ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 178-1 ระหว่างทาง
การออกเดินทางในยุคโบราณไม่ง่ายเหมือนยุคปัจจุบัน เพียงแค่เก็บของก็วุ่นไปสองวันแล้ว ขามาเสิ่นเวยเอาเสื้อผ้ามาเพียงสองชุดใส่สลับกัน ขากลับเพียงแค่ของส่วนตัวของนางก็ปาเข้าไปสองคันรถแล้ว บวกกับสิ่งของเงินทองที่ซีเหลียงส่งมา ทรัพย์สินส่วนตัวที่ท่านเสิ่นโหวสะสมมาครึ่งชีวิต ของที่ทหารประชาชนเมืองชายแดนส่งมา ของมากมายมหาศาลรวมกันแล้ว โอ ขบวนรถเรียงยาวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า
ขนเงินทองและของมีค่ามากมายเพียงนี้ไปด้วย ความปลอดภัยระหว่างทางย่อมต้องให้ความสำคัญ นอกจากกำลังคนของเสิ่นเวยกับสวีโย่วแล้ว ท่านเสิ่นโหวยังเลือกกองกำลังทหารห้าร้อยนายในกองทัพมาคุ้มกันส่งอีกด้วย ขบวนทัพนี้ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง เสิ่นเวยคิดว่าคงจะไม่มีคนโง่ที่ไหนกล้าดักปล้นกลางทาง แต่ใครจะรู้ว่าดันเจอคนโง่เข้าเสียแล้ว
เพราะว่าคุ้มกันส่งของเยอะเพียงนี้ ดังนั้นจึงเดินทางได้ช้าอย่างถึงที่สุด เย็นวันนี้ กองทัพเพิ่งจะตั้งค่ายพัก ยังไม่ทำได้ก่อไฟทำอาหารก็ถูกลูกธนูที่ไม่รู้ว่ายิงมาจากไหนจู่โจมเข้าแล้ว
พื้นที่ตั้งค่ายกว้างโล่งอย่างถึงที่สุด นอกจากจะมีแม่น้ำอยู่ไม่ไกลแล้ว แม้แต่ต้นไม้เป็นที่กำบังยังไม่มี เจอลูกธนูที่ลอยมาอย่างหนาแน่น ซ้ำยังต้องคุ้มกันของบนรถ ทุกคนก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
เสิ่นเวยไม่ได้สนใจ ต่อให้เงินทองจะดี ไหนเลยจะมีค่าเท่าชีวิตคน
“เร็ว รีบไปซ่อนหลังรถ ใช้รถบัง ตีโต้ตอบ” เสิ่นเวยตะโกนเสียงดังหนึ่งครา ดึงชวีไห่และหมอหลิวไปหลบอยู่ข้างหลังรถ สั่งห้ามพวกเขาสองคนออกไป ตนคว้าธนูหนึ่งคันจากนั้นก็ยิงออกไป ได้ยินเพียงสียงลูกธนูแทงเข้าเนื้อเบาๆ ในพุ่มหญ้าตรงหน้าเคลื่อนไหวเล็กน้อย
เสิ่นเวยเห็นเหตุการณ์นี้ ก็ตะคอกเสียงดังทันที “ยิงไปในหญ้า พวกเขาหลบอยู่ในพงหญ้า!”
มีที่กำบัง ซ้ำยังหาเป้าหมายเจอแล้ว ความกดดันก็ลดลงไปอย่างมากในชั่วพริบตา แต่เสิ่นเวยก็ยังคงไม่กล้าชะล่าใจ ชัยชนะยิ่งใหญ่ของซีเจียงใครบ้างไม่รู้ ตลอดการเดินทางพวกเขาเปิดเผยฐานะ ระหว่างทางก็มีขุนนางไม่น้อยเข้ามาคารวะ เหตุใดมาถึงที่นี่กลับมีคนลงมือกับพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัวเลยเล่า ไม่กลัวจักรพรรดิลงโทษหรืออย่างไร
ท่านเสิ่นโหวกับหย่งติ้งโหวเองก็เห็นความผิดปกติแล้ว ทั้งสองสบตากับปราดหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างถึงที่สุด “เสิ่นโหว หากข้าดูไม่ผิด นี่น่าจะเป็นลูกธนูของกองทัพ” หย่งติ้งโหวหยิบลูกธนูหนึ่งดอกมาดูอย่างละเอียด แม้ว่าบนลูกธนูจะอำพราง แต่อย่างไรเสียหย่งติ้งโหวก็เป็นคนที่เคยนำทัพมาก่อน ยังคงมองออกในปราดเดียวว่านี่คือลูกธนูที่ใช้ในกองทัพ
หย่งติ้งโหวยังดูออก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงท่านเสิ่นโหวที่อยู่ในกองทัพมาตลอดทั้งปี คนที่สามารถสั่งการในกองทัพได้ เป็นกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหรือ ท่านเสิ่นโหวกับหย่งติ้งโหวหรี่ตาลงพร้อมกัน ในใจมีความรู้สึกไม่ดี ใครกัน ใครกันที่กล้าถึงเพียงนี้ จงใจหาเรื่องพวกเขายังไม่เท่าไร แต่เก็บลูกท้อของจักรพรรดิอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ก็น่าใคร่ครวญอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยเองก็พบความผิดปกติแล้ว แม้ว่านางจะไม่รู้จักลูกธนูของกองทัพ แต่คนกลุ่มนี้ที่โจมตีพวกเขาก็ดูจะฝึกฝนมาดีเกินไปหน่อย ความรู้สึกที่นางสัมผัสได้คุ้นเคยอย่างยิ่ง คล้ายกับว่ามาจาก…กองทัพ
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในหัว สีหน้าท่าทางทั้งร่างของเสิ่นเวยก็เปลี่ยน จู่ๆ ก็นึกถึงมือสังหารที่ตนเจอในหมู่บ้านครั้งนั้น สัญชาตญาณบอกนางว่าสองเหตุการณ์นี้อาจจะเกี่ยวเนื่องกัน
“คุณชายสี่ คุณชายของพวกเราบอกให้ท่านระวังตัว ฝ่ายตรงข้ามเหล่านั้นน่าจะมาจากกองทัพ” เจียงเฮยคลำทางมากล่าวกับเสิ่นเวยด้วยสีหน้าจริงจัง
การคาดเดาในใจเสิ่นเวยได้รับการยืนยัน มองพุ่มหญ้าตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามีคนหมอบซุ่มอยู่เท่าไรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ารู้แล้ว เจ้ารีบกลับไปคุ้มกับคุณชายของพวกเจ้าเถอะ”
มาจากกองทัพ ยังซุ่มกำลังอย่างกล้าได้กล้าเสียเช่นนั้น จะต้องไม่กลัวการตรวจสอบเป็นแน่ แม้ว่าจะตรวจสอบ ก็ไม่อาจพบเจออะไรได้ เช่นนั้นก็มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว กองทัพส่วนตัว ใคร ใครมีอำนาจที่มากถึงเพียงนี้
ตอนนี้คิดหาวิธีรับมือก่อนดีกว่า ฝ่ายตรงข้ามหมอบซุ่มอยู่ในพงหญ้า ใช้เพียงธนูโจมตี ลูกธนูก็ยังแน่นขนัดอย่างยิ่ง คาดว่าน่าจะมีประมาณเกือบสามร้อยคน แต่ใครจะรู้ว่านี่คือกำลังคนทั้งหมดหรือไม่
ฝั่งเสิ่นเวยหลบอยู่หลังรถคอยตีโต้ตอบ กลับไม่ได้รับบาดเจ็บล้มตายมากนัก ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีกองกำลังหนุนอีกหรือไม่ พวกเขารั้งทัพรอบุกโจมตีเช่นนี้ใช่รอให้ถึงกลางคืนหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่เอื้อผลต่อเสิ่นเวยทั้งสิ้น เดินทางมาตลอดทั้งวัน ตอนนี้ทุกคนยังไม่ได้กินแม้แต่ข้าว คนล้าม้าเหนื่อย จะสู้ศัตรูที่รอซ้ำยามเปลี้ยได้อย่างไร
ไม่ได้ ไม่อาจยืดเยื้อต่อไปได้ ต้องออกโจมตีด้วยตัวเองจึงจะถูก ทั้งยังต้องส่งคนไปขอความช่วยเหลือ
“คุณชาย หากพวกเรายังมีระเบิดมืออยู่ก็คงดี” เถาฮวาพึมพำเสียงเบา
เสิ่นเวยตาลุกวาวในชั่วขณะ ระเบิดมือยังเหลืออยู่อีกหนึ่งลูก อย่างไรเสียนางก็ทำของชิ้นนี้เป็นครั้งแรก เก็บหนึ่งลูกไว้เป็นที่ระลึก แต่ว่าลูกนี้นางก็ยังตัดใจใช้ไม่ลง ใช้ธนูไฟก่อนแล้วกัน หากหลบอยู่ในพงหญ้าไม่ยอมออกมา เช่นนั้นข้าก็จะบังคับให้พวกเจ้าออกมาเอง ข้าไม่เชื่อว่าพงหญ้าไหม้หมดแล้วพวกเจ้าจะยังหมอบซุ่มได้อีก หากยังเป็นเต่านินจาได้อยู่ข้าก็นับถืออย่างยิ่ง
“ทั้งหมดฟังคำสั่ง ใช้ธนูไฟ” เสิ่นเวยออกคำสั่งหนึ่งครา นำคนเผาธนูไฟลุกโชนยิงออกไป
ได้ยินเพียงเสียง ‘ตู้ม’ คราหนึ่ง พุ่มหญ้าแห้งก็มอดไหม้ ชั่วพริบตาลุกลามเป็นผืนใหญ่ บนร่างคนในพุ่มหญ้าติดไฟ พากันปรากฎออกมา
โอ้โห ดีจริงๆ “เร็ว ยิงพวกเขา” ฉวยโอกาสตอนที่เขาหนีเอาชีวิตรอด ฉวยโอกาสตอนที่ศัตรูลุกลนดับไฟบนร่าง ทุกคนก็พากันเพ่งเล็งเป้าหมาย แต่ละคนยิงธนูสามดอกแล้วจึงคว้าอาวุธวิ่งพุ่งเข้าไป เปิดฉากการสู้รบทันที
คนที่หมอบซุ่มอยู่ในพุ่มหญ้าไม่ได้มีเพียงสามร้อยคนดั่งคาด คนข้างหลังเห็นข้างหน้าไฟไหม้ ไม่รอให้ธนูไฟยิงเข้ามาตนก็กระโดดออกมาแล้ว พลางช่วยเพื่อนทหารดับไฟ พลางยิงโต้ตอบฝั่งเสิ่นเวย
หญ้ารกร้างถูกเผาหมดแล้ว ลุกลามออกไปกว่าสิบจั้ง ไฟไหม้เยอะอย่างอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยกลับยังไม่วางใจ
ดีแล้ว ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เปรียบแล้ว ประจัญบานระยะใกล้ พวกเรามาสู้รบกับอย่างยุติธรรมสักครั้งเถอะ เสิ่นเวยไม่เคยคิดว่าฝ่ายตนที่ผ่านการฝึกฝนมาในสนามรบจะเป็นคู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
“ท่านปู่ ท่านคุมกองกำลัง ข้าจะไปสร้างคุณงามความดีให้ท่านเอง” เสิ่นเวยตะโกนดังหนึ่งคราจากนั้นก็ยกดาบหมื่นโลหิตวิ่งออกไปฆ่าแล้ว ยังไม่ลืมสั่งสอนเถาฮวาเทพสังหารตัวน้อยของนาง “เถาฮวา อีกประเดี๋ยวคอยหาโอกาสฆ่าคนให้ได้เยอะๆ คนเหล่านี้น่ารำคาญเกินไปแล้ว”
เถาฮวาแสยะปากถือเป็นการตอบรับคุณหนูของนางแล้ว ก็น่ารำคาญน่ะสิ แม้แต่ข้าวยังไม่ให้ข้ากินดีๆ เถาฮวาลูบท้องน้อยๆ ที่แบนเรียบ ตัดสินใจฆ่าพวกเขาให้หมด
คนชุดดำที่เพิ่งจะลนลานดับไฟบนร่างเห็นฝ่ายตรงข้ามมีเด็กน้อยบอบบางและเด็กที่ยังไม่โตวิ่งออกมา คนหนึ่งชูดาบใหญ่ คนหนึ่งกำกระบองเหล็กยาว มุมปากกระตุกไม่หยุด ฝ่ายตรงข้ามไม่มีคนแล้ว แม้แต่เด็กอ่อนแอยังส่งออกมาตายงั้นหรือ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเสียเปรียบ แต่เมื่อเห็นสองคนนี้ ท่าทีของชายชุดดำก็เหยียดหยามขึ้นมาทันที
ไม่แปลกที่พวกเขาจะทะนงตน พวกเขาเป็นคนชั้นยอดที่มาจากกองทัพ ตั้งแต่เข้าร่วมสงครามมาก็ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาจากกองทัพเหมือนกัน แต่ฝ่ายตนหมอบซุ่มล่วงหน้า ทั้งยังรอซ้ำยามเปลี้ย จำนวนคนก็พอๆ กัน จะยังแพ้ได้อย่างไร
แต่วินาทีถัดมาพวกเขาก็ไม่ทะนงตนอีกแล้ว เด็กอ่อนแอสองคนที่พวกเขาไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็ทำคนบาดเจ็บไปเจ็ดแปดคน ทั้งสองร่วมมือกันอย่างรู้ใจ คนหนึ่งทุบ คนหนึ่งฟัน โจมตีจุดสำคัญทั้งหมด กระบวนท่าแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ผู้ที่ถูกเลือกก็ร้องโอดครวญ ไม่ถูกทุบกระเด็นก็ถูกฟันเป็นสองซีก นี่ไหนเลยจะเป็นเด็กอ่อนแอ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเทพสังหารที่ไอสังหารพุ่งขึ้นฟ้าสององค์ต่างหาก
“คุณชาย คุณชาย คนเหล่านี้ฆ่าง่ายจริงๆ” เถาฮวาตะโกนอย่างมีความสุข ฆ่าง่ายจริงๆ กระบองของนางยังไม่ทันจะกวาดออกไป คนตรงหน้าก็ล้มลงแล้ว รับมือง่ายกว่าทหารซีเหลียงยิ่งนัก
ศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายเถาฮวาตามคุณหนูของนางไปจับประมุขซีเหลียงด้วย นางติดตามอยู่ข้างกายคุณหนู แม้แต่โอกาสลงมือยังชิงมาไม่ได้ หลังกลับมาก็ได้ยินทุกคนพูดคุยกันว่าในสนามรบฆ่าสนุกเพียงใด นางก็ไม่มีความสุขแล้ว ทั้งวันเอาแต่ดึงเสื้อเสิ่นเวยถามว่าเมื่อไรจะพานางไปฆ่าคนอีก เสิ่นเวยลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว สงครามจบสิ้นลงแล้ว นางจะไปหาคนที่ไหนมาให้นางฆ่าเล่น เลี้ยงเด็กน้อยที่ชอบฆ่าคนเล่นน่าปวดหัวจริงๆ เลย
ตอนนี้ดีแล้ว คนชุดดำเยอะเพียงนี้มาหาถึงหน้าประตู เถาฮวาก็เหมือนปลาที่กระโจนลงมหาสมุทรไม่ใช่หรือ ดีใจสุดขีด
เสิ่นเวยได้ยินคำพูดของเถาฮวา ก็อยากจะคุกเข่าให้นางจริงๆ กำลังของคนชุดดำเหล่านี้สูงกว่าทหารซีเหลียงไม่เพียงแค่หนึ่งขั้น เหตุผลที่เถาฮวารู้สึกรับมือง่าย ไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือจากนางหรอกหรือ มีทหารรับจ้างเช่นนางคอยปกป้องคุ้มกัน เถาฮวาจะไม่รู้สึกสบายราวกับตีตุ่นได้อย่างไร
คนที่อยากคุกเข่าเช่นเดียวกันยังมีคนชุดดำเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนชั้นยอดในกลุ่มคนชั้นยอดรู้หรือไม่ เหตุใดพอมาถึงปากเทพสังหารน้อยผู้นี้ถึงได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์เสียแล้วเล่า
ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่ใต้แสงสะท้อนของเปลวไฟกลับมองเห็นชัดเจนมากเป็นพิเศษ จู่ๆ เสิ่นเวยก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี การสังหารเป็นไปได้ด้วยดี แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าคนชุดดำเหล่านี้คล้ายกำลังถ่วงเวลาไม่ออกแรงเต็มแรงอยู่เล่า สองฝ่ายมาจากกองทัพทั้งคู่ กำลังไม่ควรต่างกันมากเพียงนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว พวกเขาไม่ได้ออกเต็มกำลัง เช่นนั้นพวกเขามีเจตนาอะไรอยู่
“เถาฮวา ถอย” เสิ่นเวยตัดสินใจถอยกลับมาทันที มือยังดึงเถาฮวาที่ดื้อดึงไม่ยอมไป ไม่มีตนอยู่ข้างกายนางไม่วางใจเถาฮวาอย่างยิ่ง สำหรับนางแล้วเถาฮวาเป็นเหมือนญาติ ไม่ยอมให้เกิดความสูญเสียใดๆ ได้
“ท่านปู่ ข้าคิดว่าผิดปกติมาก คนชุดดำเหล่านี้คล้ายกำลังรออะไรอยู่” เสิ่นเวยเอ่ยความสงสัยในใจตนออกมากับปู่นาง
“มีอะไรหรือเจ้าสี่” ท่านเสิ่นโหวรีบถาม แม้แต่หย่งติ้งโหวที่อยู่ข้างๆ ยังมองเข้ามาอย่างตื่นตระหนก
เสิ่นเวยขมวดคิ้ว ชี้สนามรบเล็กๆ ที่กำลังฆ่าฟันกันแล้วกล่าว “ท่านปู่ท่านไม่คิดว่ากำลังสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไปหรือ ท่านดูสิว่าพวกเขาป้องกันเป็นส่วนใหญ่ คนที่โจมตีเองกลับมีไม่เยอะ” หมอบซุ่ม แต่กลับไม่ออกแรงเต็มกำลัง นี่หมายความว่าอย่างไร
“เจ้าสงสัยว่าพวกเขาตั้งใจถ่วงเวลาหรือ คิดจะรอให้พวกเราหมดกำลังหรือ” หย่งติ้งโหวแย่งกล่าว
เสิ่นเวยหยักหน้า กล่าว “ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะมีกองกำลังหนุน คนเหล่านี้เป็นเพียงกลุ่มสำรวจเส้นทาง”
เสิ่นเวยพูดยังไม่ทันขาดคำ ท่านเสิ่นโหวและหย่งติ้งโหวก็หน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน “แย่แล้ว พวกเขามีกองกำลังหนุนจริงๆ” ทั้งหมดได้ยินเสียงกีบเท้าม้ารางๆ แล้ว
ม่านตาเสิ่นเวยหดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจจมดิ่งลงอย่างไม่รู้ตัว หากคนที่มาคือกลุ่มของคนชุดดำจริงๆ เช่นนั้นก่อนหน้านี้คนที่ออกไปขอความช่วยเหลือจะออกไปได้หรือ
“เจ้าสี่ ต้อนคนเข้าไปให้หมด จะต้องฆ่าคนพวกนี้ให้หมดก่อนที่กองกำลังหนุนจะมา” ท่านเสิ่นโหวพลางสั่ง พลางคว้าอาวุธของตัวเองออกมา นั่นคือดาบหนึ่งเล่ม ดาบที่ตัวดาบยาวและกว้างหนึ่งเล่ม หย่งติ้งโหวเองก็ชักกระบี่ล้ำค่าติดตัวออกมา
ก่อนหน้านี้กลัวว่าจะหลงอุบายของฝ่ายตรงข้าม จึงเหลือกำลังคนส่วนหนึ่งคุ้มกันข้างรถ ตอนนี้มาถึงจุดชี้เป็นชี้ตาย ใครจะยังสนใจของตายเหล่านั้นอยู่อีก หากพวกเขาคว้าชัยชนะได้ ของย่อมต้องปกป้องไว้ได้ หากสู้ไม่ได้ ฮ่าๆ คนก็ตายหมดแล้ว ใครจะยังสนใจอีกว่าของจะตกอยู่ในมือใคร