ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 159.2
เมื่อหวังต้าชวนและคนอื่นๆ เห็นเสบียงและเงินทองของล้ำค่าที่อยู่เต็มคลัง ดวงตาก็ตะลึงงัน มารดาเขาสิ พวกข้าสู้รบจะเป็นจะตาย แม้แต่ข้าวยังไม่มีให้กิน แต่โจรเช่นพวกเจ้ากลับนั่งเสวยสุขร่ำรวยเงินทอง ทั้งยังซ่อนทหารเดนตายซีเหลียงไว้อีกด้วย สมควรตายจริงๆ หวังต้าชวนเห็นหน้าโจรอีกครั้งดวงตาก็แดงก่ำ
ลานหน้าประตูห้องอภิปรายงานจุดคบเพลิงนับไม่ถ้วน สว่างราวกับกลางวัน โจรที่ถูกจับกุมทั้งหมดบนเขาเอ้อร์หลงต่างก็ถูกมัดนั่งคุกเข่าอยู่ในลาน หัวหน้าใหญ่ผู้นั้นยังไม่ตายใจตะโกนขึ้นมา “ท่านเป็นสหายเส้นทางไหนหรือ ขอเพียงแค่ไว้ชีวิตผู้แซ่เจิ้ง เขาเอ้อร์หลงแห่งนี้ผู้แซ่เจิ้งยินดีวางมือให้”
เสิ่นเวยยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงกลางลาน ภายใต้แสงสะท้อนของแสงเพลิงเรือนร่างนางก็ยิ่งดูผอมบาง มีเพียงดวงตาทั้งคู่ที่เปล่งประกายจนน่าตกใจ
“หัวหน้าใหญ่เจิ้งกลับเป็นบุคคลสำคัญ หากจะให้ไว้ชีวิตเจ้าก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับไม่ได้แล้ว บอกให้เจ้ารู้ไว้หน่อย ข้าแซ่เสิ่น ท่านเสิ่นโหวที่ปกครองเมืองชายแดนซีเจียงเป็นปู่ของข้า หัวหน้าใหญ่คงรู้ว่าท่านปู่ข้าได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรใช่หรือไม่ ใช่แล้ว เป็นเพราะชาวซีเหลียง ส่วนข้า ทั้งชีวิตเกลียดคนทรยศที่สุด โดยเฉพาะคนทรยศที่สบคบคิดกับศัตรูขายชาติ ส่วนหัวหน้าใหญ่เจ้ากลับซ่อนทหารเดนตายซีเจียงไว้ เจ้าว่าข้าจะไว้ชีวิตเจ้าได้หรือ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ ในคำพูดเต็มไปด้วยความเสียดายราวกับว่าการฆ่าเขาเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ในลานมีเสียงร้องขอชีวิตดังอื้ออึงเซ็งแซ่ “คุณชายเสิ่น เรื่องนี้หัวหน้าใหญ่สั่งมา พวกข้าทำได้เพียงเชื่อฟังแล้วทำตาม พวกเข้าไม่เกี่ยวจริงๆ คุณชายเสิ่นโปรดไว้ชีวิตด้วย!”
“ใช่แล้วๆ พวกข้าเป็นเพียงโจรต่ำต้อย ไม่รู้ว่าบนเขาซ่อนทหารเดนตายซีเจียงไว้ คุณชายเสิ่นต้องตรวจสอบดูให้ดี ไว้ชีวิตพวกข้าด้วยเถิด”
เสิ่นเวยเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มบางๆ คล้ายกำลังดูละครตลก
“หุบปากให้หมด!” เจิ้งป้าเทียนรู้ว่าวันนี้ตนไม่มีทางรอดชีวิตได้แน่จึงลองเสี่ยงดู เขาแยกเขี้ยวยิงฟัน หน้าตาดุร้าย จ้องมองเสิ่นเวยอย่างโหดเ**้ยมแล้วตะคอกกล่าว “ผู้แซ่เสิ่น จะฆ่าจะแทงก็แล้วแต่เจ้า หากข้ากลัวปัญหาก็คงไม่แซ่เจิ้ง ฮ่าๆๆ ตั้งแต่วันนั้นที่ข้ามาเป็นโจรก็ไม่เคยกลัวตาย มาเถอะ ไม่ต้องลังเล ตัดศีรษะก็แค่ตาย สิบแปดปีให้หลังข้าก็กลับชาติมาเกิดใหม่” เขายื่นคอ ท่าทางกล้าหาญอย่างถึงที่สุด
เหล่าเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นได้ยินเขาโอ้อวดตนก็โมโหจนไฟโทสะเดือดพล่านแล้ว หากไม่ติดว่าเสิ่นเวยไม่เอ่ยปาก ก็คงจะก้าวเข้าไปแทงเขานานแล้ว
เสิ่นเวยไม่โมโหแม้แต่นิดเดียว กลับยกมุมปากยิ้ม สายตาที่มองเจิ้งป้าเทียนอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด “ไม่กลัวตายหรือ ไม่กลัวตายก็ดี! แต่ว่าเจ้าเองก็อย่าเพิ่งร้อนใจ คนที่ต้องตายยังไม่ถึงตาเจ้า อดทนรอไปก่อน” อยากตายหรือ ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก ตายแล้วกลับได้พ้นทุกข์ ฝันไปเถอะ
เสิ่นเวยเชิดคาง พลลับหนึ่งและคนอื่นๆ ก็ลากทหารเดนตายซีเหลียงสี่คนเข้ามา โยนไว้กลางลาน ไม่ได้คลายมัด กระทั่งไม่เอาผ้าอุดปากออก เพราะว่าเสิ่นเวยไม่คิดจะไต่สวนพวกเขาอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเป็นทหารเดนตาย เรื่องที่รู้มีจำกัด เสิ่นเวยไม่มีความอดทนที่จะเสียเวลากับพวกเขา นางเพียงแค่อยากฆ่าพวกเขา ฆ่าพวกเขาต่อหน้าโจรเขาเอ้อร์หลง
“ข้าบังเอิญอ่านหนังสือยามว่าง เห็นบทลงโทษประเภทหนึ่ง น่าสนใจมาก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ทดลอง วันนี้ประจวบเหมาะ ถือโอกาสลองดาบกับพวกเจ้าชาวซีเหลียงเหล่านี้แล้วกัน” เสียงที่ใสก้องของเสิ่นเวยดังขึ้นอย่างตอ่เนื่อง
“บทลงโทษประเภทนี้เรียกว่าหมื่นพันมีดเฉือน เหตุใดถึงเรียกว่าหมื่นพันมีดเฉือนน่ะหรือ ความหมายตามชื่อ ก็คือการเฉือนร่างเจ้าหนึ่งพันครั้ง เฉือนเนื้อบนร่างเจ้าทีละครั้งๆ หนึ่งพันครั้ง หนึ่งครั้งไม่มาก แล้วก็ไม่น้อยเช่นกัน รสชาตินั้นจะต้องหอมหวานอย่างยิ่งแน่นอน อ้อจริงสิ ในระหว่างที่เฉือนเจ้าก็ตายไม่ได้ เจ้าจะได้เห็นเนื้อเหล่านั้นถูกเฉือนออกมาจากร่างเจ้าทีละชิ้นๆ อย่างชัดเจน” เสียงของเสิ่นเวยยังมีเสียงหัวเราะปนอยู่ด้วย ราวกับว่าพูดเรื่องที่ดีงามอย่างยิ่งอยู่
“อืม บนพื้นฐานนี้ ข้ายังแก้ไขมันอีกเล็กน้อย ข้าคิดว่าเฉือนไปพลางสาดน้ำเกลือไปพลางผลลัพธ์น่าจะยิ่งดี หัวหน้าใหญ่เจิ้ง เจ้าคิดว่าอย่างไร” เสิ่นเวยมองเจิ้งป้าเทียน ถามอย่างเป็นมิตร
ม่านตาเจิ้งป้าเทียนหดเล็ก รู้สึกเพียงทั่วร่างหนาวสั่น เขายังเป็นคนอยู่อีกหรือ คุณชายที่ดูเหมือนบอบบางผู้นี้กลับพูดวิธีฆ่าคนที่น่ากลัวเช่นนี้ออกมาอย่างสบายๆ ท่าทางเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง นี่ไหนเลยจะเป็นคน นี่มันปีศาจ ปีศาจชัดๆ!
ทว่าเขายังคงแข็งคอกล่าวอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “จะฆ่าก็ฆ่า พูดจาเหลวไหลทำไม”
ส่วนโจรคนอื่นๆ ในลานก็กลัวจนหน้าถอดสีนานแล้ว ตัวสั่นระริก เฉือนครั้งเดียวก็เจ็บอย่างยิ่งแล้ว ยังต้องถูกเฉือนพันครั้งทั้งเป็น ใครจะทนไหว อยากจะหลับตาแล้วตายไปทันทีจริงๆ
อย่าว่าแต่โจรเหล่านี้ แม้แต่คนที่เสิ่นเวยพามาก็มองหน้ากัน ขนหัวลุก
เสิ่นเวยไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย หัวเราะเบาๆ กล่าว “พลลับหนึ่ง มือเจ้ามั่นคงที่สุด พาคนเหล่านี้ไปลงโทษเสีย จำไว้ หนึ่งพันมีด ไม่มากไปกว่านี้ และไม่น้อยไปกว่านี้”
พลลับหนึ่งอับจนปัญญา เขาพูดได้หรือว่าติดตามเจ้านายที่ชอบความป่าเถื่อนเช่นนี้ทำให้กลัดกลุ้มใจอย่างยิ่ง เฉือนเนื้อน่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่งรู้หรือไม่ แต่นายท่านพูดแล้ว เขาจะยังพูดอะไรได้อีก
พลลับหนึ่งเลือกทหารลับสามคนที่ถูกบีบบังคับให้ทำเรื่องเกินความสามารถเช่นเดียวกันไปร่วมลงโทษ เสิ่นเวยยังตั้งใจเอาผ้าอุดปากทหารเดนตายซีเหลียงออก
ตามเนื้อที่ร่วงลงพื้นแต่ละชิ้นๆ เสียงกรีดร้องก็ดังก้องทั่วเขาเอ้อร์หลง
มีคนขี้ขลาดที่ตกใจจนหมดสติตายไปแล้ว ส่วนคนที่กล้าหาญก็อยากจะตาบอดหูหนวกขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นเองก็มองดูอย่างอกสั่นขวัญหาย
มีเพียงเสิ่นเวย อ้อไม่สิ ยังมีเถาฮวาน้อย คนอื่นล้วนอยากจะปิดหูตัวเอง แต่นางกลับเบิกตาโตมองดูด้วยความสนใจใคร่รู้ เจ้านายเป็นเช่นไรสาวใช้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เสิ่นเวยยืนตัวตรงผ่าเผยราวกับไผ่เขียว สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว คิ้วก็ไม่ขมวดเลยแม้แต่น้อย สายตาของนางค่อยๆ กวาดผ่านเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่น พวกเขายืดหลังยืดอกตามจิตใต้สำนึกทันที คุณหนูสี่เป็นสตรียังไม่กลัว ลูกผู้ชายเช่นพวกเขาจะกลัวอะไร
เสิ่นเวยยกยิ้มอย่างพอใจ หลังของเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นก็ยิ่งยืดตรง สีหน้าก็สงบยิ่งขึ้น ก็แค่ฆ่าคนมิใช่หรือ มีอะไรให้กลัวกัน
“คุณชายเสิ่นโปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว ขอเพียงไว้ชีวิตผู้น้อย ผู้น้อยจะยอมทำตามทุกอย่าง” ในที่สุดเจิ้งป้าเทียนก็ยอมแพ้ หมอบอยู่บนพื้นราวกับสุนัขขี้เรื้อนร้องห่มร้องไห้อ้อนวอน ในตอนที่กำลังจะตายจริงๆ เขาก็ยังคงหวาดกลัว ขี้ขลาด มีชีวิตแล้วดีเช่นนี้ เขายังไม่อยากตาย
เสิ่นเวยไม่สนใจเขา เงยหน้ามองฟ้า กล่าวกับพลลับหนึ่งด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง “เหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้ายังต้องรีบกลับไปกินข้าวเช้า พอแค่นี้เถอะ วันหลังพวกเรามีโอกาสแล้วค่อยลองใหม่ ฆ่าพวกเขาทิ้งเสีย”
เมื่อเสิ่นเวยพูดจบ ดาบแหลมสี่เล่มก็แทงเข้าไปในหัวใจทหารเดนตายซีเหลียงพร้อมกัน ราวกับกลัวว่าเสิ่นเวยจะเปลี่ยนใจ พวกเขาเองก็กดดันมากรู้หรือไม่ นั่นมันคนเป็นๆ ไม่ใช่หมูไม่ใช่หมา
ตอนนี้เสิ่นเวยเพิ่งจะหันหน้ามาหาเจิ้งป้าเทียน “อ้อ ยังอยากมีชีวิตหรือ ถูกต้องแล้ว มีชีวิตดีกว่าตาย มีชีวิตอยู่จึงจะมองเห็นทิวทัศน์สวยๆ เช่นนั้นได้ ตายแล้วทุกอย่างก็จบสิ้น ในเมื่อคิดจะมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็ต้องเชื่อฟัง เชื่อฟังเข้าใจหรือไม่ ข้าให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ”
“เข้าใจ เข้าใจ ผู้น้อยเข้าใจ ผู้น้อยจะเชื่อฟัง เชื่อฟังคุณชาย” เจิ้งป้าเทียนพยักหน้ารัว ขอเพียงแค่มีชีวิตอยู่ได้ ให้เขาทำอะไรก็ยอม
เสิ่นเวยกระตุกมุมปากอย่างพอใจ “ได้ เช่นนั้นก็พาตัวกลับไปให้หมด”
โจรบนเขาเอ้อร์หลงใครบ้างที่ไม่เคยก่อกรรมทำชั่ว ฆ่าพวกเขากลับจะทำให้พวกเขาได้เปรียบ เสิ่นเวยวางแผนไว้แล้ว จัดการพวกเขาเรียบร้อยแล้ว ส่งไปค่ายทหารเดนตายทั้งหมด ลงสนามรบแล้วก็ยังสามารถฆ่าทหารซีเหลียงได้อยู่มิใช่หรือ นำขยะกลับมาใช้ประโยชน์เพื่อที่จะรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างไรเล่า
สำหรับสตรีบนเขาเอ้อร์หลง เสิ่นเวยย่อมไม่ได้มีความอดทนมากเพียงนั้น แจกเงินคนละสิบตำลึงแล้วจึงให้กลับบ้าน คนที่ไม่ยอมกลับบ้านอยากไปไหนก็ไป
ตอนที่ฟ้าใกล้สาง เสิ่นเวยก็บรรทุกข้าวของกลับมาเต็มคันรถ
ฟังต้าฉุยรออยู่บนกำแพงเมืองด้วยความร้อนใจทั้งคืน เห็นกองทัพยาวเหยียดมาแต่ไกลๆ ก็เปิดประตูนำคนออกไปต้อนรับทันที
“คุณชายสี่ กลับมาแล้วหรือ” ฟังต้าฉุยมองกองทัพที่ยาวเหยียด ไม่ว่าอย่างไรก็หุบรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้ ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
เสิ่นเวยโบกมือบัญชากล่าว “ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ” ใครจะคิดว่ารังโจรแห่งนี้บนเขาเอ้อร์หลงจะซ่อนเสบียงไว้กว่าหนึ่งหมื่นต้าน นับว่าแก้ไขปัญหาคับขันได้แล้ว
หวังต้าชวนที่เป็นคนใจร้อนก็กล่าวเสียงดังทันที “แม่ทัพ ครั้งนี้พวกเราร่ำรวยแล้ว หนึ่งหมื่นต้าน เสบียงหนึ่งหมื่นต้าน! ยังมีเงินทองของล้ำค่าอีกไม่น้อย ม้า ผ้า ยาต่างๆ โจรขี้ขลาดเหล่านี้มีชีวิตดีกว่าเจ้าขุนมูลนายในท้องถิ่นเสียอีก” เขาพูดไปพูดมาก็โมโห “หารู้ก่อน ข้าคงจะจะพาคนไปปราบโจรแล้ว คุณชายสี่ของพวกเราฉลาดจริงๆ!”
ตลอดการเดินทางไปเขาเอ้อร์หลง หวังต้าชวนเลื่อมใสศรัทธาคุณชายสี่ตระกูลเสิ่นหมดทั้งใจ อายุยังน้อย ทั้งมีแผนการ ทั้งมีอุบาย จิตใจแข็งแกร่ง บทลงโทษหมื่นพันมีดเฉือนนั้น คนที่เห็นคนตายจนชินเช่นเขายังรู้สึกหวาดหวั่น แต่คุณชายสี่ผู้นี้กลับแน่วแน่นเด็ดขาด สุขุมอย่างยิ่ง
ฟังต้าฉุยได้ยินหวังต้าชวนเล่า ปากก็แสยะยิ้มกว้างยิ่งขึ้น “โชคดีที่ได้คุณชายสี่จริงๆ ลำบากคุณชายสี่แล้ว รีบกลับเมืองไปพักเถิดขอรับ ข้าวเช้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” รอยยิ้มที่ยิ้มให้เสิ่นเวยช่างเอาใจใส่ยิ่งนัก
ขบวนรถเข้าสู่ประตูเมือง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม คนทั้งหมดก็รู้ว่ามีเสบียงแล้ว และยังรู้ว่าจะมีเสบียงสี่หมื่นต้านส่งตามมาอีก ฮ่าๆ ในที่สุดก็ไม่ต้องหิวอีกแล้ว ชั่วขณะขวัญกำลังทหารก็พุ่งพล่าน
อาจารย์ผังได้ยินข่าวแล้วก็รีบตามมา “คุณชายสี่ขนเสบียงหนึ่งหมื่นต้านกลับมาจริงๆ หรือ” เขาหลับไปหนึ่งตื่น ตื่นขึ้นมาก็พบว่าโลกทั้งใบเปลี่ยนไปแล้ว
เสิ่นเวยโบกมือ “แน่นอนว่าจริง ข้าเคยล้อเล่นที่ไหนเล่า อยากรู้รายละเอียดท่านก็ไปถามโอวหยางไน่ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว อยากกินข้าว อยากนอน ห้ามใครมารบกวนข้า”
ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หลับตา ตอนนี้เสิ่นเวยคิดถึงเตียงของนางที่สุด แต่ท้องก็ร้องโครกครากประท้วงอยู่ ได้ กินข้าวก่อนแล้วกัน
ข้าวเช้ายังคงเรียบง่ายอย่างยิ่ง แป้งทอดธัญพืชกับข้าวต้ม เสิ่นเวยเองก็ไม่รังเกียจ กินผักดองกินข้าวต้มสองถ้วยกินแป้งทอดธัญพืชสามชิ้น หลังจากนั้นก็ล้มตัวลงนอน หัวถึงหมอนก็หลับฝันทันที
“เด็กนั่นหลับแล้วหรือ” ท่านเสิ่นโหวถามบ่าวรับใช้ชรา
เสิ่นอันฉงพยักหน้า “ขอรับ ล้มตัวลงนอนก็หลับเลย คุณหนูสี่ลำบากแล้ว” เขาถอนหายใจ สงสารอย่างยิ่ง เป็นคุณหนูสูงศักดิ์อยู่ดีๆ กลับต้องมาเป็นเด็กผู้ชาย เฮ้อ
ท่านเสิ่นโหวเงยหน้านอน ไม่พูดอะไร ครู่ใหญ่จึงกล่าว “พยุงข้าขึ้น” เขาต้องไปดูเด็กคนนั้นเสียหน่อย
เสิ่นอันฉงเองก็รู้ว่าหากนายท่านไม่ได้ไปดูสักหน่อยก็จะไม่วางใจ จึงพยุงเขาไปที่ห้องของคุณหนูสี่
ท่านเสิ่นโหวเห็นหลานสาวตัวน้อยของเขานอนตะแคงอยู่ เส้นผมสีดำแผ่อยู่บนหมอน ดวงตาทั้งสองหลับสนิท มุมปากงอนขึ้นเล็กน้อย ส่งเสียงกรนสม่ำเสมอ ในใจท่านเสิ่นโหวก็ห่อเ**่ยวอย่างถึงที่สุด เขาถอนหายใจยาวหนึ่งครา รู้สึกว่าตนควรจะคิดดูให้ดีจริงๆ
ชนรุ่นหลังไร้กำลัง ให้เด็กสาวออกมาประคับประคองก็ไม่ใช่แผนการระยะยาวเช่นกัน