ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 181-1 วัดต้าเจวี๋ย
“เจ้าวิ่งสิ เจ้าวิ่งต่อสิ ให้อาหารเจ้ากิน ให้เสื้อผ้าเจ้าใส่ เลี้ยงเจ้าอย่างหรูหรา กลับกลายเป็นเลี้ยงคนเนรคุณเสียอย่างนั้น”
“ไม่ใช่เจ้าเก่งนักหรือ แม้แต่เจ้านายยังถูกเจ้าหลอก ยังคิดว่าเจ้าหัวไว ไม่นึกว่าเจ้าจะซ่อนความคิดชั่วช้า คิดจะหนีหรือ ในอาณาเขตของพวกข้าเจ้าจะวิ่งหนีไปไหนได้” หลังจากนั้นก็มีเสียงต่อยหมัดดังตุบตับ
“จุ๊ๆ ดูเนื้อหนังนี่สิ ดูใบหน้าเล็กๆ นี้ ดึงดูดใจจริงๆ ในเมื่อเจ้าไม่อยากใช้ชีวิตเหนือคนธรรมดา เช่นนั้นวันนี้ก็รับใช้พวกข้าก่อน หากรับใช้พวกข้าดี ไม่แน่ว่าอาจจะยังหาทางรอดให้เจ้าได้จริงๆ” ตามมาด้วยเสียงตบหน้า
“ใช่แล้วๆ พวกข้ายังไม่เคยเล่นกับของสวยๆ งามๆ เช่นนี้เลย ฮ่าๆ วันนี้พวกข้าก็ขอลิ้มรสของชั้นดีนี้เสียหน่อย ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจและหื่นกามแสบแก้วหูยิ่งนัก ฝ่ายตรงข้ามที่ถูกทุบตีและหยอกล้อกลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา เห็นได้ว่าเป็นคนที่ดื้อรั้นทีเดียว
นี่มันฉากหอนางโลมจับนางโลมที่หลบหนีหรืออย่างไร เสิ่นเวยกับเสี่ยวตี๋สบตากันปราดหนึ่ง ทั้งสองตกใจเล็กน้อย หอนางโลมที่ไหนกันทำตัวกำแหงเช่นนี้
ในเมื่อเจอแล้ว เช่นนั้นก็ช่วยคนเถอะ! เสิ่นเวยกับเสี่ยวตี๋คลำทางไปข้างหน้าเงียบๆ เห็นเพียงชายฉกรรจ์ในชุดจอมยุทธ์สามคนกำลังล้อมสตรีที่นั่งฟุบอยู่บนพื้นผู้หนึ่ง พูดจาลากมกหยาบคาย มีหนึ่งคนที่ถอดเสื้อผ้าออกแล้ว
เสิ่นเวยส่งสายตาให้เสี่ยวตี๋ เสี่ยวตี๋พยักหน้า ก้มตัวเก็บก้อนหินเล็กหนึ่งก้อนแล้วซัดออกไป โดนมือคนผู้นั้นที่ถอดเสื้อพอดี เขาร้องโอ๊ยเจ็บปวด “ใคร! ใคร!”
อีกสองคนที่เหลือก็มองมาทางฝั่งนี้อย่างตื่นตัว “ใคร ออกมา! หลบๆ ซ่อนๆ ใช่วีรบุรุษลูกผู้ชายที่ไหนกัน”
เสิ่นเวยกับเสี่ยวตี๋เดินออกมาจากความมืด ชายฉกรรจ์สามคนนั้นเห็นว่าคนที่มายุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นคุณชายน้อยตระกูลเศรษฐี จากนั้นก็เห็นว่าคุณชายน้อยพามาเพียงแค่เด็กรับใช้ร่างผอมบางคนหนึ่งก็วางใจลง
“ข้าว่าคุณชายท่านนี้อย่าได้ยุ่งเรื่องชาวบ้านเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้น…” คนผู้นั้นที่ถอดเสื้อเมื่อครู่แค่นเสียงหัวเราะเยาะ การข่มขู่ในคำพูดชัดเจนอย่างยิ่ง สองคนที่เหลือก็กอดอกหัวเราะเยาะเช่นกัน หนึ่งในนั้นยังกล่าว “พี่ใหญ่ ดูสิคุณชายน้อยผู้นี้ก็ผิวพรรณนุ่มละเอียดเหมือนกัน หรือว่าจะ?”
เจตนาร้ายอันโจ่งแจ้งนั้นทำให้เสี่ยวตี๋โมโหอย่างถึงที่สุด คาดไม่ถึงว่ากล้าไม่เคารพคุณหนู สมควรตาย! ร่างนางราวกับสายฟ้า ชายฉกรรจ์ในชุดชอมยุทธ์รู้สึกเพียงเบื้องหน้าวูบไหว คนที่เอ่ยปากหยาบคายผู้นั้นถูกตัดคอขาดล้มลงกับพื้นแล้ว
“นี่ก็คือจุดจบของผู้ที่ไม่เคารพคุณชายของข้า” เสียงที่เย็นยะเยือกของเสี่ยวตี๋ดังขึ้น
สองคนที่ยังเหลืออยู่ถอยไปข้างหลังสองก้าวใหญ่อย่างระมัดระวังทันที ความตื่นตัวในแววตามากอย่างยิ่ง “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ดูท่าแล้วคุณชายก็คงจะเป็นผู้มีความรู้ นี่เป็นเรื่องในบ้านของพวกข้า คุณชายทำเป็นไม่เห็นจะดีกว่า เมื่อครู่พี่ชายผู้นี้ของข้าเสียมารยาท บ่าวของคุณชายก็ลงโทษเขาแล้ว พวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อย่าได้ผูกอาฆาตต่อกันเลยจะดีกว่า”
เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งครา พัดพับได้ในมือตบลงในฝ่ามือเบาๆ ในน้ำเสียงมีความคับแค้นแทนผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างถึงที่สุด “พ่อหนุ่มกล้าหาญผู้นี้พูดจามีเหตุผล ข้าเป็นเพียงคนผ่านทาง ไม่ได้อยากสร้างปัญหาจริงๆ”
สองคนนั้นได้ยินเสิ่นเวยพูดเช่นนี้ กำลังจะประสานมือกล่าวขอบคุณ ทว่ากลับได้ยินเสิ่นเวยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แม้ว่าข้าจะไม่อยากสร้างปัญญา แต่ปัญหาดันมาหาข้าเอง เจ้าว่าเมืองหลวงใหญ่เพียงนี้ พวกเจ้าไม่ไปจัดการเรื่องในบ้านที่อื่น ดันวิ่งมาบนถนนที่ข้าต้องกลับบ้าน ไม่ใช่เป็นการสร้างความกลุ้มใจให้ข้าหรอกหรือ พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร คำพูดของพวกเดนตายเช่นพวกเจ้าเชื่อได้ด้วยหรือ วันนี้หากปล่อยพวกเจ้าไป ไม่ใช่ว่าข้าทิ้งหายนะไว้ให้ตัวเองหรือ แม้ข้าจะอายุน้อย แต่ก็รู้จักสำนวนคำว่าตัดรากถอนโคนเหมือนกัน”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างก็ขยับก่อน อาวุธชายฉกรรจ์ในชุดจอมยุทธ์สองคนนั้นยังไม่ทันได้ชักออกมา ร่างก็แข็งทื่อล้มลงบนพื้นแล้ว
เสิ่นเวยมองพัดพับได้ในมือ กล่าวในใจ อาวุธลับนี้ใช้ดีจริงๆ
ที่แท้แล้วพัดพับได้นี้ก็ไม่ได้มีไว้ใช้ประดับเท่านั้น ที่จริงแล้วมันยังเป็นอาวุธลับชั้นดี ข้างในซ่อนเข็มพิษไว้ เป็นพืชลูกศรพิษ
“เสี่ยวตี๋ ไปกันเถอะ” เสิ่นเวยส่ายหน้าตะโกนเรียกเสี่ยวตี๋ อารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องฆ่าคนระหว่างทางกลับบ้านล้วนอารมณ์ไม่ดีทั้งสิ้น
เสี่ยวตี๋เหลือบมองแม่นางที่หมอบอยู่บนพื้น ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร
“คุณชาย ช่วยด้วย” ใครจะรู้จู่ๆ แม่นางบนพื้นผู้นั้นก็โผเข้ามาฉับพลัน คว้าชายเสื้อของเสิ่นเวยไว้
เสิ่นเวยตกตะลึง นี่ไม่ใช่สตรีหรอกหรือ ก่อนหน้านี้คนผู้นี้ก้มหน้า เส้นผมปิดบังใบหน้าอยู่ เสิ่นเวยมองเห็นเพียงเสื้อผ้าสีขาวที่เขาสวมอยู่ บวกกับคำพูดที่ชายฉกรรจ์สามคนนั้น ก็คิดไปเองว่านี่คือสตรีที่หนีออกจากหอนางโลมที่ไหนสักแห่ง
แต่ตอนนี้เมื่อแม่นางผู้นี้เอ่ยปาก เสิ่นเวยก็พบว่านี่ไหนเลยจะเป็นสตรี ชัดเจนว่าเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง
เขา เขาคงไม่ได้หนีออกมาจากหอนายโลมหรอกนะ สีหน้าของเสิ่นเวยแปลกประหลาด ก่อนหน้านี้นางยังอยากไปเปิดหูเปิดตาในสถานที่นั้นอยู่เลย จู่ๆ ก็มีนายโลมคนหนึ่งส่งมาถึงหน้านาง แม้แต่สวรรค์ก็ยังอยากให้นางสมปรารถนางั้นหรือ
เสิ่นเวยแอบวิจารณ์เงียบๆ อยู่ในใจ แต่นางก็ยังไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่นเช่นนี้ นางกะพริบตามองคนเลวสามคนนั้นที่กระทำความชั่วต่อหน้านางอย่างหมดหนทาง ตอนนี้สามคนนั้นตายหมดแล้ว นางเองก็นับว่าได้ช่วยคนผู้นี้แล้ว ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ศัตรู นางทำถึงขนาดนี้ได้ก็เมตตามากแล้ว
“ข้าช่วยเจ้าแล้ว ปล่อยมือ” เสียงที่เย็นเยียบของเสิ่นเวยดังขึ้น หัวใจของอันเจียเหอบนพื้นกลับดิ่งลง เขากล้ำกลืนความอัปยศอดสูมาหลายปีเพียงนี้ หรือว่าวันนี้จะต้องตายอยู่ที่นี่เสียแล้ว แต่เขายังมีความอาฆาตแค้นอยู่…
คิดถึงตรงนี้ แววตาของอันเจียเหอก็ปรากฏความหนักแน่น กำชายเสื้อของเสิ่นเวยแน่นไม่ยอมปล่อย “คุณชายช่วยข้าด้วย!” เขาจะตายไม่ได้ จะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ เขายังต้องลากสังขารอันอ่อนแอนี้เพื่อไปแก้แค้นอยู่
เสิ่นเวยถอนหายใจอีกครั้ง มองคนบนพื้นแล้วกล่าว “ในเมื่อเจ้าหนีออกมาได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าวางแผนดีแล้ว ตอนนี้คนที่จับเจ้าก็ตายหมดแล้ว เจ้าหลบหนีตามแผนก่อนหน้านี้ของเจ้าก็ได้แล้ว” ดูจากที่คนผู้นี้ถูกด่าทอแต่กลับไม่ส่งเสียงเมื่อครู่นี้ ก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่น และในใจก็มีแผนการอยู่แล้ว เสิ่นเวยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ
อันเจียเหอได้ยินประโยคนี้ ในใจก็หวาดกลัวอย่างอดไม่ได้ แต่กลับยิ่งมั่นใจที่จะร้องขอต่อ “คุณชายช่วยข้าด้วย!” เขาหลบหนีได้ แต่ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ เคลื่อนไหวไม่สะดวก ต่อให้หลบหนีก็คงจะต้องถูกหาเจออยู่ดี แม้คุณชายผู้นี้ตรงหน้าจะอายุไม่มาก แต่ก็เป็นคนที่ค่อนข้างมีฝีมือ หากได้เขาเป็นที่พึ่งพิง ไม่แน่ว่าตนอาจจะยังแก้แค้นได้ในสักวันหนึ่ง
“คุณชายช่วยข้าด้วย แม้ข้าจะเร่ร่อนสกปรก แต่ตั้งแต่เล็กก็อ่านหนังสือมากมาย ด้านการเล่นพิณหมากล้อมเขียนพู่กันก็ไม่เป็นรองใคร ส่วนด้านกลไกการนับเลขก็ชำนาญ คุณชายโปรดเมตตา ช่วยชีวิตข้าสักครั้ง” แม้ว่าในใจจะรู้สึกอับอาย แต่อันเจียเหอกลับยังคงมองเสิ่นเวยอย่างดื้อรั้น
ตอนที่เสิ่นเวยได้ยินเขาพูดว่าตนอ่านหนังสือมามากในใจก็หัวเราะเยาะแล้ว เป็นนายโลมต้องฉกฉวยคำชมจากแขก ก็ต้องเรียนรู้ความสามารถเหล่านี้ไม่ใช่หรือ อ่านหนังสือเยอะไปก็ไร้ประโยชน์ นอกจากเอาใจแขกแล้วยังมีประโยชน์อะไรอีก แต่เมื่อได้ยินว่าเขายังชำนาญกลไกนับเลข ดวงตาของเสิ่นเวยก็ลุกวาว นับเลขยังไม่เท่าไร แต่ผู้มีความสามารถด้านกลไกกลับหากยากจริงๆ
“เสี่ยวตี๋ ยังไม่รีบพยุงคุณชายผู้นี้ขึ้นมาอีก” เสิ่นเวยสั่งเสี่ยวตี๋
เสี่ยวตี๋เข้าใจแล้วว่าคุณหนูต้องการช่วยคน ในที่สุดหัวใจของอันเจียเหอก็วางลง ประสาทผ่อนคลาย วินาทีถัดมาก็จมดิ่งอยู่ในความดำมืด
“คุณหนู ไม่เป็นไร เพียงแค่หมดสติ” เสี่ยวตี๋อังลมหายใจตรงจมูกของเขาแล้วกล่าว
“เช่นนั้นก็ดี” เสิ่นเวยลูบอก ท่าทางตกใจ นางตัดสินใจจะรับคนผู้นี้ไว้อย่างไม่กลัวปัญหาแล้ว หากเขาตายขึ้นมา ตนก็ช่วยเปล่าประโยชน์ไม่ใช่หรือ
เสิ่นเวยหวาดระแวงมากขึ้น นางไม่ได้บุ่มบ่ามพาคนกลับไปที่บ้านพักทันที แต่ส่งไปยังเรือนเล็กหลังหนึ่งที่ทหารลับพักผ่อนอยู่ โยนคนให้ทหารลับผลัดกันเฝ้า จากนั้นจึงพาเสี่ยวตี๋กลับบ้านพัก
เสิ่นเวยเดินเล่นสบายอารมณ์อยู่ในเมืองหลวงอยู่หกเจ็ดวัน ตัวนางเองก็หน้าตาดีอยู่แล้ว บวกกับใจป้ำมือเติบ เจ้าของร้านลูกจ้างในเหลาสุราโรงน้ำชาโรงงิ้วต่างๆ ที่มีชื่อในเมืองหลวงต่างก็จำคุณชายจินที่ใจป้ำผู้นี้ได้แล้ว ทุกครั้งที่นางปรากฏตัว ลูกจ้างในร้านต่างก็แย่งกันบริการ เงินรางวัลที่คุณชายจินให้เยอะอย่างยิ่งจริงๆ โรงน้ำชาอวี้ไท่มีลูกจ้างแซ่หลี่คนหนึ่ง เพราะว่าเขาตอบคำถามดี คุณชายจินจึงถือโอกาสตบรางวัลเป็นเงินหนึ่งแท่ง นี่เท่ากับเงินเดือนเขาทั้งปี จะไม่ให้ลูกจ้างทุกคนแห่กันแย่งชิงได้อย่างไร อย่าว่าแต่ลูกจ้าง แม้แต่เจ้านายเล็กๆ ยังอิจฉาตาร้อน
หลังจากคืนนั้นที่เสิ่นเวยออกมาจากห้องหนังสือส่วนพระองค์ จักรพรรดิยงเซวียนก็ประทับอยู่เนิ่นนาน สีพระพักตร์ท่ามกลางแสงและเงามืดสลัวไม่ชัดเจน หลังจากนั้นก็ตรัสหนึ่งประโยค “ออกมาเถอะ”
จากนั้นจึงมีคนชุดดำผู้หนึ่งคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแปลกประหลาด จักรพรรดิยงเซวียนตรัสสั่งหลายประโยค คนชุดดำผู้นั้นบิดตัว หายไปในห้องราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
คืนนั้นพระตำหนักซีซานมีกองทัพห้าพันนายออกไปเงียบๆ
เรื่องนี้เสิ่นเวยย่อมไม่รู้ แต่นางเองก็เดาได้ เรื่องใหญ่เช่นนี้ จักรพรรดิไม่อาจนิ่งเฉย จะต้องวางแผนรับมือแน่นอน ส่วนจะเป็นแผนอะไร นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เด็กผู้หญิงเช่นนางจะทุกข์ใจ