ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 164-1 จัดตั้งกองทหารเด็ก
เสิ่นเวยกวาดล้างโจรลักม้าอย่างมีความสุข โดยเฉพาะกลุ่มนี้ที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด เมื่อพวกเขาได้ยินว่าลูกพี่หูหัวหน้าของตนพร้อมด้วยคนสนิทที่แกร่งกล้ายี่สิบกว่าคนของเขาล้วนตายหมดแล้ว ทั้งหมดก็ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้ ลูกพี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของใคร แล้วนับประสาอะไรกับโจรเล็กๆ เหล่านี้เช่นพวกเขาเล่า ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ ปกป้องชีวิตก่อนดีที่สุด
เสิ่นเวยตะลึงงันแล้ว แม้ว่านางไม่อยากไว้ชีวิตโจรลักม้าที่ก่อกรรมทำชั่วเหล่านี้ แต่หากจะให้นางลงมือกับโจรลักม้าที่คุกเข่าลงกับพื้นไม่ขัดขืนเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ นางก็ยังทำไม่ลง
จะทำอย่างไรดี ฆ่าทิ้งหรือ ทำไม่ลง ปล่อยหรือ ก็ไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นสวีโย่วที่เตือนนาง “ค่ายทหารเดนตายยังขาดคนอยู่มิใช่หรือ”
เสิ่นเวยตบเข่าฉาดเข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันที ใช่แล้ว โจรลักม้าเหล่านี้แต่ละคนโหดเ**้ยมอย่างยิ่ง ลงสนามรบแล้วจะต้องต่อสู้แข็งแกร่งกว่าทหารทั่วไปแน่นอน แม้ว่าจะตายในสนามรบก็ไม่เสียดาย หากโชคดีรอดมาได้ก็นับว่าได้ทำคุณงามความดีให้ต้ายง อีกทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากเพียงนี้ที่พวกเขาได้มาจากการกวาดล้างโจรลักม้าก็จำเป็นต้องมีกำลังคนขนกลับไปด้วยไม่ใช่หรือ หวังจะให้พวกเขาแค่สองร้อยคนนี้ขนก็ไม่รู้ว่าจะถึงเมื่อไหร่
ใช่แล้ว เอาเช่นนี้แล้วกัน เสิ่นเวยปรับแผนยุทธวิธีทันที โจรลักม้าสามกลุ่มที่ถูกกวาดล้างในภายหลังจึงค่อนข้างโชคดี นอกจากจะฆ่าคนดื้อรั้นที่ไม่ยอมก้มหัวให้ไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็ขอเพียงยอมจำนนต่อเสิ่นเวยล้วนได้รับการไว้ชีวิตทั้งสิ้น
วันนี้ที่กลับเมืองชายแดนเป็นวันที่พี่รองเสิ่นซวงออกเรือนพอดี เสิ่นเวยทอดมองไปยังทิศเมืองหลวงสีหน้าซึมเซา จะว่าไปหลังจากที่นางกลับจวนมาคนที่มีความสัมพันธ์อันดีที่สุดในหมู่พี่สาวน้องสาวทั้งหมดก็คือพี่รอง นางเองก็ชื่นชมพี่รองที่ใจกว้างเปิดเผยผู้นี้อย่างยิ่ง วันนี้นางออกเรือน ตนกลับอยู่ห่างไกลพันลี้ ไม่สามารถไปส่งนางได้ พูดขึ้นมาแล้วก็เสียดายจริงๆ
แต่ว่านางเองก็คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนเดินทางไปวัดต้าเจวี๋ยก็ส่งสินเดิมเพิ่มให้ล่วงหน้า ของที่ให้พี่รองคือภาพวาดชื่อดังรัชสมัยก่อน ของที่ให้พี่สามคือตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง อย่างไรเสียนางก็ไม่เหมือนพี่รอง ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ดูแลบ้าน ไม่มีทางปล่อยให้พี่รองขาดเงินส่วนตัว
แต่พี่สามกลับไม่เหมือนกัน นางเป็นลูกอนุภรรยา ต่อให้จืออี๋เหนียงจะได้รับความโปรดปราน ในมือก็ไม่อาจถือเงินส่วนตัวมากเกินไปได้ เงินที่ให้พี่สามย่อมไม่เยอะ
เงินนั้น ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามล้วนแต่เป็นความมั่นใจของสตรี พี่สามผู้นั้นแม้ว่าเสิ่นเวยจะไม่ชอบเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้เกลียดอะไร เห็นแก่ที่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันจึงช่วยนางเสียหน่อย แม้ว่านางจะไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณ แต่ก็ยังมีจืออี๋เหนียงอยู่ มีจืออี๋เหนียงที่ฉลาดเช่นนี้อยู่ก็ถือว่ามีประโยชน์กับน้องเจวี๋ยด้วยเช่นกัน
สำหรับเสิ่นเสวี่ย เสิ่นเวยกลับไม่ได้เพิ่มสินเดิมให้นางน้อยกว่าใคร ต้องแสร้งทำดีให้คนอื่นเห็นเสียหน่อย ไม่อาจเผยจุดอ่อนให้คนนินทาได้ สินเดิมเพิ่มเติมที่เสิ่นเวยให้เสิ่นเสวี่ยคือผ้าเช็ดหน้า กระเป๋าเงินใบเล็กและของต่างๆ ที่หลีฮวาและคนอื่นๆ ทำ แม้ของขวัญจะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจไมตรี ต่อให้เสิ่นเสวี่ยอาเจียนแทบตายก็คายออกมาไม่ได้
“เป็นอะไรไป คิดถึงบ้านแล้วหรือ” สวีโย่วเห็นอารมณ์ของเสิ่นเวยดิ่งลง จึงสะบัดบังเ**ยนเดินไปข้างนาง
“วันนี้เป็นวันมงคลที่พี่รองของข้าออกเรือน แต่ข้ากับพี่ใหญ่กลับอยู่ที่ซีเจียง” เสิ่นเวยทอดมองไปไกลกล่าวเสียงเบา ไม่รู้เหมือนกันว่าในจวนจะมีคนมากันเยอะหรือไม่ ครึกครื้นหรือไม่ ตั้งแต่ที่มาต้ายงแห่งนี้เสิ่นเวยก็ยังไม่เคยเห็นบุตรสาวตระกูลสูงออกเรือนเลย ก่อนหน้านี้ยังเตรียมตัวมุงดูระยะใกล้ชิดด้วยความดีใจอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้กลับคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว
สวีโย่วตกใจ ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะมีมุมแบบนี้ด้วย สายตาที่มองเสิ่นเวยก็ยิ่งอ่อนโยน กล่าวปลอบ “วางใจเถอะ จักรพรรดิไม่อาจมองข้ามจวนจงอู่โหวได้หรอก” ท่านเสิ่นโหวยังพยายามเพื่อต้ายงอยู่ที่ซีเจียง จักรพรรดิมีแต่จะเป็นบุญคุณเพิ่มบำเหน็จให้จวนจงอู่โหว
เสิ่นเวยเองก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน พยักหน้าอย่างอดไม่ได้ ขอเพียงแค่ท่านปู่ยังไม่พ่ายแพ้ที่ซีเจียง เช่นนั้นจวนจงอู่โหวในเมืองหลวงก็จะสูงตระหง่านไม่พังทลาย ถ้าหากมีการยุยงอย่างไม่ระวัง จักรพรรดิก็จะใส่ใจพวกเขาขึ้นอีกสามส่วน
เสิ่นเวยคิดไว้ไม่มีผิด เช้าวันนี้จักรพรรดิยงเซวียนกับขันทีใหญ่ของเขาสนทนาเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็ตรัส “วันนี้เป็นวันที่บุตรสาวของเสิ่นซื่อจื่อออกเรือนใช่หรือไม่”
ขันทีใหญ่จางเฉวียนก้มศีรษะ “ทูลฝ่าบาท ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฟังว่าเมื่อวานเสิ่นซื่อจื่อก็ขอลางานแล้ว”
จักรพรรดิยงเซวียนเดินวนอยู่ในห้องหนังสือจักรพรรดิหลายก้าว ตรัสต่อ “อาโย่วกับแม่ทัพอู่เลี่ยไปถึงได้กี่วันแล้ว”
“ประมาณครึ่งเดือนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ สิบวันก่อนแม่ทัพอู่เลี่ยเพิ่งจะส่งข่าวกลับมามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” จางเฉวียนกล่าวเตือน
“อืม” จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้า เรื่องนี้เขาจะลืมได้อย่างไร เมื่อคิดว่าหลานชายเกือบจะตายระหว่างทางไปซีเจียงเบื้องลึกในหัวใจเขาก็โมโหขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด อยากจะฆ่าหั่นศพคนที่ปล่อยข่าวผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่อย่างไรเสียเมื่อนึกถึงเสิ่นผิงยวนเขาก็ได้สติกลับมา มีเขาปกครองซีเจียงด้วยตัวเอง เขาก็ยังคงวางใจได้ อืม ต้องคิดหาวิธีจัดสรรข้าวของไปให้ซีเจียงหน่อย อีกไม่นานเสบียงก็จะหมด อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นก็ต้องรวบรวมมิใช่หรือ ยังมีเสื้อนวมอีก ชั่วพริบตาซีเจียงก็ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ไม่มีเสื้อนวมแล้วเหล่าทหารจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างไร จักรพรรดิยงเซวียนคิดเช่นนั้นเช่นนี้ไปต่างๆ นานา
จะว่าไปแล้วจักรพรรดิยงเซวียนก็ยังเป็นจักรพรรดิที่ห่วงใยใต้หล้าจริงๆ จะปกครองอย่างไร้รากฐานได้อย่างไร คนฉลาดแต่หากขาดปัจจัยสำคัญก็ยากจะประสบความสำเร็จ เขาเองก็มีใจเหลือเฟือแต่กำลังกลับไม่เพียงพอ
“เสิ่นผิงยวนเองก็ลำบาก” จู่ๆ จักรพรรดิยงเซวียนก็ถอนพระปัสสาสะ หลังจากนั้นก็หมุนตัวตรัส “เจ้าไปตำหนักคุนหนิง[1] บอกฮองเฮาว่าให้นางพระราชทานสินเดิมให้หลานสาวผู้นี้ของเสิ่นผิงยวน”
แม้ว่าในใจจางเฉวียนจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่กลับถอยออกไปอย่างไม่แสดงสีหน้า พูดในใจ ความโปรดปรานของจักรพรรดิที่มีต่อท่านเสิ่นโหวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
จวนจงอู่โหวรับได้รับพระราชทานบำเหน็จจากฮองเฮา ทั่วทั้งจวนต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติ แม้ว่าจะเป็นเพียงคฑาหรูอี้หยกหนึ่งคู่ แต่เมื่อวางสินเดิมชิ้นนี้ไว้ข้างหน้าสุด เมืองหลวงทั้งเมืองก็ไม่มีใครที่ไม่อิจฉา สตรีมีหน้ามีตาในบ้านสามี ใครบ้างจะไม่เคารพชื่นชม
ในขณะที่ฮูหยินสวี่ดีใจก็ตระหนักได้อย่างเฉียบแหลมว่าจักรพรรดิทรงให้เกียรติแก่ท่านโหว สามีของนาง บุตรชายของนางไม่มีเกียรติที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ คิดถึงตรงนี้ก็เป็นห่วงเรื่องสงครามที่ซีเจียงขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ คิดว่าต้องไปจุดธูปหน้าพระพุทธรูปให้บ่อยขึ้น ขอพรให้ท่านโหวและลูกชายปลอดภัย คุ้มครองให้ซีเจียงได้รับชัยชนะ
เดินอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ติดต่อกันสองวันจึงกลับมาถึงเมืองชายแดนซีเจียง เพราะว่าคุ้นเคยเส้นทางแล้ว ตลอดทางกลับจึงราบรื่นมากเป็นพิเศษ ไม่เจอกองทัพซีเหลียงที่ลาดตระเวน นี่ทำให้เสิ่นเวยเสียดายเล็กน้อย นางยังเตรียมที่จะหาเงินระหว่างทางกลับเพิ่มอีก อย่างไรเสียมีแรงงานที่เยอะเพียงนี้ ไม่ใช้ก็เสียเปล่า
เสิ่นเวยกลับมาคราวนี้ ท่านปู่นางสามารถลงจากเตียงเดินโดยใช้ไม้เท้าได้แล้ว เสิ่นเวยตื่นเต้นดีใจ “ท่านปู่ เป็นอย่างไร หลานไม่ทำให้ท่านเสียหน้าใช่หรือไม่” ขบวนม้ายาวๆ นั้นเดินผ่านประตูเมือง ใช้เวลาช่วงเช้าเต็มๆ
“ไม่เสียหน้าๆ คุณชายสี่ทำคุณงามความดีสูงสุด คุณชายสี่ลำบากแล้วจริงๆ” ท่านเสิ่นโหวยังไม่ทันได้เปิดปาก ฟังต้าฉุยข้างๆ ก็แย่งพูดแล้ว
เขามองขบวนม้านั้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ร่างทั้งร่างสั่นระริกอย่างตื่นเต้น ให้ตายเถอะ คุณชายสี่เป็นเด็กผู้มากับโชคที่จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดจริงๆ ใช่หรือไม่ ตั้งแต่ที่เขามาเมืองชายแดน ของต่างๆ ในยุ้งฉางก็ไม่เคยขาดแคลนเลย
ขอเพียงแค่การเตรียมรบไม่ขาดแคลนสิ่งของ ก็ไม่มีใครหน้าไหนที่ยังกลัวพวกชั่วซีเหลียงอยู่ ตามการป้องกันเมืองแล้ว จะฆ่าพวกเขาไม่ตายได้อย่างไร
ท่านเสิ่นโหวมองหลานสาวตัวน้อยที่ตากแดดจนดำเล็กน้อยใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม ดีๆๆ สวรรค์ยังไม่ไร้เมตตาต่อเสิ่นผิงยวน ยังมอบหลานสาวที่ฉลาดเฉียบแหลมผู้หนึ่งไว้ให้เขา หลานสาวแล้วอย่างไร หลานสาวก็เป็นคนของตระกูลเสิ่นของเขา เป็นแบบอย่างที่ดีได้
แต่เมื่อเห็นคุณชายใหญ่ที่ขัดหูขัดตาผู้นั้นข้างกายหลานสาว ท่านเสิ่นโหวก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบหน้า เดิมเขาวางแผนแล้วว่าจะให้เจ้าสี่แต่งลูกเขยเข้าบ้าน ภายหลังก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกับจวนจงอู่โหว นัยตรงก็ทิ้งไว้ให้เชียนเกอเอ๋อร์ นัยแฝงก็ทิ้งไว้ให้เจ้าสี่ มีเจ้าสี่ช่วยประคับประคองเชียนเกอเอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรจวนโหวก็ไม่มีทางตกต่ำได้
หากแต่งเขยเข้าบ้านแต่หาคนดีๆ ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้เจ้าสี่มีวงศ์ตระกูลเสีย นี่เองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากการแต่งเขยเข้าบ้านนัก
แต่เขาคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิจะพระราชทานการสมรสให้เจ้าสี่ จักรพรรดิไหนเลยจะรู้จักเจ้าสี่ หากไม่ใช่คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องผู้นี้ที่เป็นลูกหมาป่าผู้สายตาเฉียบแหลมจริงๆ ดันชอบเจ้าสี่ของเขาตั้งแต่แรกพบ
แม้ว่าแผนการกวาดล้างโจรลักม้าครั้งนี้เขาจะสร้างคุณงามความดีได้มาก แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางให้ท่านเสิ่นโหวเลิกเกลียดเขา
สวีโย่วเองก็ตามีแววยิ่งนัก เห็นท่านเสิ่นโหวไม่ชอบหน้าเขาก็ไม่เข้าใกล้อย่างรู้ตัวดี พลางปกป้องตัวเองไปด้วย ใครให้ตาเฒ่าผู้นี้เป็นปู่ของน้องสี่เล่า ใครให้เขาตกหลุมรักหลานสาวของเขาเล่า
เสิ่นเวยมองเสบียงที่เต็มยุ้งฉาง รู้สึกถึงการประสบความสำเร็จจริงๆ ลาลาลา ข้าเป็นผึ้งน้อยแสนขยัน เป็นยอดฝีมือน้อยที่สร้างสมบัติให้วงศ์ตระกูล
จางสงกับเฉียนเป้าเองก็ทยอยกลับมาแล้ว นอกจากพวกเขาจะขนส่งเสบียงแล้ว ยังขนส่งผ้าฝ้ายและผ้าหยาบมาไม่น้อย ยังมีเสบียงแห้ง เกลือและสิ่งของที่เมืองชายแดนขาดแคลนต่างๆ
เหตุใดถึงเป็นผ้าฝ้ายและผ้าหยาบแทนที่จะเป็นผ้านวมก็เพราะว่าราคาผ้านวมสูงอย่างยิ่ง ซื้อผ้าฝ้ายกับผ้าหยาบคุ้มทุนกว่ามาก อย่างไรเสียเมืองชายแดนก็มีสตรีที่ว่างไม่มีอะไรทำเยอะเพียงนั้น ยังต้องกังวลอีกหรือว่าจะทำเสื้อนวมได้ไม่ดี อีกทั้งสตรีเหล่านี้ยังสามารถนำเงินค่าจ้างไปใช้จ่ายภาระในครอบครัวได้อีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ดียิ่งนัก
ในมือถือเงินอยู่ เสิ่นเวยก็มีความมั่นใจแล้ว เรื่องที่อยากทำมากมายก็เตรียมดำเนินการได้แล้ว
นางไปหาบ้านหลังใหญ่ที่ไม่ไกลจากจวนโหวก่อน เริ่มรับสมัครแรงงาน ต้องเป็นสตรีและหญิงสาวที่ทำงานเย็บปักถักร้อยได้ ทำเครื่องแบบทหารและรองเท้าทหารให้เหล่าทหาร ได้ค่าจ้างวันละสิบอีแปะต่อคน มีข้าวเที่ยงเลี้ยง
เมื่อข่าวแพร่ออกไป ประชาชนเมืองชายแดนก็แย่งกันลงชื่อสมัคร อย่าว่าแต่ได้เงินค่าจ้าง รวมถึงเลี้ยงข้าว ต่อให้ไม่มีอะไรให้พวกนางก็ยินดีทำ อย่างไรเสียเหล่าทหารก็ปกป้องบ้านเกิดของพวกนางอยู่
เครื่องแบบทหารล้วนแต่ใช้ผ้าหยาบสีดำหรือสีเขียว ตรงกลางบุใยฝ้าย ปริมาณผ้าฝ้ายในเครื่องแบบแต่ละชุดต่างก็ใช้อย่างพอดี ต้องรับรองได้ว่าเครื่องแบบทหารมีความหนาพอที่จะรักษาความอุ่นได้
รองเท้าทหารต่างก็ใช้หนังกันน้ำ ปริมาณหนังที่ใช้สำหรับคนอื่นแล้วพูดได้ว่ายากอย่างยิ่ง แต่สำหรับเสิ่นเวยแล้วกลับเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว นางปราบโจรภูเขารังโจรลักม้ามามากมายเพียงนั้น ทั้งยังพาคนไปล่าสัตว์มากมายเพียงนั้น อย่าว่าแต่ไม่มี หนังเยอะจนใช้ไม่หมดด้วยซ้ำ
เพื่อเร่งงาน เสิ่นเวยจึงนำระบบการทำงานประสานกันอย่างยุคปัจจุบันมาใช้ แบ่งขั้นตอนการผลิตเสื้อผ้ารองเท้าเป็นหลายๆ ทาง คนหนึ่งรับผิดชอบทำเพียงขั้นตอนเดียว ความเร็วก็จะเร็วขึ้นอย่างมาก
ข้าวมื้อเที่ยงนั้นเสิ่นเวยเองก็ไม่ได้ละเลยพวกนาง แม้ว่าจะไม่มีหมั่นโถว แต่แป้งทอดธัญพืชกลับมีเพียงพอ กับข้าวก็เป็นอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ ถั่วงอกหรือว่าเนื้อตุ๋นผักดองแห้ง ล่าสัตว์อะไรได้ก็ได้กินเนื้อชนิดนั้น แกงจืดสาหร่ายก็มีให้กิน
ทั้งหมดนี้ อาหารที่เรียบง่ายในสายตาของเสิ่นเวย ในสายตาของสตรีที่เป็นแรงงานกลับเป็นอาหารชั้นดีที่หาได้ยากแล้ว สงครามครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร แม้ว่าในบ้านจะมีข้าวเหลือเล็กน้อยแต่ก็ยังกินได้ทุกวัน แต่เนื้อกลับไม่มีมานานมากแล้ว แม้จะมีเงินก็ซื้อไม่ได้อยู่ดี
บางครั้งที่เสิ่นเวยมาตรวจตราก็เห็นสตรีจำนวนมากทำใจกินอิ่มไม่ลง เก็บแป้งทอดธัญพืชและแผ่นเนื้อกลับไปในเด็กๆ และคนชราที่บ้านกิน เสิ่นเวยเห็นแล้วก็แสบจมูกขึ้นมา หลังกลับไปก็ปรึกษากับชวีไห่ ทุกๆ ห้าวันจะมอบสวัสดิการให้สตรีและหญิงสาวแรงงาน ของไม่เยอะนัก แต่ละคนจะได้แป้งทอดสองจิน เนื้อดิบหนึ่งจิน
ประชาชนเมืองชายแดนซื่อสัตย์รู้สำนึกในบุญคุณมากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่เสิ่นเวยมา พวกนางก็จะแย่งกับทักทายนาง ในแววตาเต็มไปด้วยความเคารพและซาบซึ้ง
[1] ตำหนักคุนหนิง ที่ประทับของฮองเฮา