ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 172-1 ฝึกฝนต่อ
ท่านเสิ่นโหวมองกลุ่มทหารเด็กที่กลับมาจากการฝึกฝนกลุ่มนี้อยู่บนยอดกำแพงเมือง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า คนรุ่นใหม่เข้าแทนที่คนรุ่นเก่า เดิมคิดว่าเจ้าสี่หาเรื่องใส่ตัว ไม่คิดว่านางจะฝึกฝนเด็กๆ เหล่านี้ออกมาได้จริงๆ
ท่านเสิ่นโหวไต่เต้าตำแหน่งขึ้นมาจากทหารหน้าใหม่ทีละก้าวๆ ในใจเขาเข้าใจเป็นอย่างดี การฝึกฝนในป่าเขาที่ดูเหมือนเล่นสนุกของพวกเขานี้ ทหารชายแดนประจำการจำนวนมากยังผ่านด่านไม่ได้ แต่เด็กๆ ที่ยังไม่โตเต็มวัยเหล่านี้กลับผ่านไปได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าสี่เอาความคิดมากมายเพียงนั้นมาจากไหน บางทีเขาอาจจะต้องพิจารณาเรื่องกลับเมืองหลวงจริงๆ ได้แล้ว
กองทหารเด็กเหล่านี้กลับไปถึงบ้าน ย่อมต้องถูกพ่อแม่ดึงเข้ามาถามไถ่ทุกข์สุข เมื่อได้ยินลูกชายเล่าเรื่องด้วยความตื่นเต้นดีใจ คนในครอบครัวก็ทั้งสงสารทั้งภูมิใจ ภรรยาที่มีจิตใจละเอียดอ่อนก็ปาดน้ำตาทันที แต่กลับถูกบุรุษตระกูลตนตำหนิ “ร้องไห้ทำไม ถูกคุณชายสี่เลือกไปฝึกฝนได้ถือเป็นวาสนาของตระกูลเราแปดชั่วโคตร ลูกมีอนาคตไม่ใช่ว่ายอดเยี่ยมเหนือสิ่งอื่นใดหรอกหรือ”
ภรรยารีบเช็ดน้ำตาเผยรอยยิ้ม “ข้าเพียงแค่ดีใจ ดีใจจริงๆ” ลูกมีอนาคตดี คนเป็นพ่อแม่จะไม่ดีใจได้อย่างไร
เฉิงซื่อมารดาของฟังจงหลี่เองก็มองลูกซ้ายขวา เห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บจิตใจที่กลัดกลุ้มก็วางลง กำลังจะทำอาหารบำรุงร่างกายให้เขา ท่าทางของมารดานั้น ทำให้ฟังจงเหรินลูกชายคนโตและฟังจงอี้ลูกชายคนรองตาแดงก่ำ
“ท่านแม่ ที่แท้แล้วน้องสามก็เป็นลูกของท่าน ส่วนข้ากับพี่ใหญ่เป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยงสินะ” ฟังจงอี้แสร้งทำท่าทีไม่พอใจ
เฉิงซื่อตีลูกชายคนรองด้วยความโมโหหนึ่งครา “ไปเลย อายุตั้งเท่านี้แล้วยังแย่งความรักกับน้องชายอยู่อีก เจ้ากับพี่ใหญ่เจ้าอยู่ค่ายทหาร กลับมาได้บ่อยๆ เจ้าสามไปทีสิบวันครึ่งเดือนไม่เห็นแม้แต่เงา ข้าเลยต้องรักเขามากหน่อย”
ฟังจงหลี่หัวเราะเยาะกล่าวต่อ “พี่รองท่านต้องอิจฉาข้าแน่ๆ” อย่าคิดว่าเขาดูไม่ออก ตั้งแต่ที่พี่รองรู้เนื้อหาในการฝึกที่จวนโหวของเขากับการพัฒนาในช่วงนี้ของเขา ความผิดหวังในแววตาก็ปรากฎชัด
ทว่าฟังจงอี้กลับยืดคอแข็ง “อิจฉาเจ้าหรือ อย่ามาล้อเล่นเลย! ข้าอยู่ในค่ายเป็นอิสระเกินกว่าจะบรรยาย อิจฉาเจ้ากับผีน่ะสิ” เขาตาร้อนแล้วมิใช่หรือ อิจฉาที่น้องชายได้ฝึกฝนความสามารถที่เขายังไม่เคยได้ยินมากมายเพียงนั้น ต่อให้ตีเขาตายก็ยอมรับไม่ได้หรอก
ทว่าฟังจงหลี่กลับยังคงตะโกนดังสนั่นลั่นฟ้า “ไอหยา พี่รองท่านอย่าปากแข็งสิ เป็นถึงพี่น้องครอบครัวเดียวกันข้าจะล้อท่านเล่นได้อย่างไร ค่ายทหารเป็นอิสระแล้วจะมีประโยชน์อะไร มีการสอนมากมายเพียงนั้นเหมือนคุณชายสี่ของพวกข้าหรือไม่ แม้แต่คุณชายสี่ยังชมว่าข้าเรียนดีเลย” เขาภูมิอกภูมิใจ
ฟังจงอี้ถลึงตาโต หมัดใหญ่ๆ ก็ต่อยออกไป “เจ้าเด็กนี่อวดดีนัก มาๆๆ พี่รองจะช่วยเจ้ายืดเส้นเอง พี่รองน่ะจัดการเจ้าได้ง่ายๆ มิใช่หรือ”
“มาก็มา ใครกลัวใคร!” ฟังจงหลี่ไม่ยอมอ่อนข้อ เขาอยากสู้กับพี่รองมานานแล้ว
ทั้งสองกระโดดลงจากระเบียงทางเดินประลองกันในลานบ้าน พี่ใหญ่ฟังจงเหรินหลุดหัวเราะไปพลาง ดูอย่างออกรสออกชาติไปพลาง อืม น้องสามพัฒนามากแล้วจริงๆ นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่มีใครแพ้ชนะ เมื่อก่อนเขายืนหยัดอยู่ใต้มือของน้องรองได้หนึ่งเค่อก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“อีกประเดี๋ยวก็พอได้แล้ว ท่านแม่เรียกกินข้าวแล้ว” ไม่อาจสู้ต่อไปได้ แต่น้องรองเป็นคนรักศักดิ์ศรี หากแพ้ให้น้องสามจะทำอย่างไร ฟังจงเหรินตัดสินใจเรียกให้หยุด
พี่รองฟังจงอี้ยังคงกัดฟันประคับประคองดั่งคาด เหตุใดเจ้าสามนี่ถึงได้เจ้าเล่ห์เพียงนั้นเล่า ตั้งใจโจมตีจุดอ่อนของเขา นั่นมันมือมืดชัดๆ เขาไม่อยากให้แม่เขาให้กำเนิดน้องชายคนนี้เลย
ฉวยโอกาสตอนที่พี่ใหญ่เรียกให้หยุด ฟังจงอี้ก็กระโดดไปข้างๆ ทันที ปาดเหงื่อบนหน้าผาก สายตาที่มองน้องชายตนซับซ้อน “ใช้ได้นี่เด็กน้อย เก่งจริงๆ ด้วย”
ต่อให้เขาไม่อยากยอมรับก็รู้อยู่แก่ใจดี ต่อให้สู้ต่อไปตนก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แค่เห็นสีหน้าเรียบเฉยไม่เหนื่อยหอบของน้องชายเขาก็ยอดเยี่ยมกว่าเขาแล้ว
เสียดายจริงๆ เสียดายจริงๆ!
ฟังจงหลี่ฉลาดอย่างยิ่ง ไหนเลยจะไม่เข้าใจความหมายของพี่ใหญ่ คางเล็กๆ เชิดขึ้น ทะนงอย่างถึงที่สุด “พี่รองท่านคอยดูเถอะ รอข้าฝึกเพิ่มอีกครึ่งเดือน จะต้องสู้ชนะท่านแน่”
“ชมเจ้าหน่อยเจ้าก็เหลิงแล้ว! ได้ พี่รองจะรอเจ้า ดูว่าถึงตอนนั้นใครจะจัดการใครได้” ฟังจงอี้ตัดสินใจเงียบๆ หลังกลับค่ายไปแล้วจะต้องฝึกให้หนักขึ้น ไม่อาจปล่อยให้ถูกน้องสามจัดการได้จริงๆ
ฝั่งตระกูลฟังสนุกสนานครึกครื้น ส่วนฝั่งตระกูลหลี่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น
เพราะว่าน้องชายน้องสาวต่างก็อยู่ในจวนโหว หลังจากหลี่จื้อกลับมาแล้วก็ตรงไปยังครัวใหญ่ทันที
หลี่เสี่ยวเม่ยเห็นพี่ใหญ่มาเยี่ยมนางก็ดีใจอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อเห็นบาดแผลบนคอเขาก็ตื่นตระหนกทันที “พี่ใหญ่ท่านเป็นอะไรไป” นางยืดคอโผเข้าไป ในน้ำเสียงมีความสั่นเครือ
หลี่จื้อรีบปลอบนาง “ไม่เป็นไรๆ เพียงแค่ออกไปฝึกข้างนอกแล้วได้รับบาดเจ็บ คุณชายสี่ให้คนช่วยใส่ยาแล้ว ไม่กี่วันก็หายดี เสี่ยวเม่ยเจ้าสบายดีหรือไม่”
เขามองประเมินน้องสาวของตน เข้าจวนโหวมาได้ครึ่งเดือนแล้ว แม้ว่าน้องสาวจะยังผอมอย่างยิ่ง แต่ก็มีสภาพดีขึ้นกว่าครึ่งเดือนก่อนมาก บนร่างนางไม่ใช่เสื้อชั้นเดียวที่ขาดวิ่นอีกแล้ว แต่เป็นชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าอมเขียวทั้งร่าง ใหญ่เล็กน้อย แต่กลับหนาอย่างยิ่ง ใบหน้าเล็กๆ ล้างได้สะอาดมาก ผมที่บางตาก็หวีเรียบร้อยอย่างยิ่ง
หลี่เสี่ยวเม่ยได้ยินพี่ชายบอกว่าอาการบาดเจ็บไม่ร้ายแรง แม้ว่าจะสงสาร แต่กลับวางใจ จากนั้นก็ได้ยินพี่ใหญ่ถามสารทุกข์สุขดิบตน บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “สบายดี ข้าสบายดี ได้กินอิ่มมีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่ งานก็ไม่หนัก เพียงแค่ก่อไฟทำอาหาร บางครั้งก็ช่วยล้างจาน ท่านอาสะใภ้ลู่และทุกๆ คนดีกับข้ามาก ชุดผ้าฝ้ายที่ข้าใส่อยู่ท่านอาสะใภ้ลู่ก็หามาให้ข้าใส่ นางยังแอบเอาเนื้อที่เหลืออยู่มาให้ข้าด้วย บอกว่าข้าเตี้ยเกินไปแล้ว ต้องกินเนื้อเยอะๆ จะได้สูง พี่ใหญ่ รสชาติเนื้อนั้นอร่อยยิ่งนัก!”
เห็นเสี่ยวเม่ยที่พูดจ้อไม่หยุด มุมปากหลี่จื้อก็ปรากฏรอยยิ้ม หัวใจอบอุ่น จวนโหวล้วนแต่เป็นคนดี ท่านโหวเป็นคนดี คุณชายสี่เป็นคนดี แม้แต่ท่านอาสะใภ้ลู่ในครัวยังเป็นคนดี
“คนอื่นทำดีกับเจ้าเจ้าก็ต้องรู้จักบุญคุณ เสี่ยวเม่ยเจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว พวกเราไม่อาจเป็นคนลืมบุญคุณได้! เวลาปกติก็ขยันให้มากขึ้น ให้ความสำคัญกับงาม ห้ามเกียจคร้านอู้งาน” หลี่จื้อสั่งทีละประโยคๆ
หลี่เสี่ยวเม่ยพยักหน้าอย่างตั้งใจจริง “พี่ใหญ่ ข้ารู้แล้ว” หากไม่ได้เข้าจวนโหว นางจะต้องทนผ่านฤดูหนาวนี้ไปไม่ได้แน่ๆ ไม่หนาวตายก็ต้องหิวตาย จวนโหวกับคุณชายสี่ช่วยชีวิตนางไว้ ตลอดชีวิตนี้นางจะจำไว้ในใจ
บนใบหน้าหลี่จื้อปรากฎความชื่นชมหลายส่วน ถามต่อ “พี่รองเจ้าเล่า เหตุใดถึงไม่อยู่ในครัว”
หลี่เสี่ยวเม่ยก็ยิ่งดีใจ “พี่รองถูกผู้ดูแลชวี เรียกตัวไปแล้ว เขาบอกว่าพี่รองความจำดีจึงขอตัวพี่รองไป ตอนนี้พี่รองเป็นเด็กรับใช้ประจำกายผู้ดูแลชวีอยู่ คนในครัวต่างก็บอกว่าผู้ดูแลชวีจะบ่มเพาะพี่รอง พี่ใหญ่ๆ หลังจากนี้พี่รองจะกลายเป็นผู้ดูแลร้านด้วยหรือไม่” หลี่เสี่ยวเม่ยดีใจจนหน้าแดงแล้ว ในใจนางผู้ดูแลร้านก็ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งแล้ว เมื่อพี่รองได้เป็นผู้ดูแลร้าน พวกเขาก็ไม่ต้องอดข้าวและทนหนาวแล้วใช่หรือไม่
หลี่จื้อไม่คิดว่าน้องรองของเขาจะดวงดีเช่นนี้ ผู้ดูแลชวีเป็นใคร นั่นคืออาจารย์เรือนบัญชีอันดับหนึ่งใต้บังคับบัญชาคุณชายสี่ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเขาคือถุงเงินของคุณชายสี่ น้องรองถูกเขาเรียกตัวไปได้ ต่อให้จะเป็นเพียงเด็กรับใช้วิ่งยกน้ำชาคนหนึ่ง แต่นั่นก็คือที่พึ่งพิงที่บรรพบุรุษตระกูลหลี่ของพวกเขาได้สร้างบุญสร้างกุศลไว้
“ดีๆๆ” หลี่จื้อกล่าวชมติดๆ กัน “พวกเจ้าสบายดีข้าก็วางใจ ข้าไม่ไปหาพี่รองของเจ้าแล้ว ครั้งหน้าเจ้าเจอเขาต้องบอกเขา บอกตามที่ข้าพูด ให้เขารับใช้ผู้ดูแลชวีให้ดี ตั้งใจเรียนรู้ ต่อให้จะเรียนรู้ได้แค่การอ่านสีหน้าก็เพียงพอให้เขาใช้ไปทั้งชีวิตแล้ว อย่าทะนงตนเป็นอันขาดรับผิดชอบหน้าที่ให้ดี”
เวลาของเขาล้ำค่า เขาไม่เหมือนฟังจงหลี่ที่เรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็กเหล่านั้น เขาเพียงแค่ทยอยเรียนในโรงเรียนมาได้สองปี รู้อักษรเพียงเล็กน้อย อ่านตำราพิชัยสงครามทีหนึ่งก็เหนื่อย จับพู่กันเขียนก็ยิ่งทำไม่ได้
หากคิดจะพัฒนา คิดจะแสดงความสามรถออกมาให้สายตาของคุณชายสี่จับจ้องอยู่บนตัวเขามากขึ้น เขาก็ทำได้เพียงทุ่มเทมากกว่าคนอื่นสิบเท่า ขยันมากกว่าสิบเท่า คนอื่นนอนหลับ เขาก็นั่งอยู่ข้างเตียงอ่านสำนวนที่เข้าใจยากในตำราพิชัยสงครามทีละคำทีละประโยคกับแสงจันทร์ คนอื่นพักผ่อน เขาก็ยังออกหมัดแกว่งดาบเหงื่อท่วมตัวอยู่ในสนามฝึก คนอื่นพูดคุยเฮฮา เขาก็เก็บกิ่งไม้มาฝึกเขียนอักษรบนพื้น
ตั้งแต่ที่ได้เห็นลายมือที่ทรงพลังและเข้มแข็งมีกำลังของคุณชายสี่นั้นแล้ว เขาก็ตั้งปณิธานว่าจะต้องฝึกเขียนให้ดี คุณชายสี่ชื่นชมคนแบบใด เขาก็จะพยายามทำให้ตนเองมีคุณสมบัติแบบนั้น เขาไม่อาจทำให้คุณชายสี่ผิดหวังได้