแล้วไม่ใช่หรือ” เสิ่นเวยกล่าวขึ้นอีกครั้ง
แต่หร่วนเจิ้นเทียนกลับเห็นด้วยมาก “นี่ถือว่าเป็นวิธีการที่ดี เวยเจี่ยเอ๋อร์เจ้าเป็นคนมองการไกล แต่ถึงอย่างไรเสียเจ้าก็อายุยังน้อย ตาแก่ชราแล้ว แต่ก็ผ่านการใช้ชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว ก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจก็มาหารือกับตาก่อน ตาไม่มีทางทำร้ายเจ้าแน่” เขาบอกอย่างหนักแน่นและจริงใจ
เสิ่นเวยพยักหน้า ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา “หลานจะจำไว้เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าไม่รบกวนท่านพักผ่อนแล้ว ท่านก็รีบเข้านอนเถอะเจ้าค่ะ” นางลุกขึ้นพร้อมกล่าวลา ตอนที่เดินไปถึงประตูก็หันหลับมาบอกทิ้งท้าย “ท่านตาเจ้าคะ สิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่ท่านลองไตร่ตรองดูเถอะเจ้าค่ะ ญาติผู้พี่จะก้าวเดินอย่างไรต่อไป เช่นนี้ข้าจะได้ช่วยเหลือได้ถูก”
หร่วนเจิ้นเทียนคลี่ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะนึกอย่างสะท้อนใจ…ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ…