ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 158.1
ท่านไม่กลัวใบหน้าดวงน้อยที่งดงามของข้าเสียโฉมหรือ
ฟังต้าฉุยได้ยินคำว่าเสบียงสองคำนี้ก็อดใจไม่ไหว ถามแทรก “เรียนถามคุณชายสี่นำเสบียงมาเท่าไรหรือขอรับ” ตอนนี้สิ่งที่เมืองชายแดนขาดแคลนมากที่สุดก็คือเสบียง ไม่อาจให้ทหารท้องว่างไปรบได้
“สามหมื่นต้าน แบ่งเป็นสองกลุ่ม” เสิ่นเวยกล่าว นางเห็นฟังต้าฉุยถูมืออย่างดีใจ ก็กล่าวเตือนอย่างอดไม่ได้ “แม่ทัพฟังอย่าเพิ่งรีบดีใจไป เสบียงยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ห้าวันกว่าจะถึง” ไม่ใช่มีสำนวนที่ว่า ‘ความช่วยเหลือช้าเกินกว่าจะเร่งรัด’ หรือ ลึกๆ แล้วเสิ่นเวยก็คิดเช่นนั้น
ฟังต้าฉุยยังคงดีใจอย่างยิ่ง “ขอเพียงแค่มีก็ดีแล้ว” มีความหวังขวัญกำลังทหารจึงจะไม่สูญหาย
หมอทหารหยิบยาลูกกลอนถอนพิษมาดมใต้จมูก ใช้เล็บขูดผงจำนวนหนึ่งออกมาแตะชิมในปาก จากนั้นจึงพยักหน้าเทน้ำดื่มให้ท่านเสิ่นโหวกินยา
“คุณชายสี่ ท่านมียาลูกกลอนถอนพิษได้อย่างไร” หมอทหารเอ่ยปากอย่างเกรงใจเล็กน้อย
“ทำไมหรือ ยาลูกกลอนนี้ใช้ได้ผลหรือไม่” เสิ่นเวยไม่แน่ใจเจตนาของหมอทหารในชั่วขณะ
“ใช้ได้ๆ แม้จะบอกว่าไม่ใช่ยาต้นตำรับ แต่ก็สามารถรักษาได้สารพัดอย่าง” เอ่ยถึงสรรพคุณยาดวงตาทั้งคู่ของหมอทหารก็ลุกวาว “ผู้ชราคิดว่าหากคุณชายสี่ยังมียาลูกกลอนถอนพิษชนิดนี้ติดตัวอยู่ ก็ขอผู้ชราสักเม็ด ผู้ชราไม่มีความสนใจอื่นๆ นอกจากจะหลงใหลอยู่กับเรื่องยาและการรักษา” สีหน้าเขามีความเกรงใจหลายส่วน
เสิ่นเวยยังคิดว่าเขาเป็นอะไร ที่แท้แล้วก็อยากศึกษา เสิ่นเวยใจกว้างอย่างยิ่ง ยื่นขวดเล็กให้เขาทั้งขวด “ข้าว่า หมอทหารไม่ต้องเปลืองแรงเช่นนั้นก็ได้ ยาลูกกลอนถอนพิษนี้เป็นหมอหลิ่วของข้าปรุงขึ้นเอง เขากำลังตามมา อีกไม่กี่วันก็จะถึงเมืองชายแดนแล้ว ถึงตอนนั้นหมอทหารก็เรียนรู้จากเขาโดยตรงก็ได้”
“จริงหรือ! เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก” หมอทหารเดินวนรอบห้องด้วยความตื่นเต้น
“คุณชายสี่ ท่านมาแล้ว” อาจารย์ผังยังไม่ทันเห็นตัวก็ได้ยินเสียงเขาแล้ว
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา คนที่ไม่รู้ยังคิดว่าอาจารย์ผังคิดถึงนางมากล่ะสิ อันที่จริงคิดถึงเสบียงของนางบวกกับเรียกนางมาเป็นแรงงานต่างหาก
“เอ๋ นี่อาจารย์ผังไม่ใช่หรือ ไม่เจอกันนานท่านซีดเซียวจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ดูท่านผอมสิ เสื้อผ้าหลวมหมดแล้ว” อาจารย์ผังที่เป็นถึงกุนซือผู้ช่วยในกองบัญชาการอันดับหนึ่งข้างกายท่านปู่ย่อมห่างไปไหนไม่ได้ ไม่แน่ว่าคนที่ออกความคิดโง่เขลาให้นางมาเป็นแรงงานที่เมืองชายแดนก็คือเขาที่เสนอความคิดเห็นกับท่านปู่
อาจารย์ผังทำเหมือนไม่ได้ยินคำเสียดสีของเสิ่นเวย ระบายความทุกข์ตรมในใจ “ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่ที่พวกอันธพาลซีเหลียงโจมตีเมือง ผู้ชราก็ไม่ได้นอนหลับดีสักคืน ซ้ำท่านโหวยังได้รับบาดเจ็บอีก การปกครองเมืองทั้งเมืองก็ตกอยู่ที่ผู้ชรา ผู้ชราลำบากยิ่งนัก!” สีหน้าท่าทางนั้นคับแค้นใจอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยพูดจาอ้อมไปอ้อมมากับเขา “ใครให้อาจารย์ผังเก่งเล่า คนเก่งก็ย่อมเหนื่อยมาก”
อาจารย์ผังสำลัก เดิมเขาตัดสินใจจะให้เจ้าหนูน้อยคนนี้ช่วยแบ่งเบาภาระสักหน่อย แต่เจ้าหนูน้อยคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว ไม่รับคำคล้อยตามเลย เขานึกถึงกองหนังสือราชการในแต่ละวัน ไม่ได้ ต่อให้เสียหน้าก็ต้องเอาเจ้าหนูน้อยคนนี้มาช่วยให้ได้
อาจารย์ผังยังคงพูดต่อ ท่านเสิ่นโหวทนดูไม่ได้แล้วจึงตัดบทเขา “พอแล้วเหล่าผัง เจ้าสี่ไม่หนีไปไหนหรอก เจ้าร้อนใจไปไย รีบพาเขาไปล้างเนื้อล้างตัว กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั้งตัว ช่างเหม็นนัก”
เสิ่นเวยถลึงตามองท่านปู่นางอย่างโหดเ**้ยมปราดหนึ่ง ได้ผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่งยังไม่เร็วเท่านี้เลย ตอนที่ต้องการเสบียงจากนางเหตุใดถึงไม่รังเกียจที่นางเหม็นเลยเล่า คิดไว้แล้วว่าพอได้เสบียงแล้วก็จะผลักไสนางทันที เหอะ เกินไปแล้ว
แต่ว่าเสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยสบายจริงๆ นางไม่หารือกับท่านปู่แล้ว ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนดีกว่า สำหรับคนเหล่านั้นที่นางพามา มีโอวหยางไน่อยู่ ย่อมไม่จำเป็นต้องให้นางเป็นห่วง
อาบน้ำอุ่นแล้ว ชั่วขณะก็สบายอารมณ์ขึ้นแล้ว เห็นเสิ่นอันฉงทหารอาวุโสคนสนิทของท่านปู่เร่งรีบเข้ามา “คุณชายสี่ จะทานอาหารเย็นหรือไม่ขอรับ”
กิจกรรมในวันนี้มากเพียงนั้น เสิ่นเวยหิวจริงๆ นางคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ท่านอาอันฉง เอาไปวางไว้ในห้องท่านปู่เลย ข้าจะไปคุยเป็นเพื่อนท่านปู่”
ข้าวเย็นไม่มีอะไรสมบูรณ์ทั้งสิ้น กระทั่งยังเรียกได้ว่าเรียบง่าย ผัดผักกาดขาวหนึ่งจาน หัวไชเท้าแห้งหนึ่งจาน ยังมีกับข้าวที่มีเนื้อสัตว์อีกหนึ่งจาน น่าเสียดายที่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเศษเนื้อที่ทั้งแห้งทั้งรสฝาด แกงผักป่าหนึ่งถ้วย บวกกับข้าวสวยหนึ่งถ้วย แน่นอนว่าไม่ใช่ข้าวคุณภาพดี
เสิ่นเวยกินไปพลางเสียดสีไปพลาง “จุ๊ๆ ท่านปู่ อย่างไรเสียท่านก็เป็นท่านโหว ขุนนางที่สูงที่สุดในเมืองชายแดนซีเจียง ท่านให้หลานสาวท่านกินอาหารเช่นนี้หรือ” เอ่ยพร้อมใบหน้าดูถูก
ท่านเสิ่นโหวโมโหจนถลึงตาโต “รังเกียจมากเจ้าก็อย่ากิน เจ้าคิดว่าเมืองชายแดนเหมือนเมืองหลวงหรือไร ปู่เจ้ายังกินข้าวสวยทุกวันไม่ได้เลย เจ้ายังจะรังเกียจ!” อาหารมื้อนี้ใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดในจวนโหวเมืองชายแดนแล้ว เด็กคนนี้ยังมีหน้ามารังเกียจอีก ยั่วโมโหข้าดีจริงๆ
เสิ่นเวยกลอกตา เอ่ยต่ออย่างเฉยเมย “ไม่ว่าอย่างไรท่านปู่ก็เป็นท่านโหว ต่อสู้มาทั้งชีวิต การมองการณ์ไกลของท่านเล่า การวางแผนของท่านเล่า ไม่ใช่ข้าจะว่าท่าน แต่กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังรู้จักเตรียมรังซ่อนตัวไว้หลายรัง ท่านกุมกองทัพใหญ่แปดหมื่นนายของเมืองชายแดนซีเจียง เสบียงถูกทหารเดนตายซีเหลียงเผาแล้วยังบอกว่าไม่ทันตั้งตัว เหตุใดท่านถึงไม่สร้างยุ้งฉางข้าวลับไว้หลายๆ แห่งเล่า ประชาชนถือเรื่องอาหารเป็นสิ่งสำคัญ กองทัพก็ยิ่งถือเรื่องอาหารเป็นสิ่งสำคัญ ดูสิว่าตอนนี้ยับเยินเพียงใด ท่านโหวผู้ยิ่งใหญ่กินไม่ได้แม้แต่ข้าวเปล่า จุ๊ๆ ลือออกไปคงขายหน้าตาย! หากไม่ใช่ว่าท่านมีหลานสาวที่เก่งเช่นข้า หวังจะพึ่งแต่เสบียงแค่นั้นของราชสำนัก หึ ท่านน่ะ คงต้องรอจนตายในหน้าที่”
ย่ำยีท่านปู่เสร็จแล้ว เสิ่นเวยก็ไม่ลืมที่จะชมตัวเอง “ท่านปู่ หลานพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อมาส่งเสบียงให้ท่าน สามหมื่นต้าน ท่านลองคำนวณสิว่าเป็นเงินมากเพียงใด ข้าทำเพราะจงรักภักดีต่อท่าน จวนโหวเมืองชายแดนของท่านยังมีเงินทองของล้ำค่าอะไรก็อยากลืมแบ่งให้ข้าบ้าง มิเช่นนั้นข้าไม่มีสินเดิมแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องก็คงจะดูไม่ดี ท่านเองก็จะเสียหน้าไม่ใช่หรือ…
…ท่านปู่ ครั้งนี้ข้าออกแรงเยอะยิ่งนัก ท่านต้องรักษาคำพูด อนาคตของน้องเจวี๋ยท่านต้องเอาใจใส่ พ่อข้าท่านก็รู้ พวกเราคาดหวังไม่ได้ ไม่ใช่ว่าหลานโอ้อวด แต่น้องเจวี๋ยไม่เลวเลยจริงๆ ท่านรอดูเถอะ ในรุ่นนี้เขาจะต้องมีอนาคตที่สุด”
“เจ้ามั่นใจเพียงนี้เลยหรือ” ท่านเสิ่นโหวกล่าว
“แน่นอนอยู่แล้ว” เสิ่นเวยคุยโวอย่างไม่เขินอาย “ไม่เห็นหรือว่าใครสอนมา เด็กคนนั้นเป็นลูกหมาป่า อย่าเห็นว่าเมื่อก่อนเขาเป็นอันธพาล ตอนนี้ผ่านการขัดเกลาด้วยฝีมือของหลานแล้ว รู้จักวางแผนในใจ ข้าคิดแล้วว่า พ่อข้าใช้ไม่ได้ หูเบาซ้ำยังห่วงศักดิ์ศรี แม่ข้าก็ไม่ได้ แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงนั้นยังพาตัวเองไปตายได้ ความฉลาดและความเก่งของข้ากับน้องเจวี๋ยจะต้องได้รับการถ่ายทอดข้ามรุ่นแน่นอน สืบทอดสายเลือดอันดีจากท่านและท่านตา” ขณะที่เสิ่นเวยชื่นชมตัวเองก็ยังไม่ลืมที่จะประจบท่านปู่ของนางด้วย
ท่านเสิ่นโหวหัวเราะเยาะ “เด็กน้อย พูดมาเถอะ เจ้าต้องการอะไร”
สายตาเสิ่นเวยสั่นไหว กล่าวเสียงประหลาด “ท่านปู่ดูถูกหลานแล้ว ข้าจะต้องการอะไรได้ ท่านวางใจเถอะ ท่านซื่อจื่อจวนจงอู่โหวคือท่านลุงใหญ่ ในภายหน้าก็เป็นพี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ปรารถนาแม้แต่นิดเดียว บุรุษที่ดีไม่เกาะพ่อแม่กิน มีความสามารถก็ไปแย่งชิงกับผู้อื่นข้างนอก ยื้อแย่งกันในครอบครัวตัวเอง ต่อให้ชนะแล้วจะมีประโยชน์อะไร หากน้องเจวี๋ยโตกว่านี้สักสองปี ข้าจะพาเขามาให้เห็นเลือดที่เมืองชายแดน ลูกผู้ชายต้องล้มต้องสู้จึงจะเติบโต แม้แต่เลือดยังไม่เคยเห็นแล้วจะเป็นบุรุษห้าวหาญได้อย่างไร คนที่โตมาในกองเงินกองทองล้วนแต่เป็นคนไร้ประโยชน์ น่าเสียดายที่น้องเจวี๋ยเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดปี เด็กเกินไป” สีหน้าเสิ่นเวยเสียดาย
ท่านเสิ่นโหวแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า ใช่แล้ว เลี้ยงลูกเหมือนแกะไม่สู้เลี้ยงลูกเหมือนหมาป่า หาได้ยากที่เด็กอายุน้อยเช่นเจ้าสี่จะเข้าใจเหตุผลนี้ได้ ตอนนี้เขาตั้งตารอคอยเจวี๋ยเอ๋อร์เติบโตอย่างยิ่ง
คิดครู่หนึ่งเสิ่นเวยก็กล่าวต่อ “ท่านปูใจร้ายจริงๆ เด็กสาวเช่นข้า ท่านยืนกรานจะให้ข้าลงสนามรบ จับอาวุธฆ่าคน ท่านไม่กลัวใบหน้าดวงน้อยที่งดงามของข้าเสียโฉมหรือ ถึงตอนนี้คุณชายใหญ่สวีคืนข้าให้ท่านจะทำอย่างไร แต่ใครให้ท่านปู่โชคดีเล่า หลานทั้งเก่งทั้งกตัญญู ตอนนี้ท่านเองก็อายุมาแล้ว อยากได้ทรัพย์สินเงินทองไปก็ไม่มีประโยชน์ เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นของท่านก็อย่าลืมแบ่งให้หลานเยอะๆ หน่อย” เสิ่นเวยทวงรางวัลอย่างไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่นิดเดียว
ท่านเสิ่นโหวได้ยินประโยคครึ่งแรกยังรู้สึกผิดเล็กน้อยจริงๆ ลูกชายหลานชายเต็มจวนแต่กลับต้องให้หลานสาวคนนี้ลงสนามรบ เมื่อได้ยินประโยคครึ่งหลัง ความรู้สึกผิดของเขาก็หายเกลี้ยงทันที บุตรสาวตระกูลอื่นต่างก็เห็นเงินทองเป็นสิ่งไร้ค่า แต่หลานสาวคนนี้ของเขา งกเงินเป็นอย่างยิ่ง วันทั้งวันเอาแต่พล่ามเรื่องเงินกับเขา
“ไหนบอกว่าจะไม่แต่งงานมิใช่หรือ คุณชายใหญ่สวีดีเช่นนั้นเลยหรือ” ท่านเสิ่นโหวกล่าวอย่างสนใจ
“สมรสพระราชทานปฏิเสธได้ด้วยหรือ คุณชายใหญ่สวีดีไม่ดียังไม่รู้ แต่เขาหน้าตาดี อย่างน้อยอยู่กับเขาแล้วข้าก็ยังมีความปรารถนาที่จะอยู่ต่อไปได้” เสิ่นเวยแกว่งขาเล็กๆ กล่าวอย่างไม่สนใจ หลังจากนั้นก็เสริมหนึ่งประโยคเงียบๆ ในใจ หากอยู่ไม่ได้จริงๆ ฆ่าเขาให้ตายก็ได้แล้วมิใช่หรือ
สวีโย่วที่กำลังเดินทางมาซีเจียงจามอย่างแรงหลายครั้ง เขาลูบจมูกแล้วคิด ใครคิดถึงข้า คงไม่ใช่คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นเด็กใจดำคนนั้นหรอกนะ