ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 186 ญาติผู้น้องคนนี้
หลิวรุ่ยฟังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยความร้อนใจ มักจะมองไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง ผ้าเช็ดในหน้าในมือบิดแล้วบิดอีกอย่างไม่รู้ตัว นางถามชิงหยาสาวใช้ข้างกายตนอย่างไม่ตายใจ “ไม่มีคนมาเชิญพวกเราจริงๆ หรือ”
ชิงหยาส่ายหน้า “คุณหนูเจ้าคะ ไม่มีเจ้าค่ะ”
ฝีเท้าของหลิวรุ่ยฟังชะงัก แววตามีความหงุดหงิดแวบผ่าน “เจ้าไปดูที่หน้าประตูเรือนอีกทีสิ”
ทว่าชิงหยากลับไม่ขยับตัว แสยะปากกล่าว “คุณหนู บ่าววิ่งไปเจ็ดแปดรอบแล้ว หน้าประตูเรือนพวกเราไม่มีแม้แต่เงาคน”
“ให้เจ้าไปเจ้าก็ไปสิ จะพูดจาให้มากความอยู่ทำไม เรียกใช้เจ้าไม่ได้แล้วหรือไร สรุปเจ้าเป็นคุณหนูหรือข้าเป็นคุณหนูกันแน่” หลิวรุ่ยฟังพลันขึ้นเสียงสูงกล่าวด้วยความโมโหทันที
ชิงหยาหวาดกลัว “บ่าวไหนเลยจะบังอาจ” นางเดินไปที่หน้าประตูเรือนอย่างไม่ยินดี ในใจกลับบ่น ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ทรมานมาเจ็บแปดรอบแล้ว คุณหนูก็ยังไม่ตายใจ กูไหน่ไน[1]จวนโหวกลับบ้านฝั่งมารดา คุณหนูคิดว่าตนเป็นใครกัน ยังรอให้คนอื่นมาเชิญนาง ช่างกล้าเสียจริง
จากมุมมองของชิงหยา ชีวิตในจวนโหวดีกว่าจวนตระกูลหลิวมากๆ แล้ว คุณหนูโชคดีที่ถูกเหล่ากูไหน่ไนรับมาได้ก็ควรจะอยู่อย่างสุขสบายหน่อย วิ่งไปวิ่งมาสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าสักวันอาจจะถูกไล่กลับไป ชิงหยาไม่อยากกลับจวนตระกูลหลิวแม้แต่นิดเดียว ชีวิตในจวนโหวดีอย่างยิ่ง แม้ว่านางจะเป็นเพียงสาวใช้ที่ต้องปรนนิบัติผู้อื่น แต่ในจวนโหวก็มักจะได้ปูนบำเหน็จ อาหารการกินก็ดี ดีกว่าจวนตระกูลหลิวมาก
หลิวรุ่ยฟังพิงอยู่ข้างประตูมองออกไปข้างนอก มองเห็นเงาร่างของชิงหยาดวงตาก็ลุกวาว รีบถาม “เป็นอย่างไรๆ เห็นคนมาแล้วหรือยัง”
ชิงหยาส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ” หลังจากนั้นนางก็กล่าวโน้มน้าวอย่างอดไม่ได้ “คุณหนู ตอนนี้ชีวิตของพวกเราดีกว่าในจวนมากแล้ว…”
พูดยังไม่ทันจบก็ถูกคุณหนูของนางตะโกนขัด “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ เจ้าจะไปรู้อะไร หากข้าไม่ฉวยโอกาศครั้งนี้ปูทางให้ตัวเอง กลับไปแล้วก็ต้องถูกคุณหนูเอาแต่ใจผู้นั้นกระทำอีกไม่ใช่หรือ เหอะ ข้าเป็นหลานสาวของท่านย่า พวกนางก็เป็นหลานสาวของท่านย่า ข้าด้อยกว่านางตรงไหน”
หลิวรุ่ยฟังหงุดหงิดใจ ในครอบครัวบิดาโปรดปรานอี๋เหนียงใหญ่ กระทั่งพี่สาวที่เกิดจากอี๋เหนียงใหญ่ก็ยังได้รับความโปรดปรานยิ่งกว่านาง แม้ว่ามารดานางจะเป็นภรรยาหลวง แต่กลับไร้ประโยชน์ที่สุด อี๋เหนียงใหญ่มีลูกสองคน คนหนึ่งอายุสิบสามปีแล้ว อีกคนหนึ่งอายุเก้าปี คนโตผู้นั้นมักจะถูกท่านพ่อพาไปไหนมาไหนด้วย ส่วนน้องชายแท้ๆ ของตนเพิ่งจะอายุสามขวบ อีกทั้งยังป่วยออดๆ แอดๆ ทุกวัน
หัวใจของมารดาล้วนแต่อยู่บนร่างน้องชาย ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจมาวางแผนเพื่อนาง หากนางไม่วางแผนให้ตัวเอง ไม่แน่ว่าชีวิตในภายหน้าอาจจะขมขื่นยิ่งกว่ามารดา ด้วยความสามารถในการเป่าหูของอี๋เหนียงใหญ่ พ่อนางอาจจะปูทางให้ลูกอนุภรรยา ส่งนางไปเป็นภรรยาคนใหม่ของขุนนางผู้สูงศักดิ์อะไรนั่น เมื่อคิดได้ว่าสามีในอนาคตจะมีอายุมากกว่าพ่อตน นางทั้งหวาดกลัวทั้งเคียดแค้น
ทว่าชิงหยากลับมองคุณหนูของตนด้วยท่าทีเหลือเชื่อ ด้อยอะไร ด้อยไปไกลแล้วรู้บ้างหรือไม่ คนอื่นเป็นบุตรสาวจวนโหว ถูกเลี้ยงมาราวกับเงินทองล้ำค่า แต่งงานกับสามีตระกูลดังทั้งสิ้น คุณหนูเป็นใครกัน เพียงแค่บุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่รับความโปรดปราน นางจะเอาอะไรไปเทียบกับคนอื่น คุณหนูเสียสติไปแล้วหรือไร ชิงหยาเป็นกังวลยิ่งนัก
เหอะ พวกเจ้าไม่มาเชิญ แล้วข้าจะไปเองไม่ได้หรือ จะยังไล่ข้าออกมาได้อีกหรือ หลิวรุ่ยฟังกระทืบเท้าสั่งชิงหยารวบรวมงานเย็บปักถักร้อยหลายชิ้นของนางแล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนรับแขก
เสิ่นเวยพอจะรู้ชีวิตหลังแต่งงานของเสิ่นซวงเสิ่นอิงอย่างไม่มีข้อสงสัยแล้ว รู้ว่าพวกนางมีชีวิตที่ไม่เลวก็วางใจลง
“พี่สาม ตระกูลเหวินวางแผนไว้ว่าอย่างไร จะกลับบ้านเดิม หรือว่าคิดจะอยู่ในเมืองหลวงต่อ” เสิ่นเวยถามเสิ่นอิง
เสิ่นอิงกล่าว “ฟังจากนัยคำพูดของท่านพี่ที่หลุดออกมาเป็นบางครั้งก็น่าจะอยู่ที่เมืองหลวงต่อ หลายปีมานี้พ่อตาวิ่งเต้นไปทั่วสารทิศ สะสมทุนได้จำนวนหนึ่งแล้ว ท่านพี่บอกว่าแม้ระดับจะต่ำกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร” นางยังไม่รู้ว่าพ่อเขยนางได้รับตำแหน่งรองผู้พิพากษาประจำศาลต้าหลี่แล้ว
เสิ่นเวยพยักหน้า คล้ายกำลังครุ่นคิด “ข้าเองก็คิดว่าอยู่ที่เมืองหลวงดีกว่า เมืองหลวงมีอาจารย์ชื่อดังที่มีความรู้ความสามารถมากมาย มีส่วนช่วยเหลือในด้านการเรียกของพี่เขยสาม อีกทั้งพวกเราพี่น้องก็สามารถพบกันได้บ่อยๆ ไม่เหมือนพี่ใหญ่ แต่งงานออกไปไกล อยากเจอหน้าสักครั้งก็ยากลำบาก” เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งครา
ในตอนนี้เอง มีสาวใช้เข้ามารายงาน “คารวะกูไหน่ไนทั้งสองท่านและคุณหนูสี่ ข้างนอกมีคุณหนูญาติผู้น้องตระกูลหลิวมาขอพบเจ้าค่ะ”
เสิ่นซวงกับเสิ่นอิงมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าคุณหนูญาติผู้น้องตระกูลหลิวผู้นี้เป็นใคร เสิ่นเวยนึกออกแล้ว ตอนที่หลิวรุ่ยฟังมาจวนโหวท่านพี่ทั้งสองต่างก็ออกเรือนแล้ว อีกทั้งหลิวรุ่ยฟังก็ไม่ใช่แขกสำคัญอะไรมากมาย ย่อมไม่มีใครเอ่ยปากบอกพวกนาง
“เป็นหลานสาวฝั่งบ้านท่านย่า เด็กกว่าพวกเราเล็กน้อย แต่เป็นบ้านไหนข้าเองก็ไม่แน่ใจ ข้าเจอเมื่อวันที่กลับมา” เสิ่นเวยกล่าวอธิบาย
เสิ่นซวงกับเสิ่นอิงพยักหน้า กล่าวกับสาวใช้ “รีบเชิญเข้ามาเถอะ” คนก็มาถึงแล้ว คงจะไล่ออกไปไม่ได้หรอกกระมัง ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนฝั่งบ้านท่านย่า อย่างไรเสียก็ยังต้องให้เกียรติสักหน่อย เสิ่นซวงกับเสิ่นอิงต่างตัดสินใจแล้ว หากญาติผู้น้องคนนี้เป็นคนดี เช่นนั้นพวกนางก็ไม่ถือสาที่จะคบค้าสมาคมด้วย แต่หากเป็นคนไม่ดี เหอๆ อยู่ดีไม่ว่าดีใครจะหาเรื่องใส่ตัวกัน
แต่ว่าดูจากพฤติกรรมของญาติผู้น้องคนนี้ ความเป็นไปได้แบบหลังมีมากอย่างยิ่ง
ไม่นานนักสาวใช้ก็นำสตรีร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งเข้ามา หน้าตาค่อนข้างไม่เลว เพียงแต่แต่งตัวเรียบง่ายเกินไปหน่อย ศีรษะก็ปักปิ่นเพียงอันเดียว หากไม่พูด ใครจะรู้ว่านี่คือคุณหนู
มาเป็นแขกที่จวนคนอื่น อีกทั้งยังเป็นวันมงคลของจวนคนอื่น แต่งตัวจืดชืดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เสิ่นซวงกับเสิ่นอิงสบตากันปราดหนึ่งเงียบๆ ในใจไม่ชอบพอเล็กน้อย
อันที่จริงก็เป็นการกล่าวหาหลิวรุ่ยฟังจริงๆ นางยังไม่ทันได้ประจบประแจง จะคิดถึงการหาเรื่องได้อย่างไร นางเพียงแค่นึกถึงความร่ำรวยของจวนโหว ในมือญาติผู้พี่หลายคนล้วนแต่มีทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนมหาศาล นางแต่งตัวเรียบง่ายหน่อย ไม่แน่ว่าญาติผู้พี่เห็นนางน่าสงสารมอบเครื่องประดับสักสองชิ้น ก็เพียงพอให้นางเก็บสมบัติตัวเองได้แล้ว
นางมาจวนโหวได้หลายวันแล้ว ได้ยินสาวใช้ในจวนโหวสนทนา บอกว่าคุณหนูสี่ของพวกนางเป็นคนที่มีเงินที่สุดอีกทั้งยังใจกว้างที่สุด ทุกๆ เดือนเพียงแค่ปูนบำเหน็จก็มากกว่าเงินเดือนทั้งปีของพวกนางแล้ว พวกนางล้วนแต่หวังว่าจะไปทำงานที่เรือนเฟิงหวาได้บ้าง แม้ว่าจะเป็นเพียงคนเฝ้าประตูก็คุ้มค่าแล้ว
เหวินรุ่ยฟังได้ยินแล้วก็ร้อนใจ กี่แสนตำลึงกัน ให้ตายเถอะ นี่ไม่ใช่ว่าทั้งชีวิตก็ใช้ไม่หมดหรอกหรือ เพียงแค่เศษเงินของญาติผู้พี่สี่ก็เพียงพอให้นางมีชีวิตที่สุขสบายแล้ว ดังนั้นนางจึงร้อนใจคิดอยากจะสานสัมพันธ์กับญาติผู้พี่สี่ที่มีเงินผู้นี้ กว่าจะตั้งหน้าตั้งตารอญาติผู้พี่สี่กลับมาจากวัดต้าเจวี๋ยได้ นางกลับเฉยชาต่อนาง แต่หลิวรุ่ยฟังก็ไม่ย่อท้อแม้แต่นิดเดียว คิดจะตักตวงผลประโยชน์จากคนอื่นจะยังเกรงใจอยู่ได้อย่างไร ในบ้านนางเกรงใจท่านพ่อ เกรงใจพี่สาวลูกอนุภรรยาของนางยังไม่พอหรือไร
หลิวรุ่ยฟังยิ้มก่อนเอ่ยปาก “รุ่ยฟังคาระญาติผู้พี่ทั้งสามเจ้าค่ะ ได้ยินท่านย่าพูดมานานแล้ว ญาติผู้พี่ทั้งหลายต่างก็เป็นเหมือนนางฟ้า วันนี้รุ่ยฟังได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” นางพูดดีราวกับไม่หวังสิ่งตอบแทน
ยิ้มเข้าไว้จะได้ไม่มีใครหาเรื่อง สีหน้าของเสิ่นซวงอ่อนโยนลง กล่าว “น้องฟังเองก็เป็นหญิงงาม ไยจะต้องดูถูกตัวเองด้วย น้องฟังอย่ามัวยืนอยู่เลย รีบนั่งเถอะ”
หลิวรุ่ยฟังนั่งลงอย่างมีความสุข พลางตบอกด้วยความภูมิใจ “ก่อนมารุ่ยฟังกระวนกระวายใจยิ่งนัก ไม่คิดว่าท่านพี่ทั้งหลายจะเป็นมิตรเพียงนี้ ใจดีกับรุ่ยฟังเช่นนี้ รุ่ยฟังไม่มีอะไรมาตอบแทน เพียงแต่ยามว่างเย็บปักถักร้อยเล็กน้อย มอบให้ท่านพี่ทั้งหลายใช้เล่น แม้ว่าจะไม่งามประณีต แต่ก็เป็นความตั้งใจของรุ่ยฟัง หวังว่าท่านพี่ทั้งหลายจะไม่รังเกียจ” นางรับงานปักในมือชิงหยาแล้วยื่นเข้ามา
เสิ่นซวงกับเสิ่นอิงรับมาแล้ว ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ขยับ ยังคงเป็นหลีฮวาที่ยืนอยู่ข้างหลังนางรับแทน “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนูญาติผู้น้อง”
ใบหน้าของหลิวรุ่ยฟังก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่อยู่ต่อหน้าญาติผู้พี่สี่ที่ร่ำรวยเพียงนี้ทั้งยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ แม้ว่านางจะรู้สึกน้อยใจ แต่นอกจากทนแล้วนางจะยังทำอะไรได้อีก
โชคดีที่ญาติผู้พี่รองและญาติผู้พี่สามรับมากับมือ ยังนับได้ว่าไว้หน้านางอยู่
“น้องฟังถ่อมตัวเกินไปแล้ว งานปักนี้งามประณีตจริงๆ ใช่ไหมพี่รอง น้องสี่” เสิ่นอิงพลิกดูผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกกล้วยไม้ในมือ กลับไม่ได้พูดเท็จ งานปักญาติผู้น้องคนนี้ดีจริงๆ
เสิ่นซวงเองก็พยักหน้า “ดอกบัวนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก เหมือนของจริงเลย” ผ้าเช็ดหน้าในมือนางปักลายดอกบัวแฝด
เสิ่นเวยเองก็หันหน้ามองผ้าเช็ดหน้าในมือหลีฮวาปราดหนึ่ง งานปักไม่เลวจริงๆ “สวยจริงๆ สวยกว่าข้าปักอีก” งานปักก็คืองานที่ต้องใช้ความชำนาญ เสิ่นเวยทะลุมิติมาได้รับผลพวงจากเจ้าของร่างเดิม นางเย็บปักถักร้อยเป็น บวกกับมีเวลาว่างที่หมู่บ้านสกุลเสิ่นเยอะจึงได้ฝึกฝนโดยเฉพาะ ดังนั้นงานปักของนางจึงไม่เลวอย่างยิ่ง แต่ช่วยไม่ได้ที่นางทำไม่บ่อย หนึ่งวันที่ไม่ได้ฝึกก็กลายเป็นไม่ชำนาญ นางไม่ได้แตะมาหลายเดือนแล้ว มือสนเข็มไม่ได้นานแล้ว
หลิวรุ่ยฟังได้ยินดังนั้นก็ตาลุกวาว จ้องมองเสิ่นเวยฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ “พี่สี่ก็เป็นจวิ้นจู่แล้ว ไหนเลยจะต้องลงมือเอง ขอเพียงแค่ท่านเอ่ยปาก รุ่ยฟังก็ยินดีจะทำแทนท่าน” นางกะพริบตาปริบๆ มองเสิ่นเวย หวังว่านางจะตอบรับ เช่นนี้นางก็จะยิ่งมีเหตุไปเรือนเฟิงหวาได้
ทว่าเสิ่นเวยกลับกล่าว “จะลำบากน้องฟังให้มาทำงานสาวใช้ได้อย่างไร” สาวใช้ฝีมือดีข้างกายนางมีเป็นกอบเป็นกำ ไหนเลยจะต้องให้คุณหนูญาติผู้น้องมาเย็บปักแทนนาง ข่าวลือดังออกไปจะไม่เข้าใจนางผิดหรือ
“ไม่ลำบากๆ รุ่ยฟังยินดี” หลิวรุ่ยฟังรีบกล่าว
เสิ่นซวงเห็นญาติผู้น้องฟังคนนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าท่าแล้ว จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “น้องฟัง ให้มาต้องให้กลับ นี่คือของที่พี่รองมอบให้เจ้า” นางดึงปิ่นปักผมทองหนึ่งอันลงมาจากศีรษะแล้วปักลงบนศีรษะของหลิวรุ่ยฟังแทน กล่าวอย่างอดไม่ได้ “สตรีต้องแต่งตัวสวยๆ จึงจะดูดี เรียบง่ายเกินไปกลับไม่ดีนัก” หากไม่ใช่ช่วงไว้ทุกข์ จะแต่งตัวเรียบง่ายเพียงนั้นเพื่ออะไร
เสิ่งอิงเองก็ถอดกำไลพันด้ายทองจากข้อมือให้หลิวรุ่ยฟัง เสิ่นเวยก็ให้กำไลหยกหนึ่งอัน เครื่องประดับของนางมีมาก กำไลหยกอันนี้เป็นอันที่มีมูลค่าน้อยที่สุดบนร่างนางแล้ว
หลิวรุ่ยฟังเห็นกำไลหยกดวงตาก็แทบจะตะลึงงัน แม้ว่าปิ่นทองกำไลทองที่ญาติผู้พี่รองกับญาติผู้พี่สามให้จะดีอย่างยิ่ง แต่สองอย่างนี้รวมกันแล้วเกรงว่าจะยังเทียบกำไลหยกอันนี้ไม่ได้ มือของนางกุมกำไลหยกไว้แนบแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื้นตัน “รุ่ยฟังขอบคุณของขวัญของญาติผู้พี่ทั้งสาม ญาติผู้พี่ดีจริงๆ”
คำพูดนี้กลับจริงใจ ตั้งแต่เล็กจนโตสมบัติทั้งหมดของนางรวมกันแล้วยังไม่เท่าที่ญาติผู้พี่สามคนนี้มอบให้ตามอำเภอใจเลย อย่าว่าแต่นาง แม้แต่ในมือพี่สาวลูกอนุภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานก็ยังไม่มีของดีถึงเพียงนี้ ดังนั้นนางจะต้องซ่อนไว้ให้ดี ไม่อาจให้พี่สาวลูกอนุภรรยากับอี๋เหนียงใหญ่พบเห็นได้ แต่ว่ามารดานางก็ต้องปิดบังเช่นกัน ใครจะรู้ว่าท่านแม่จะเอาไปเป็นเบี้ยเลี้ยงน้องชายโดยอ้างว่าเก็บรักษาหรือไม่ เรื่องเช่นนี้นางก็ไม่ได้ทำเพียงแค่ครั้งสองครั้ง มีของอะไรดีก็ให้สิทธิ์น้องชายก่อนเสมอ หากไม่ใช่เพราะหน้าตาที่เหมือนกัน นางก็สงสัยจริงๆ ว่าตนเป็นลูกแท้ๆ หรือไม่
หลังจากตื่นเต้นแล้วหลิวรุ่ยฟังก็นึกถึงคำพูดของพี่รอง ใบหน้าร้อนผ่าว ตอนนี้นางคล้ายตระหนักได้ว่าตนแต่งตัวเช่นนี้ไม่เหมาะสมเล็กน้อย แต่ความจริงแล้วไม่เหมาะสมอย่างไรนางก็ไม่แน่ใจ แม้ว่านางจะอายุสิบสามสิบสี่ปีแล้ว แต่ท่านแม่ก็เอาแต่ใส่ใจน้องชาย ไหนเลยจะเจียดเวลามาสั่งสอนนาง
นึกถึงตรงนี้นางก็อดปวดใจไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมองญาติผู้พี่ทั้งสามคน ในดวงตามีความอิจฉาและความนับถือ นางยังมองออกว่าญาติผู้พี่ทั้งสามไม่ชอบนางนัก แต่ก็ยังคงมอบของดีๆ ให้นาง ทั้งยังบอกเป็นนัยถึงความไม่เหมาะสมของนาง ดียิ่งกว่ามารดาของนางเสียอีก
เห็นแก่ของขวัญที่ล้ำค่า หลิวรุ่ยฟังรู้กาละเทศะ เมื่อเสิ่นซวงเผยท่าทีบนใบหน้า นางก็ลุกขึ้นขอตัวลาอย่างมีไหวพริบ
เมื่อหลิวรุ่ยฟังไปแล้ว พี่น้องทั้งสามก็สบตากันปราดหนึ่ง เสิ่นซวงมองแผ่นหลังของนาง กล่าวอย่างคล้ายครุ่นคิด “ตระกูลหลิวตกต่ำถึงเพียงนี้แล้วหรือ” ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง แต่การอบรมเลี้ยงดูยังเทียบไม่ได้แม้แต่สาวใช้จวนโหว
เสิ่นเวยแสยะปาก “ใครจะไปสนใจตระกูลหลิวอะไรนั่น ความสัมพันธ์กับรุ่นของพวกเราห่างไกลกันอย่างยิ่ง”
เสิ่นซวงเสิ่นอิงคิดตาม นั่นสิ ตระกูลหลิวเป็นบ้านฝั่งมารดาของท่านย่าพวกนาง ตระกูลฝั่งแม่ของท่านพ่อพวกนาง ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับกูไหน่ไนทั้งหลายที่ออกเรือนเช่นพวกนางเหล่านี้ ขอเพียงแค่จวนจงอู่โหวยังอยู่ดี พวกนางก็อยู่ในบ้านสามีได้อย่างสงบสุข
ทันใดนั้นพวกนางก็ลืมเรื่องหลิวรุ่ยฟังญาติผู้น้องคนนี้ไปเสียแล้ว
[1] กูไหน่ไน เป็นคำที่บุคคลในครอบครัวฝั่งมารดาใช้เรียกลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว