ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 203-2 ชำระหนี้แค้น
สองฝั่งกำลังสู้รบ ดูเหมือนไม่มีใครยอมใคร แต่อันที่จริงฝั่งเสิ่นเวยออมแรงมาโดยตลอด หมิ่นซือเหนียนก็ยิ่งตกใจขึ้นเรื่อยๆ นานเพียงนี้แล้วยังจัดการมือสังหารไม่ได้ ดูท่าแล้วมือสังหารกลุ่มนี้จะมีความสามารถไม่น้อยเลย ใครกัน ใครที่คิดจะเอาชีวิตเขา เป็นพี่ใหญ่หรือว่าน้องสาม หรือว่าทั้งสองร่วมมือกัน พวกเขาอดทนรอไม่ได้แล้วหรือ
ขณะที่หมิ่นซือเหนียนคิดเช่นนี้ ก็อยากรีบออกไปจากที่เกิดเหตุนี้ เขารู้ดีอยู่แก่ใจ แม้ตนจะเลื่องชื่อว่าบุ๋นบู๊ไม่เป็นรองใคร แต่ความจริงแล้วกลับเตะต่อยได้แค่ไม่กี่กระบวนท่า ขู่ขวัญคนนอกแสร้งทำให้ดูน่ากลัวก็เท่านั้นเอง เมื่อเจอยอดฝีมือที่แท้จริง เขาก็เป็นคนไร้ประโยชน์
เขากระโดดลงจากเตียงเพิ่งจะยกขา ก็รู้สึกว่าร่างกายขยับไม่ได้ หันหน้ามอง เป็นแม่เล้าฉินคนรักเก่าที่ดึงเสื้อของเขาไว้ “นายท่านสาม ท่านพาข้าไปด้วยเถิด” นางหมอบอยู่บนเตียง ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความร้องขอ
หมิ่นซือเหนียนนึกถึงการกระทำก่อนหน้านี้ที่ดึงนางมารับดาบ บนใบหน้าก็มีความอึดอัดแวบผ่าน กล่าวเสียงเบาอย่างไม่รู้ตัว “ชิงชิงรออยู่ที่นี่ ข้าออกไปดูสถานการณ์ เจ้าได้รับบาดเจ็บ อย่าขยับตัวมากจะดีกว่า”
แม่เล้าฉินไหนเลยจะเชื่อ อ้อนวอนต่อ “นายท่านสาม ท่านช่วยข้าด้วยเถิด อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว”
หมิ่นซือเหนียนเห็นว่าถูกคนรักเก่าเดาความคิดได้ ก็ฉุนเฉียวเล็กน้อย เสียงเย็นเยียบลงอย่างอดไม่ได้ “จงฟัง สงบสติรออยู่ที่นี่ ปล่อยมือ” น่าขัน เขาคนเดียวยังแทบจะเอาตัวไม่รอด จะพาตัวถ่วงไปด้วยได้อย่างไร
เขาออกแรงสะบัดมือของคนรักเก่าออก ไม่มองความเศร้าโศกบนใบหน้าของคนรัก ก้าวยาวเดินไปยังผนังฝั่งขวา ประตูหลังตรงภาพวาดภาพนั้นบนผนังทางขวามีกลไกอยู่
หมิ่นซือเหนียนเป็นคนที่ตระหนักได้ถึงหายนะอย่างยิ่งคนหนึ่ง มิเช่นนั้นจะสร้างกลไกแม้แต่ในหอซิ่งชุนได้อย่างไร น่าเสียดายที่คนกระทำไม่สู้ฟ้าลิขิต เสิ่นเวยจะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร
รู้สึกว่าพอประมาณแล้ว เสิ่นเวยก็ส่งสายตาให้โอวหยางไน่ โอวหยางไน่เข้าใจแล้ว ทั้งสองก็กระโดดออกจากวงต่อสู้เดินไปในห้องพร้อมกัน
คนของหมิ่นซือเหนียนเห็นดังนั้นก็ตื่นตระหนกในชั่วขณะ คิดอยากจะเข้าไปห้าม แต่กลับถูกเสี่ยวตี๋กับคนโง่แซ่ฟู่พัวพันอย่างแนบแน่น คนโง่แซ่ฟู่ยอดเยี่ยมจริงๆ เรือนร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไปทางซ้ายที ไปทางขวาที กันหกคนนั้นไว้ข้างนอก ทำได้เพียงตะลึงงันมองเสิ่นเวยและโอวหยางไน่เข้าห้องไป
มือของหมิ่นซือเหนียนเพิ่งจะกดลงบนกลไก ก็ถูกเสิ่นเวยดึงคอเสื้อกลับมา มือออกแรงก็หมุนชายร่างใหญ่อยู่กับที่สองรอบทันที
หมิ่นซือเหนียนเองก็ไม่สนว่าตนจะมึนศีรษะ รีบร้องขอชีวิต “นายคนใดใช้ผู้กล้ามาเอาชีวิตผู้แซ่หมิ่น ผู้แซ่หมิ่นยอมตอบแทนให้เป็นสองเท่า ขอเพียงแค่ผู้กล้าปล่อยผู้แซ่หมิ่นไป ราคาต่อรองกันได้” เขาคิดว่าเป็นสองคนนั้นในตระกูลจ้างคนมาฆ่าเขาจริงๆ
เสิ่นเวยได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากพูด หมิ่นซือเหนียนก็คิดว่าสองคนนี้สนใจ ในใจก็ดีใจ “สามเท่า อ้อไม่ ห้าเท่า ผู้แซ่หมิ่นยอมให้ราคาห้าเท่า หวังว่าผู้กล้าจะปล่อยผู้แซ่หมิ่นครั้งนี้” ขอเพียงแค่ครั้งนี้ไม่ตาย ต่อให้จะต้องขุดดินสามฉื่อเขาก็จะต้องหามือสังหารกลุ่มนี้ออกมา สับจนเป็นหมื่นท่อน
เสิ่นเวยยังคงไม่พูด เพียงแค่ส่งสายตาให้โอวหยางไน่ ก็เห็นโอวหยางไน่พยักหน้าน้อยๆ ออกมือเร็วดั่งสายฟ้า หมัดทั้งสองต่อยลงไปบนขาทั้งคู่ของหมิ่นซือเหนียนด้วยความรวดเร็วและโหดเ**้ยม
เสียงร้องโอดครวญราวกับหมูถูกเชือดของหมิ่นซือเหนียนดังขึ้นในชั่วขณะ เสิ่นเวยปล่อยมือ ชั่วพริบตาเขาก็อ่อนแรงล้มลงกับพื้นประหนึ่งสุนัขขี้เรื้อนที่ไร้กระดูก
ในใจเสิ่นเวยพอใจ เผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกน้อยๆ ให้หมิ่นซือเหนียน ตบหน้าเขาสองสามครา กล่าวอย่างมีมารยาท “นายท่านสามแซ่หมิ่น ลาก่อน” จากนั้นจึงหันหลังกลับเดินออกไปข้างนอก
เสี่ยวตี๋กับคนโง่แซ่ฟู่ข้างนอกได้ยินเสียงร้องโอดครวญ ก็รู้ได้ว่าสำเร็จแล้ว ทั้งสองเองก็ไม่อยากต่อสู้อีก ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว คนของหมิ่นซือเหนียนได้ยินเสียงร้องของเจ้านาย ก็ไม่มีอารมณ์จะต่อสู้ วิ่งเข้าไปในห้องพร้อมกัน ไหนเลยจะยังสนใจว่าสองคนนั้นจะหนีไปแล้วหรือยัง
ระหว่างทางกลับ เสิ่นเวยยังถือโอกาสวางเพลิง พวกเขาไปรวมตัวกับพลลับหนึ่งและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอกหอซิ่งชุน วิ่งออกไปนอกเมืองด้วยความรวดเร็ว
หมิ่นซือเหนียนข้างในห้องล้มฟุบอยู่บนพื้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เป็นเขา เป็นคุณชายเสิ่นจวนจงอู่โหวผู้นั้น แม้เขาจะปิดใบหน้า แต่เสียงของเขา อีกทั้งแววตาคู่นั้นก่อนจากไปของเขา เหมือนกันกับแววตาที่เขาออกจากทงโจวแล้วหันหน้ากลับมามองตนเมื่อสามวันก่อน
ความเสียใจลุกลามไปทั่วร่างเขา เหตุใดเขาถึงไปยั่วยุดาวหายนะที่แก้แค้นกระทั่งเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ เพียงแค่พลาดจับเขามามิใช่หรือ เขายังเผาคฤหาสน์หนึ่งหลังของตน ทำลาย ‘สินค้า’ หนึ่งกลุ่มใหญ่ของตน หากรู้ว่าเขามีนิสัยโหดเ**้ยมเช่นนี้ ตนไหนเลยจะยังกล้าส่งอาจารย์เฮ่อไปหาเรื่องเขา
หลังจากเสียใจแล้วก็โมโห ดูจากรอยยิ้มตอนที่เด็กชั่วแซ่เสิ่นผู้นั้นไปแล้วเขาก็รู้ว่าขาทั้งคู่ของตนจะต้องพิการ นายท่านสามตระกูลหมิ่นที่พิการขาทั้งสองไม่สู้ตายไปยังดีกว่า เจ้าก็แค่อาศัยจวนจงอู่โหวข้างหลังมิใช่หรือ คิดว่าจะใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างไม่มีขื่อไม่มีแปเช่นนี้ได้หรือ มีสิทธิอะไร มีสิทธิอะไร
จวนจงอู่โหว ชีวิตนี้ของข้าหมิ่นเหล่าซานจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า โลหิตร้อนพ่นออกมาจากปากเขา ฉากๆ นี้ตกอยู่ในสายตาของเหล่าทหารคุ้มกันที่เพิ่งจะจุดไฟพอดี ตกใจวิ่งเข้ามาพร้อมกัน “นายท่านสาม นายท่านสาม นายท่านสามท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
หมิ่นซือเหนียนกัดฟันทนความเจ็บปวดแสนสาหัส ครู่ใหญ่จึงกล่าว “ไม่เป็นไร แค่ขาหัก อย่าแตะขาข้า ไปเชิญหมอ หมอที่รักษาแผลภายนอกที่ดีที่สุดในทงโจว” เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากใบหน้าเขา เสียงของเขาก็เย็นเยียบเพียงนั้น หมัดทั้งคู่ที่กำแน่นค้ำยันร่างกายของตน ไม่ให้ตนล้มลงไป
ล้มไม่ได้ ต่อให้จะต้องพิการขาทั้งสองเขาก็ไม่อาจล้มได้ เขาคือหมิ่นซือเหนียน นายท่านสามตระกูลหมิ่น บุตรชายภรรยาเอกบ้านใหญ่ตระกูลหมิ่น บ้านรองบ้านสามกำลังจ้องมองตาเป็นมัน เขาไม่อาจล้มลงได้เป็นอันขาด
แม่เล้าฉินที่หมอบอยู่บนเตียงหน้าอกปักกระบี่หนึ่งเล่มย่อมได้ยินคำพูดของหมิ่นซือเหนียน แปลกยิ่งนัก ในใจของนางสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด ไม่มีคลื่นลมแม้แต่นิดเดียว มีเพียงความเสียใจและความอ้างว้างที่ไม่มีที่สิ้นสุด
หมิ่นซือเหนียนเป็นชายคนแรกของนาง แม้ว่าระหว่างนั้นนางจะรับแขกผู้มีพระคุณคนอื่นๆ ทว่าตั้งแต่วันนั้นที่ตนตัดสินใจจะติดตามหมิ่นซือเหนียน นางก็ไม่ให้แขกผู้มีพระคุณคนอื่นเข้าใกล้นางอีก ยี่สิบปีแล้ว ยี่สิบปีแล้ว นางคิดว่าต่อให้จะไม่มีชื่อหรือฐานะ นางติดตามหมิ่นซือเหนียนมาก็นับได้ว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว หลายปีมานี้หมิ่นซือเหนียนปฏิบัติต่อนางดีอย่างยิ่ง ช่วยงานในหอซิ่งชุนไม่น้อย ดังนั้นนางจึงมีภาพลวงตาชนิดนี้ใช่หรือไม่
นางไหนเลยจะเป็นภรรยาของหมิ่นซือเหนียน แม้แต่อนุภรรยาคนหนึ่งยังเทียบไม่ได้เลยกระมัง นางเป็นเพียงของตายที่เขาสามารถโยนทิ้งเมื่อไรก็ได้ก็เท่านั้น ความเจ็บปวดที่ปลายกระบี่แทงเข้าเนื้อยังเจ็บปวดไม่เท่าวินาทีนั้นที่เขาดึงตนเองมาบังไว้ข้างหน้า
ถ้าหากพูดว่าหมิ่นซือเหนียนดึงนางมารับดาบนางก็เจ็บปวดแล้ว เช่นนั้นต่อมาที่หมิ่นซือเหนียนทิ้งนางเอาตัวรอดเพียงคนเดียวก็ทำให้นางผิดหวัง เหอๆ อายุปูนนี้แล้วยังฝันลมๆ แล้งๆ เช่นนี้อยู่อีก ควรตื่นได้แล้ว สำหรับหมิ่นซือเหนียนนางก็เป็นเพียงแค่ของเล่น ของเล่นที่ทำกำไรให้เขาได้ ที่เขาดีกับตนก็เป็นเพียงสิ่งที่ตนคิดไปเองเท่านั้น
นางเป็นตัวอะไร ก็แค่แม่เล้าที่ช่วยเขาดูแลหอซิ่งชุนได้ก็เท่านั้น ไม่มีนางก็ยังมีคนอื่น เพียงแค่เขาใช้ตนคล่องมือ อีกทั้งยังมีความรู้สึกอันน้อยนิดเพียงนั้นด้วย มิหนำซ้ำตนยังเชื่อฟัง ไม่โวยวายขอเข้าเรือนหลังตระกูลหมิ่นให้ได้ เขาจึงไม่ทิ้งตนมาโดยตลอดก็เท่านั้นเอง
คิดถึงตัวนางเอง อายุมากแล้ว ทั้งยังไม่มีทายาท ต่อให้ได้เงินมาแล้วจะใช้อย่างไร ร้อยปีต่อจากนี้ทรัพย์สินเหล่านี้ของตนก็ต้องตกอยู่ในมือของหมิ่นซือเหนียนเหมือนกันมิใช่หรือ เหตุผลที่ทุกปีหมิ่นซือเหนียนถือเงินเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ก็เป็นเพราะมั่นใจว่าเงินครึ่งหนึ่งของตนนี้ก็ต้องเป็นของเขามิใช่หรือ เพียงแค่เก็บไว้ที่ตนก่อนก็เท่านั้นเอง
โง่ ช่างโง่จริงๆ ใบหน้าของแม่เล้าฉินแนบติดผ้านวม น้ำตาในดวงตาไหลไม่หยุด ในใจว่างเปล่า เสมือนถูกควักออกไปจนหมด
หาหมอรักษาบาดแผลภายนอกที่ดีที่สุดในทงโจวมารักษาบาดแผลให้หมิ่นซือเหนียนได้แล้ว อีกทั้งยังวุ่นอยู่กับการดับไฟ ชุลมุนเช่นนี้จนกระทั่งฟ้าสาง รอจนหมิ่นซือเหนียนมีแรงสั่งให้ติดตามจับกุม เสิ่นเวยและคนอื่นๆ ก็ออกจากเมืองขี่ม้าเร็วออกไปแล้ว คนของหมิ่นซือเหนียนสืบหาอยู่สองวันก็ไร้ซึ่งเบาะแส โมโหจนหมิ่นซือเหนียนทุบหมอนอย่างสุดชีวิต
คนข้างนอกต่างก็รู้ว่าหมิ่นซือเหนียนเสียหายมหาศาลแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าขาของเขาที่บาดเจ็บแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร แต่ก็ดีใจบนความทุกข์ผู้อื่นเห็นเขาเป็นตัวตลก
ขากลับไม่ต้องเร่งเพียงนั้นแล้ว ยามอาทิตย์ตกดินวันที่สามเสิ่นเวยก็เพิ่งจะกลับขึ้นเรือ สำหรับเหตุผลที่จู่ๆ เสิ่นเวยก็ออกไปนางอธิบายเช่นนี้ ‘ท่านปู่ส่งนางไปเยี่ยมสหายเก่าระหว่างทาง ถือโอกาสไปส่งจดหมายให้’
เสิ่นหย่าสองแม่ลูกที่ไร้เดียงสาย่อมต้องเชื่อ เพราะว่าพวกนางไม่เคยคิดว่าเสิ่นเวยจะพูดปด และเพราะว่าเสิ่นเวยนำของกลับมาไม่น้อยจริงๆ บอกว่าเขาส่งของขวัญกลับมาให้
เสิ่นเวยรับลมกลางคืน รอยยิ้มคืบคลานขึ้นมาบนแก้มของนาง อารมณ์ของนางในตอนนี้ดีอย่างยิ่ง ฮ่าๆ หมิ่นซือเหนียนที่พิการขาสองข้างจะยังกดหัวบ้านรองบ้านสามตระกูลหมิ่นได้อยู่หรือไม่ การต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดของตระกูลหมิ่นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว น่าเฝ้ารอจริงๆ เลย