ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 206-2 เรื่องจุกจิกในเมืองหลวง
หลิวรุ่ยฟังนั่งถักเชือกอยู่ในห้อง ก็ได้ยินสาวใช้เล็กสองคนกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงระเบียงทางเดินข้างนอก
คนหนึ่งพูด “เอ๋ พี่สาวในลานบ้านไปไหนหมดแล้วเล่า ครึ่งวันแล้วเหตุใดยังไม่เห็นใครอีก”
อีกคนหนึ่งกล่าว “ไปที่เรือนเหลียนอีของกูไหน่ไนอย่างไรเล่า ในจวนพวกเรามีคุณหนูญาติผู้น้องท่านหนึ่งมาใหม่ ฟังว่าคุณหนูญาติผู้น้องท่านนั้นใจป้ำอย่างยิ่ง วิ่งไปประจบกันหมดแล้ว”
คนก่อนหน้ากล่าว “คุณหนูญาติผู้น้องที่มาใหม่อะไรกัน คนผู้นั้นจึงจะเป็นคุณหนูญาติผู้น้องที่ถูกต้องในจวนพวกเรา คนผู้นี้…” เสียงของนางเบาลง อีกทั้งยังเหลือบมองไปในห้องปราดหนึ่งด้วยความระมัดระวัง หันหน้ากลับมาทำรูปปากกับเพื่อน “คุณหนูปลอม”
“เอ๋” อีกคนหนึ่งปิดปากตกใจ คล้ายเหลือเชื่ออย่างยิ่ง “คุณหนูญาติผู้น้องแซ่ฟังผู้นี้ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของนายหญิงผู้เฒ่าอย่างยิ่งหรอกหรือ” เหตุใดถึงเป็นคุณหนูปลอมได้เล่า
คนก่อนหน้าเหลือบมองในห้องครูหนึ่งอีกครั้ง จากนั้นจึงเข้าไปใกล้นางแล้วกล่าวเสียงเบา “กูไหน่ไนผู้นั้นที่เพิ่งมาเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของนายท่านผู้เฒ่าโหวของเรา ลูกสาวของนางไม่ใช่คุณหนูญาติผู้น้องที่ถูกต้องของพวกเราหรอกหรือ มิเช่นนั้นจะอาศัยอยู่ในเรือนที่ดีเพียงนั้นมีอำนาจเพียงนั้นได้อย่างไร คนผู้นี้น่ะ เป็นเพียงหลานสาวบ้านฝั่งมารดาของนายหญิงผู้เฒ่า ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับนายท่านผู้เฒ่าโหวของเรา ความสัมพันธ์กับนายท่านคุณชายหลายท่านก็ห่างไกลนัก เป็นเพียงญาติจนๆ ที่มาเกาะกินก็เท่านั้นเอง” แววตาของนางปรากฏความเหยียดหยามหลายส่วน กล่าวต่อราวกับเพิ่มแรงโน้มน้าว “คนผู้นี้มานานเพียงนี้แล้ว เจ้าเห็นนางเคยปูนบำเหน็จให้บ่าวหรือ มีบางครั้ง ก็เป็นเพียงแค่ผลไม้เล็กๆ น้อยๆ นั่นไม่ใช่ของในจวนเราหรือไร”
“จริงด้วย ข้าก็ว่าวันทั้งวันคนผู้นี้เอาแต่วางมาดเป็นเจ้านาย ทำอยู่ครึ่งวันที่แท้แล้วก็เป็นคุณหนูปลอม” อีกคนหนึ่งอุทานอย่างตกใจ
คนก่อนหน้ากล่าวต่อ “จะบอกว่าปลอมก็ไม่ได้ปลอมขนาดนั้น เพียงแค่สายสัมพันธ์ห่างไกลเล็กน้อย” หยุดครู่หนึ่งจึงเม้มปากยิ้ม “คุณหนูญาติผู้น้องสองคนในจวนนี้ ภายหลังจะต้องมีเรื่องสนุกๆ ให้ดูแน่เลย”
บทสนทนาตอนท้ายเสียงของพวกนางก็ยิ่งเบา หลิวรุ่ยฟังได้ยินไม่ค่อยชักนัก แม้จะเป็นเช่นนี้บนหน้านางก็แดงก่ำแล้ว น้ำตาแทบจะไหลลงมา
ในจวนมีกูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องมา เรื่องนี้นางเองก็ทราบดี แต่กลับไม่มีใครบอกให้นางไปพบ ก่อนหน้านี้นางอาศัยความรักความเอาใจของนายหญิงผู้เฒ่าสามส่วน ทว่าตอนนี้กลับไม่ได้แล้ว ลูกผู้พี่สี่ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ผู้นั้นกลับมาแล้ว อีกทั้งลูกผู้พี่สี่ผู้นี้ยังคล้ายไม่เหลียวแลนาง นางไม่กล้าไปหาเรื่องใส่ตัว นางรู้ดีว่า หากนางทำให้ลูกผู้พี่ไม่พอใจ นางก็สามารถให้คนส่งนางกลับจวนตระกูลหลิวได้ทันที หลายวันมานี้นางได้ยินนิสัยที่ห้าวหาญของลูกผู้พี่สี่มาเยอะอย่างยิ่ง แม้แต่นายหญิงผู้เฒ่าก็ยังจัดการนางไม่ได้ นางไหนเลยจะยังกล้าไปยุ่แหย่ลูกผู้พี่สี่ผู้นี้
นางต้องไปเยี่ยมเยียนกูไหน่ไนผู้นี้หรือไม่ ฟังว่าคุณหนูญาติผู้น้องคนนั้นแซ่เหอ อายุพอๆ กับนาง หากนางสามารถสานสัมพันธ์เป็นพี่น้องที่ดีได้ ในจวนจะให้ความสำคัญกับนางหรือไม่ คิดถึงตรงนี้ความน้อยใจหนึ่งกลุ่มก็จู่โจมหัวใจ เป็นคุณหนูน้อยเหมือนกัน สตรีคนอื่นขอเพียงแค่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ แต่ตนเล่า อยากจะได้ปิ่นเงินหนึ่งอันยังต้องคิดหาทางเอง นางเพียงแค่อยากได้คู่สมรสที่ดี ไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กัน
ตั้งแต่เล็กนางก็รู้ดีว่า ชีวิตนี้ของสตรีหากคิดจะมีหน้ามีตา ไม่กลับชาติมาเกิด ก็ต้องแต่งงานดี อย่างแรกนางหมดหนทางแก้ไขแล้ว ที่สามารถพยายามได้ก็มีเพียงแค่อย่างหลัง นางจะต้องแต่งเข้าตระกูลสูงให้ได้ ให้บ่าวรับใช้ที่ตาต่ำเหยียดหยามคนเหล่านั้นดู นางหลิวรุ่ยฟังไม่ใช่ญาติจนๆ ที่มาเกาะกิน
ใช่ เป็นเช่นนี้แหละ ขอเพียงแค่แต่งงานเข้าตระกูลสูง ต่อให้จะอัปยศและลำบากกว่านี้นางก็ทนได้ หลิวรุ่ยฟังกำเชือกถักในมือแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความแน่วแน่
เสิ่นเวยพักอยู่ในจวนสองวัน จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นออกจากเรือนแล้วไปเยี่ยมเยียนตาของนางที่จวนแม่ทัพใหญ่หร่วน หลังพ่อนางเสิ่นหงเซวียนรู้ข่าวก็มีความรู้สึกซับซ้อนเป็นพิเศษ ส่วนนายท่านผู้เฒ่าโหวก็เพียงแค่หลับตาข้างหนึ่งปล่อยไป
หร่วนเหมียนเหมี่ยนเห็นลูกผู้พี่นางย่อมดีใจอย่างถึงที่สุด แต่ว่าตอนนี้กลับกำลังเรียนมารยาทอยู่ ครั้งก่อนจวนโหวเชิญแม่นมอบรม เสิ่นเวยก็ไหว้วานให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ช่วยเชิญมาให้ลูกผู้น้องหนึ่งคน ดังนั้นหร่วนเหมียนเหมี่ยนยังพูดกับลูกผู้พี่ได้ไม่กี่คำ สาวใช้ข้างกายก็มาเร่งรัดนางไปเรียนมารยาทแล้ว แม้ว่านางจะตัดใจไม่ได้ แต่กลับทำได้เพียงเดินไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ท่าทางตัดใจไม่ลงนั้นเสิ่นเวยเห็นแล้วก็อยากหัวเราะออกมา
เสิ่นเวยพูดคุยเป็นเพื่อนท่านตาในห้องหนังสือ นางหยิบส้มบนโต๊ะขึ้นมาปอกเปลือก วางแต่ละกลีบๆ ไว้ในถาด ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นเสียบแล้วยื่นให้ท่านตา
หร่วนเจิ้นเทียนชิมแล้วเปรี้ยวก็ไม่ยอมกินอีก กลับกลายเป็นเสิ่นเวยกอดถาดกินอย่างแฮปปี้ หร่วนเจิ้นเทียนเห็นนางกินอย่างมีความสุข ในใจก็ดีใจ แต่ปากกลับกล่าว “อะไร จวนโหวให้เจ้ากินน้อยได้ด้วยหรือ” เขาเคยได้ยินหลานบอกว่า เสิ่นผิงยวนตาเฒ่าผู้นั้นชอบหลานสาวผู้นี้ของตนมากเพียงใด นางอยู่ในจวนโหวแทบจะยกแห่
“ไหนเลยจะไม่มี ไม่ใช่ว่าส้มในจวนท่านตาอร่อยหรือไร หวานจริงๆ ท่านตา พวกเราคุยกันแล้ว รอข้ากลับไปท่านส่งไปให้ข้าเยอะหน่อย” เสิ่นเวยไม่รู้จักคำว่าเกรงใจอย่างสิ้นเชิง เอ่ยปากขออย่างตรงไปตรงมา
ท่าทางเช่นนี้เอาอกเอาใจหร่วนเจิ้นเทียนอย่างยิ่ง เขาหัวเราะฮ่าๆ กล่าว “นี่เป็นของผู้ใต้บังคับบัญชาที่นำมาให้ลูกผู้พี่เจ้า มีหนึ่งตะกร้าเต็มๆ ข้ากับลูกผู้พี่เจ้าไม่ชอบกิน เหมียนเอ๋อร์ก็กินไม่เยอะ เจ้าเหลือไว้ให้นางหน่อย ที่เหลือเจ้าก็เอากลับไปได้เลย” ทุกครั้งที่เวยเจี่ยเอ๋อร์กลับมาก็จะนำรถคันเล็กคันใหญ่มาส่งของที่นี่ ยากจะเห็นของที่นางชอบกิน เขาจะใจแคบได้อย่างไร
“ได้เลย ข้าไม่เกรงใจท่านตาแล้วนะเจ้าค่ะ” เสิ่นเวยโยนส้มหนึ่งกลีบเข้าปาก กล่าวด้วยตาเป็นประกาย “ดูท่าแล้วลูกผู้พี่จะใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพองครักษ์ได้ไม่เลวเลย งานสมรสของเขาท่านตาวางแผนไว้ว่าอย่างไร”
หร่วนเหิงไม่เหมือนเสิ่นเชียน เดิมเขาก็อยากอยู่สร้างคุณูปการที่ซีเจียงฟื้นฟูจวนแม่ทัพใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถูกเสิ่นเวยปฏิเสธ ซีเจียงอย่างน้อยสิบปีก็ยังไม่อาจมีสงครามครั้งใหญ่ได้ ไม่มีการต่อสู้ แล้วจะสร้างคุณูปการอะไรได้ เสียเวลาเปล่าอยู่ที่ซีเจียงไม่สู้กลับเมืองหลวงมาหาหนทางอื่น
แม้ว่าซีเจียงจะมีสงคราม เสิ่นเวยก็ไม่อาจปล่อยเขาไว้ได้ เขาคือต้นอ่อนเพียงต้นเดียวของตระกูล
หร่วน หน้าที่ที่สำคัญที่สุดก็คือสืบเชื้อสายตระกูล ส่วนการฟื้นฟูจวนแม่ทัพใหญ่ ทิ้งไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานทำเถอะ ลูกผู้พี่สามารถมีหลานอ้วนท้วนสมบูรณ์ให้ท่านตาได้หลายๆ คนหน้าที่ก็นับว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ด้วยเหตุนี้หร่วนเหิงจึงกลับเมืองหลวง เข้ากองทัพองครักษ์ ไปเฝ้าประตูให้ฮ่องเต้ผู้ชรา ตำแหน่งขุนนางอย่างละเอียดนางจำไม่ได้ จำได้เพียงขั้นห้า ดูท่าแล้วฮ่องเต้จะเห็นแก่หน้าท่านตานางจึงช่วยเหลือเป็นพิเศษ
มีตำแหน่งขุนนางแล้วย่อมต้องทุกข์ใจเรื่องแต่งงาน เด็กหนุ่มมากความสามารถขั้นห้า ในเมืองหลวงก็มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง อีกทั้งหร่วนเหิงก็หน้าตาไม่ได้ด้อย ดังนั้นตระกูลที่จับจ้องเขาก็มีไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นขุนนางเล็กขั้นต่ำ หรือไม่ก็เป็นเศรษฐีใหม่ที่ไม่มีภูมิหลัง อย่าว่าแต่ไม่เข้าตาเสิ่นเวย แม้แต่หร่วนเจิ้นเทียนเองก็ไม่สบายใจ
ไม่ใช่ว่าหร่วนเจิ้นเทียนมีอำนาจ หากหลานชายเขาเป็นคนไม่ได้เรื่อง เขาก็จะไม่ขอมาก แต่ตอนนี้หลานชายเขาเป็นถึงชายหนุ่มในอุดมคติ หากสมรสกับภรรยาที่ไม่ดี เขาก็รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนหลานชาย
“ไม่กี่วันก่อนมีคนหลุดปาก ข้ารู้สึกว่าเหมาะสมใช้ได้” หร่วนเจิ้นเทียนกล่าว
“ตระกูลไหน” เสิ่นเวยรีบถาม
“ตระกูลราชบัณฑิตสวี่ คนที่พูดถึงคือบุตรสาวคนโตของตระกูลราชบัณฑิตสวี่” หร่วนเจิ้นเทียนกล่าว
แซ่สวี่หรือ ดวงตาเสิ่นเวยเป็นกระกายอีกครั้ง “แซ่เดียวกับเสนาบดีสวี่เลย”
หร่วนเจิ้นเทียนพยักหน้า “เป็นบ้านเดียวกัน แต่สายสัมพันธ์ห่างกันเล็กน้อย แทบจะออกจากญาติสนิทห้าชั่วคนแล้ว”
“อ้อ” เสิ่นเวยพยักหน้า คล้ายกำลังครุ่นคิด “เช่นนั้นเหตุใดตระกูลพวกเขาถึงได้สนใจลูกผู้พี่เล่า ข้าไม่ได้บอกว่าลูกผู้พี่ไม่ดี แต่แม่ทัพเช่นพวกเราในสายตาตระกูลใหญ่ตระกูลโตที่มีภูมิหลังเหล่านั้นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยอยู่ในสายตา ราชบัณฑิตสวี่สนใจลูกผู้พี่ได้อย่างไร”
หร่วนเจิ้นเทียนเองก็รู้ว่าหลานสาวพูดความจริง กลับไม่ได้โกรธเช่นกัน เขาส่ายหน้ากล่าว “ไม่แน่ใจนัก หรือว่าราชบัณฑิตสวี่เคยเห็นเหิงเอ๋อร์”
“หรือว่าคุณหนูใหญ่สวี่ผู้นี้มีอะไรไม่ดีหรือไม่” เสิ่นเวยเองก็คาดเดา
หร่วนเจิ้นเทียนส่ายหน้า กล่าวอธิบาย “ไม่ใช่ คนผู้นั้นบอกแล้วว่า คุณธรรมในสตรีของบุตรสาวคนโตตระกูลราชบัณฑิตสวี่ผู้นี้ล้วนดีหมด อายุสิบสองสิบสามก็เรียนการจัดการบ้านกับแม่นางแล้ว เพียงแต่ถึงอายุที่สมควรแต่งงานพ่อแม่ในบ้านกลับลาโลก ไว้ทุกข์ล่าช้าออกไป ปีนี้นางอายุสิบแปดแล้ว อายุมากกว่าลูกผู้พี่เจ้าเล็กน้อย สองสามีภรรยาราชบัณฑิตสวี่รักบุตรสาว ไม่ยอมให้บุตรสาวแต่งงานมั่วซั่ว ดังนั้นจึงสนใจลูกผู้พี่”
“ในเมื่อสองสามีภรรยาราชบัณฑิตสวี่สามารถคิดเพื่อบุตรสาวเช่นนี้ได้ นิสัยใจคอคนผู้นั้นจะต้องไม่เลวแน่นอน ท่านตาท่านอย่ารีบตอบรับ ข้ากลับไปสืบถามท่านป้าสะใภ้ใหญ่ถึงตระกูลพวกเขาก่อน ดูว่าเป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นความจริง พวกเราก็ผูกสัมพันธ์แต่งงานกันอย่างมีความสุข หากในนั้นมีความจริงที่ปกปิด พวกเราก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ ไม่ทำให้ลูกผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรม” เสิ่นเวยเสนอความคิดเห็น