ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 176-1 ชัยชนะสุดท้าย
เสิ่นเวยกับสวีโย่วและคนอื่นๆ ปลอมตัวเป็นทหารองครักษ์ตามองค์ชายรองเข้าพระราชวังซีเหลียงอย่างเปิดเผย ทหารที่เฝ้าประตูเคารพมากเป็นพิเศษ แม้แต่มองยังไม่กล้ามองก็เปิดทางให้แล้ว ทำให้เสิ่นเวยตกใจจนพูดไม่ออก องค์ชายรองผู้นี้พ่ายแพ้กลับมาแต่ยังมีอานุภาพถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดถึงความยิ่งใหญ่ของอำนาจเบื้องหลัง ดูท่าแล้วคงต้องเก็บเขาไว้ก่อนจึงจะดี
มีองค์ชายรองไม่ได้ความด้อยฝีมือผู้นี้อยู่ ไม่นานประมุขซีเหลียงก็ตกอยู่ในกำมือของเสิ่นเวยและ
สวีโย่ว เขามองลูกชายคนรองของตนอย่างเหลือเชื่อ “ฮุยเอ๋อร์เจ้า?” ในสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
องค์ชายรองเองก็โง่เขลา บอกว่าแค่เข้าวังเที่ยวหนึ่งมิใช่หรือ เมื่อได้สติกลับมาก็พบว่าตนถูกหลอกเข้าแล้ว โมโหจนด่าประณาม “พวกเจ้า…”
เสิ่นเวยรีบตบเขาทันที ชิงพูดก่อน “ต่อให้พวกข้าบีบบังคับท่านแล้วอย่างไร ใครใช้ให้ท่านโง่เล่า” คนโง่ที่มีประโยชน์เช่นนี้ยังต้องเก็บไว้ก่อน ไม่อาจทำให้ประมุขซีเหลียงเกิดความคิดสังหารได้ ดูสิว่านางใจดีเพียงใด หาข้ออ้างปัดความรับผิดชอบแทนเขาเสร็จสรรพ คนโง่หลอกง่ายมักจะดีว่าคนที่ซ่อนจิตใจชั่วร้ายทรยศประมุขไม่ใช่หรือ
คราวนี้องค์ชายรองกลับปราดเปรียวอย่างไม่น่าเชื่อ โมโหคำรามจะโผเข้ามา “พวกเจ้าปล่อยเสด็จพ่อข้า พวกเจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าจะไม่ทำร้ายเสด็จพ่อข้า พวกเจ้าเชื่อไม่ได้ ข้าจะสู้กับพวกเจ้า”
ด้วยกระบวนท่าที่ไม่ได้เรื่องนั่นของเขา ซ้ำขายังบาดเจ็บหนึ่งข้าง จะทำอะไรได้ ถูกโอวหยางไน่ถีบออกไปชนกำแพงไกลๆ ศีรษะก็เซ หมดสติไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าหมดสติจริงหรือแสร้งหมดสติ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนเสิ่นเวยก็รู้สึกว่าควรชมเขาสักหน่อย
เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความไม่ได้เรื่องจริงๆ!
ดวงตาประมุขซีเหลียงหดเล็กลง “ฮุยเอ๋อร์!” หันหน้ากลับไปตะคอก “พวกเจ้าทำอะไรเขา” อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงบุตรชายที่ตนรักทะนุถนอมมายี่สิบปี เขายังคงมีความผูกพันอยู่มากอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยยักไหล่อย่างไม่สนใจ “ไม่เชื่อฟัง สั่งสอนสักหน่อยก็แค่นั้น! แต่ว่าประมุขโปรดวางใจ องค์ชายรองเพียงแค่สลบไป ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“พวกเจ้าเป็นโจรฝั่งใด คาดไม่ถึงว่ากล้าบุกพระราชวังข่มขู่ข้า! อยากตายหรือไร” ประมุขซีเหลียงกลับไม่สะทกสะท้าน
เสิ่นเวยกับสวีโย่วสบตากันปราดหนึ่ง มีความสุขจนทนแทบไม่ไหวแล้ว ประมุขซีเหลียงโง่งมจริงๆ มีอะไรไม่กล้า เขากลายเป็นตัวประกันในมือคนอื่นแล้วไม่ใช่หรือ กระบี่จ่ออยู่ที่คอแล้วไม่เห็นหรือ
ประมุขซีเหลียงเห็นเสิ่นเวยและคนอื่นๆ ไม่ขยับ แววตาก็ดับมืดเปลี่ยนท่าที ปั้นหน้าเป็นมิตรกล่าว “นักรบทุกท่านต้องการความช่วยเหลือหรือ ขอเพียงแค่ข้าน้อยช่วยได้ก็เชิญพูดมาเลย”
ฮ่าๆ รู้จักอ่านสถานการณ์จริงๆ! เมื่อครู่ยังพูดว่าข้าอยู่เลย เห็นท่าไม่ดีก็เปลี่ยนเป็นข้าน้อยทันที นางพูดได้หรือไม่ว่าคนแบบนี้ที่จริงแล้วนางชอบยิ่งนัก
เสิ่นเวยยกมุมปาก “มีเรื่องที่ประมุขช่วยได้จริงๆ ประมุขได้โปรดไปเป็นแขกกับพวกข้าสักเที่ยวหนึ่งเถอะ ถือโอกาสได้ดูลูกชายคนโตที่เดือดดาลผู้นั้นของท่านก่อกรรมทำชั่วด้วย” เจ้าบอกว่าเจ้าอยู่ดีกินดี ขาดแคลนของก็คิดหาวิธีเอาเอง คิดแต่จะแย่งของคนอื่น ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน
“พวกเจ้าเป็นคนต้ายงหรือ” ประมุขซีเหลียงหวาดกลัวในใจขึ้นมาทันที ดวงตามีความไม่เข้าใจแวบผ่าน
เสิ่นเวยดีดนิ้ว “ถูกต้อง ทายถูกแล้ว! น่าเสียดายที่ไม่มีรางวัล ข้าขอแนะนำให้ประมุขให้ความร่วมมือจะดีกว่า เลี่ยงไม่ให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ”
เห็นเขามองออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง เสิ่นเวยก็หัวเราะเยาะกล่าว “ประมุขยังรอกองทัพองครักษ์ของท่านอยู่ใช่หรือไม่ ขออภัยจริงๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาไม่ได้แล้ว”
ราวกับต้องการยืนยันคำพูดของนาง ข้างนอกก็มีเสียงตะโกนฆ่าและเสียงดาบกระบี่ต่อสู้กันดังขึ้นมา อ้อ ยังมีเสียงระเบิดที่ดังลั่นจนทำให้คนหูหนวกได้อีกด้วย
“นี่ นี่มันเสียงอะไร” นี่คือพลสวรรค์อาวุธวิเศษอะไรกันแน่ ประมุขซีเหลียงสงสัยไม่มั่นใจ แม้แต่เสียงยังสั่นเครือ เขารู้สึกว่าพระราชวังทั้งหมดกำลังสั่นสะเทือน
เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ “เพียงแค่ประทัดฉบับเพิ่มประสิทธิภาพ วันนี้เป็นวันดี ควรฉลองสักหน่อย”
สองพี่น้องเจียงเฮยเจียงไป๋กับโอวหยางไน่ที่อยู่ตรงนั้นก่ายหน้าผากพร้อมกัน ของที่สามารถระเบิดพื้นเรียบเป็นหลุมลึกเท่าตัวคนได้เรียกว่าประทัดหรือ คุณหนูสี่หยอกคนเก่งจริงๆ
อันที่จริงเสิ่นเวยน้อยใจยิ่งนักรู้หรือไม่ หนึ่งผงถ่าน สองกำมะถัน สามเชื้อเพลิง นี่ไม่ใช่ส่วนประกอบในการทำประทัดหรือไร เพียงแค่เปลี่ยนอัตราส่วนแล้วถูกนางนำมาทำเป็นดินปืนก็เท่านั้นเอง ฟังจากเสียงก็ดังพอสมควร แต่อานุภาพกลับยังไม่ได้ ด้อยกว่าชนวนระเบิดในยุคปัจจุบันมาก ทำได้เพียงเรียกว่าเป็นประทัดที่เพิ่มประสิทธิภาพ พอเอามาใช้แก้ขัดได้
ข้างนอกเสิ่นหู่โถวและคนอื่นๆ ที่ถือระเบิดมืออย่างง่ายๆ โยนเข้าไปกลางกองทัพซีเหลียงต่างก็ปากอ้าตาค้างแล้ว นี่…พลังทำลายล้างของอาวุธชนิดใหม่ที่คุณหนูให้มาดูจะแรงเกินไปหน่อยหรือไม่ กองทหารองครักษ์สิบกว่าคนที่วิ่งเข้ามากลายเป็นศพลอยกระจายในชั่วพริบตา แม้แต่เรือนยังถล่มทลาย
กองทหารองครักษ์ซีเหลียงตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน ของกลมๆ ดำๆ นั้นคืออะไร เหตุใดถึงรุนแรงเพียงนี้ ความกล้าหาญหายไปหมดแล้ว แน่นอนว่าไม่มีใจจะสู้รบอีกแล้ว
หลังโยนระเบิดมือผ่านไปพักหนึ่ง ไม่เพียงแต่กองทหารองครักษ์ซีเหลียงที่ล้มเกลื่อนพื้น แม้แต่เรือนตำหนักต่างก็ถล่มลงไม่น้อย ฉวยโอกาสช่วงชุลมุนเสิ่นเวยก็นำคนกวาดล้างพระราชวังซีเหลียง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนสำคัญของซีเหลียงก็ถูกจับตัวไปด้วยเช่นกัน จับมัดโยนขึ้นม้าพาออกไปตอนกลางคืน เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตหรูหราเหล่านี้ไหนเลยจะเคยถูกทรมานเช่นนี้มาก่อน ยังออกไปได้ไม่ถึงครึ่งลี้ก็โคลงเคลงจนเวียนศีรษะหน้ามืดไปแล้ว
องค์ชายใหญ่ซีเหลียงยืนอยู่ในสนามรบจ้องมองกำแพงเมืองต้ายงข้างหน้านิ่ง บนใบหน้าค่อยๆ มีสีปรากฏขึ้นช้าๆ ดีจริงๆ ทหารชายแดนต้ายงหมดกำลังแล้ว โจมตีอีกหนึ่งวันคาดว่าน่าจะทำลายกำแพงเมืองได้ อย่างไรเสียเสิ่นผิงยวนก็แก่แล้ว คิดจะตีเมืองชายแดนซีเจียงให้แตก นำกองทัพใหญ่ลงไปทางตะวันออก จากนั้นค่อยเข้าไปยังที่ราบลุ่มตอนกลางอันงดงาม มีผ้าไหมนุ่มลื่น มีเงินทองเครื่องหยก มีอาหารสมบูรณ์ มีเครื่องเคลือบลายครามอันประณีต ยังมีสตรีที่สวยงามผิวขาวผ่อง…เป็นของเขาทั้งหมด เป็นของเขาทั้งหมด
สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาพอใจก็คือ ในที่สุดเขาก็รบชนะเสิ่นผิงยวนศัตรูเก่าได้แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าสุนัขจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้เคยนำความหวาดกลัวเช่นไรมาให้เขาในวัยเด็ก ช่วงเวลาสิบปีเขาแข็งแกร่งขึ้นช้าๆ แต่ศัตรูของเขากลับแก่ลงทุกวันๆ ในที่สุดก็จะตายอยู่ในมือเขาแล้ว ยังมีอะไรน่าชื่นใจไปมากกว่านี้อีก
คราวนี้เขาจะต้องสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ ราชบัลลังก์ของเสด็จพ่อนอกจากเขาแล้วจะยังมีใครหน้าไหนกล้าแย่งได้อีก เขาจะต้องนำซีเหลียงเดินไปบนทางที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร บนหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ของซีเหลียงในอีกพันปีร้อยปีข้างหน้าจะต้องจารึกคุณงามความดีของเขา ชื่อของเขาจะคงไว้ตลอดกาล!
คิดถึงสิ่งเหล่านี้ รอยยิ้มบนใบหน้าองค์ชายใหญ่ซีเหลียงก็ยิ่งกว้าง
ตอนที่เสิ่นเวยจับตัวประมุขซีเหลียง องค์ชายต่างๆ และขุนนางทั้งหลายของซีเหลียงขึ้นไปบนยอดกำแพงเมือง ไม่เพียงแต่ทหารชายแดนต้ายงที่ตะลึงงัน แม้แต่องค์ชายใหญ่ซีเหลียงเองก็ตะลึงงัน เสด็จพ่อของเขาอยู่ในพระราชวังซีเหลียงดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ เหตุใดถึงถูกต้ายงจับเป็นเชลยศึกแล้วเล่า ต้ายงมีความสามารถมากเช่นนี้ได้อย่างไร จู่ๆ เขาก็นึกถึงสายตาที่เย็นเยียบคู่นั้นได้แล้ว
ฟังต้าฉุยดีใจ สายตาที่มองเสิ่นเวยเอ็นดูยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ “คุณชายสี่ ชั่วชีวิตนี้ของเหล่าฟังนอกจากท่านโหวแล้วก็ไม่เคยน้อมรับใครมาก่อน ตอนนี้มีท่านเพิ่มอีกคนแล้ว คุณชายสี่ท่านเก่งจริงๆ ไม่นึกว่าจะกวาดล้างเมืองหลวงซีเหลียงได้” ฟังต้าฉุยฉีกปากยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง
จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังบอกล่างกำแพงเมือง “นี่เจ้าเด็กซีเหลียง พ่อกับพี่น้องเจ้าอยู่ในมือพวกข้าแล้ว รีบปลดธงยอมแพ้เสียเถอะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจเ**้ยมอำมหิต ฮ่าๆ!” เขาแหงนหน้าหัวเราะร่า ปลดปล่อยความอัดอั้นหลายวันมานี้ออกมาจนหมด “พวกลูกสุนัขซีเหลียงทั้งหลาย เบิกตาดูสุนัขของพวกเจ้าเสีย ประมุขของพวกเจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว ถอยไป ถอยไป ถอยไปให้หมด มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าปล่อยใต้เท้าประมุขของพวกเจ้าเลือดไหลตาย”
ทหารยศน้อยข้างล่างไหนเลยจะเคยเห็นประมุข แต่ว่าคนผู้นั้นที่กำลังจะถูกฆ่าบนยอดกำแพงเมืองสวมชุดกษัตริย์ซีเหลียงทั้งร่าง ศีรษะก็สวมมงกุฎที่พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี คนอื่นๆ ที่ถูกจับก็สวมเครื่องแต่งกายของซีเหลียง ในใจก็เชื่อไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพียงแต่องค์ชายใหญ่ไม่ออกคำสั่งถอยทัพ พวกเขาก็ไม่กล้าถอยเองโดยพลการ แต่ละคนๆ อ้าปากตะลึงอยู่กับที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เหล่าทหารยศน้อยไม่เคยเห็นประมุข แต่องค์ชายใหญ่จะไม่รู้จักเสด็จพ่อพี่น้องของตัวเองได้ด้วยหรือ ยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ซีเหลียงที่เรียงแถวคอตกเหล่านั้นอีก มีหลายคนที่ปกติหยิ่งผยองทะนงตน เห็นเขาทีไรก็เชิดหน้าสูง ตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาพจนตรอกกลายเป็นนักโทษของคนอื่น ประหนึ่งนกกระทา
สีหน้าองค์ชายใหญ่ดูไม่ดีอย่างยิ่ง มารดาเขาสิ คนเหล่านี้เป็นอะไรไป ข้าขายชีวิตสู้เป็นสู้ตายอยู่ข้างนอก ชั่วพริบตาชัยชนะก็อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่รังกลับถูกคนกวาดล้าง แม้แต่ประมุขของแคว้นยังถูกคนจับเป็นเชลย ไม่ได้หวังว่าคนเหล่านั้นจะมาช่วย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อย่ามาเป็นตัวถ่วงเขา! เขาไม่ยอม ไม่ยอม!
เสด็จพ่อของเขาถ่วงดุลอำนาจเก่งมิใช่หรือหรือ น้องชายเหล่านั้นของเขาโอ้อวดว่าฉลาดมากความสามารถมิใช่หรือ เหตุใดถึงกลายเป็นนักโทษของคนอื่นได้เล่า
องค์ชายใหญ่ซีเหลียงโกรธจนกัดฟันกรอด เรือล่มเมื่อจอด เรือล่มเมื่อจอด!
“องค์ชายใหญ่ ท่านต้องคิดให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวของท่าน” กุนซือชาวฮั่นข้างกายกล่าวเตือนเสียงเบา “ขี้ขลาดมิใช่ลูกผู้ชาย ใจเสาะมิใช่ชายชาตรี ผู้กระทำการณ์ใหญ่ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย”
แววตาขององค์ชายใหญ่มีแสงสลัวกะพริบผ่าน เขาเม้มริมฝีปากแน่นดวงตาที่ราวกับเหยี่ยวจ้องมองยอดกำแพงเมือง หมัดข้างลำตัวกำไว้แนบแน่น
บนยอดกำแพงเมืองนั้น ศัตรูเก่าของเขา ชายแก่หนวดขาวผู้นั้นกำลังยืนหลังตรงมือไพล่หลัง ดวงตาที่เปี่ยมวิสัยทัศน์อ่อนโยนเจือจาง เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ทั้งสองคนมีดวงตาแบบเดียวกัน มองดูก็รู้ว่าเป็นญาติในสายโลหิต ดวงตาที่เย็นเยียบไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวคู่นั้นทำให้ดวงตาองค์ชายใหญ่หดลงอย่างไม่รู้ตัว
เป็นเขา เด็กหนุ่มที่เกือบจะยิงธนูพรากชีวิตเขาผู้นั้น! ที่แท้แล้วเขาก็เป็นลูกหลานของตาแก่เสิ่นผิงยวน องค์ชายใหญ่แทบจะกระอักเลือด อุตส่าห์ทนรอจนเสิ่นผิงยวนแก่ชรา แต่ลูกหลานของเขากลับกลายเป็นฝันร้ายของตน!
ฟังต้าฉุยเห็นองค์ชายใหญ่ซีเหลียงไม่ออกคำสั่งถอยทัพ สายตาที่มองประมุขซีเหลียงก็มีเจตนาร้ายขึ้นมาทันที กล่าวยั่วยุ “ใต้เท้าประมุข บุตรชายคนโตของท่านคล้ายไม่ได้สนใจความเป็นความตายของท่าน หากเป็นต้ายงของพวกข้าก็ถือว่าอกตัญญูยิ่งนัก ชาติที่แล้วท่านก่อกรรมทำชั่วไปมากเพียงใดถึงได้ลูกอกตัญญูเช่นนี้มา”
ในใจประมุขซีเหลียงเองก็ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ประมุขของแว่นแคว้นผู้ยิ่งใหญ่กลับกลายเป็นนักโทษ ซ้ำยังถูกคนจับมาข่มขู่ลูกชายตนเอง ความรักในศักดิ์ศรีตนเองของผู้เป็นประมุขทำให้เขาอยากจะตายเสียตอนนี้ยังดีกว่า
“เผิงเอ๋อร์ พ่อ…” แววตาเขาคลุมเครือ อยากตะโกนอะไรบางอย่าง แต่เมื่ออ้าปากแล้วลำคอกลับคล้ายถูกอุดไว้ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาพยายามจะยืดอกขึ้น แต่ดาบใหญ่ที่จี้คออยู่กลับทำให้เขาจำใจต้องค้อมหลังลง เขาอยากบอกลูกชายว่าไม่ต้องสนใจเขา โจมตีเมืองต่อได้เลย แต่เมื่อเวลาแห่งความตายใกล้เข้ามาเขากลับขลาดกลัว
ตายแล้วทุกอย่างก็จบสิ้น แว่นแคว้นของเขา ขุนนางของเขา อำนาจของเขา เงินทองของเขา หญิงงามของเขา…หมดลงทั้งสิ้น
ไม่ เขาไม่อยากตาย เขาต้องมีชีวิตอยู่ เขาต้องมีชีวิตเพื่อเสพสุขทั้งหมดนี้
“เสด็จพ่อ!” องค์ชายใหญ่เห็นเสด็จพ่อถูกสบประมาทเช่นนี้ก็โมโหเดือดดาล ดวงตาแดงก่ำ ตวาดด้วยความโกรธ “ถอยทัพ! ถอยทัพ! ยอมแพ้แล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว ตาเฒ่าเสิ่นผิงยวนรีบให้คนปล่อยเสด็จพ่อข้าเดี๋ยวนี้ ห้ามทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่นิ้วมือเดียว”
คำตอบที่เขาได้รับคือเสิ่นเวยถีบประมุขซีเหลียงหนึ่งครา เสียงที่เย็นยะเยือกของนางดังก้องสนามรบกว้างใหญ่ “หลี่หยวนเผิงเจ้าพูดให้ดีๆ หน่อย หากไม่เคารพท่านปู่ข้าอีกล่ะก็ ข้าจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด ข้ายิงธนูใส่เจ้าได้ ก็ยิงธนูสิบดอกร้อยดอกฆ่าเจ้าได้เหมือนกัน หากไม่เชื่อก็มาดูฝีมือของจริงในสนามรบ”
มารดาเขาสิ กล้าหือกับข้าหรือ อยากตายหรือไร! หากไม่ใช่ว่าไม่อยากสูญเสียทหารชายแดนอีก ข้าจะไม่พักรบกับพวกเจ้าหรอก ข้าจะตีไปถึงแคว้นซีเหลียงของพวกเจ้า ล้างแคว้นผลาญเผ่าพันธุ์เจ้าเสีย!
สบสายตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้น องค์ชายใหญ่ซีเหลียงก็หวาดกลัวสามส่วนอย่างไม่มีเหตุผล
“องค์ชายใหญ่ ท่านคิดให้ดี!” กุนซือชาวฮั่นยังคงโน้มน้าวต่อ
ทว่าองค์ชายใหญ่กลับยกมือห้ามเขา “เจ้าไม่ต้องพูด ข้าตัดสินใจแล้ว เสด็จพ่อกับเหล่าน้องชายขุนนางสำคัญ ถอยทัพ”
เขาจะไม่สนใจชีวิตของเสด็จพ่อและคนอื่นๆ แล้วเลือกโจมตีเมืองต่อก็ได้ แต่ทหารซีเหลียงหลายหมื่นนายต่างก็มองอยู่ เขาจะยังบัญชาการให้เคลื่อนทัพได้อยู่หรือ แม้จะคว้าชัยกลับไป แต่ประชาชน
ซีเหลียงจะมองเขาอย่างไร เขาทะเยอทะยาน อยากเป็นประมุขของซีเหลียง ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดจะเป็นจักรพรรดิเผด็จการที่ไม่ได้ใจประชาชน
กุนซือชาวฮั่นไม่ได้โน้มน้าวต่อ แต่ในใจกลับเสียดายอย่างถึงที่สุด แต่ไหนแต่ไรมากษัตริย์องค์ใดบ้างที่ไม่ได้เหยียบกระดูกขาวนับไม่ถ้วนเพื่อปีนขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ จิตใจองค์ชายใหญ่ยังโหดเ**้ยมไม่พอ
ในที่สุดสงครามของต้ายงกับซีเหลียงก็จบลง หิมะที่หนักที่สุดตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมาในที่สุดก็ตกลงแล้ว เกล็ดหิมะใหญ่ราวกับขนห่าน ล่องลอยปลิวปลิด เร็วอย่างยิ่งก็ปกคลุมผืนดินใหญ่เป็นสีขาวโพลน
ประชาชนเมืองชายแดนพากันวิ่งออกจาบ้าน กระโดดโลดเต้น โห่ร้องยินดีท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก ท้ายที่สุดแต่ละคนกลับคุกเข่าลงบนพื้นหิมะสะอึกสะอื้นไห้ พวกเขาร่ำไห้ให้ญาติที่เสียไปในสงคราม ร่ำไห้ที่ในที่สุดก็ปกป้องบ้านเมืองไว้ได้แล้ว ร่ำไห้ที่สงครามสิ้นสุดลงเสียที ความหวังอยู่ตรงหน้าแล้ว