ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 249-1 เสี่ยงอันตราย
องค์ชายรองสวีอวี้ออกมาจากจวนผิงจวิ้นอ๋องก็ไปหาเสด็จแม่ของเขาในวังก่อน สำหรับการปูนบำเหน็จจวนผิงจวิ้นอ๋องของเสด็จแม่ เขายังคงพอใจอย่างถึงที่สุด
ซูเฟยเห็นลูกชายมาหานางก็ดีใจอย่างถึงที่สุด ออกคำสั่งทางซ้ายทางขวากล่าว “เร็วเข้า ไปยกแกงสร่างเมาที่เตรียมไว้เข้ามา” นางรู้ว่าวันนี้ลูกชายไปจวนผิงจวิ้นอ๋องมา
“เสด็จแม่ ไม่เป็นไร ลูกไม่ได้ดื่มสุราเยอะ” องค์ชายรองรีบห้าม
ซูเฟยมองเคืองลูกชายปราดหนึ่ง “ดื่มสุราไม่เยอะก็ต้องทานแกงสร่างเมาสักหน่อย ดูสิหน้าเจ้าแดงก่ำ ยังบอกว่าดื่มสุราไม่เยอะอีก เจ้าน่ะ จริงใจเกินไปแล้ว ดื่มสุรามากจักทำร้ายร่างกาย เจ้าดื่มให้น้อยหน่อยไม่ได้หรือ” ซูเฟยเป็นห่วงอย่างยิ่ง
องค์ชายรองยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ยังคงเป็นเสด็แม่ที่รักลูก”
ซูเฟยมองเคืองอีกครา “เหลวไหล! แม่มีเจ้าแค่คนเดียว ไม่รักเจ้าแล้วจะให้ไปรักใคร”
ซูเฟยมองลูกชายทานแกงสร่างเมาหนึ่งถ้วย บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้ม ฟังลูกชายเล่าถึงความครึกครื้นในงานเลี้ยงจวนผิงจวิ้นอ๋อง บนใบหน้านางก็เผยสีหน้าคล้ายครุ่นคิด “เสด็จพ่อเจ้าดีต่อผิงจวิ้นอ๋องจริงๆ” ดีจนทำให้นางรู้สึกผิดปกติอย่างยิ่ง เป็นหลานชายเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นฝ่าบาทสนใจสวีเยี่ยสวีเหยียนพวกเขาเลย
ทว่าองค์ชายรองกลับไม่ได้สนใจ “จะมีอะไรได้ ไม่ใช่ว่ากันหรือว่าเสด็จพ่อเติบโตมาด้วยกันกับมารดาของผิงจวิ้นอ๋อง อีกทั้งเสด็จพ่อยังเป็นประมุขของแว่นแคว้น สงสารคนอ่อนแอที่สุด ตั้งแต่เล็กผิงจวิ้นอ๋องก็สุขภาพไม่ดี เสด็จพ่อดูแลมากหน่อยก็เป็นสิ่งสมควร”
ซูเฟยกลับไม่เห็นด้วย กล่าวเตือน “ฟังว่าก่อนหน้านี้ผิงจวิ้นอ๋องไปตำหนักโยวหมิงอีกแล้ว เขาดูสนิทสนมกับคนผู้นั้น”
ดวงตาองค์ชายรองกะพริบวาบ กล่าว “เรื่องนี้ได้รับการอนุญาตจากเสด็จพ่อแล้ว เสด็จแม่ท่านอย่าได้สืบหาเลย ถูกเสด็จพ่อรู้เข้า อาจจะโกรธก็เป็นได้ ผิงจวิ้นอ๋องสนิทกับพี่ใหญ่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว อย่างไรเสียก็มีบุญคุณช่วยชีวิตมิใช่หรือ แต่แล้วอย่างไรเล่า พี่ใหญ่ถูกกักขังสิบปีแล้ว คนก็ไร้ประโยชน์ไปนานแล้ว อีกทั้งยังมีคนร้อนใจยิ่งกว่าพวกเรา พวกเรานั่งรออยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”
ชั่วพริบตาซูเฟยก็เข้าใจความหมายของลูกชายแล้ว มุมปากเผยรอยยิ้มเล็กๆ
องค์ชายรองกล่าวต่อ “เสด็จแม่ ในเมื่อเสด็จพ่อดูแลผิงจวิ้นอ๋องมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกย่อมต้องผูกมิตรกับเขา หากท่านว่างไม่มีอะไรทำก็เรียกจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เข้ามาพูดคุยให้มากหน่อย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูเฟยหายไปทันที “หาได้ไม่ แม่ไม่ถูกชะตากับนาง เห็นนางแล้วก็ปวดหัว เจ้าไม่รู้ว่าเด็กชั่วผู้นั้นเหิมเกริมเพียงใด สั่งคนมาตีน้าเล็กของเจ้าไม่พอ ซ้ำยังเยาะเย้ยเสียดสีแม่อีก นาง…”
“เสด็จแม่” องค์ชายขมวดคิ้วตัดบทซูเฟย กล่าวอย่างจนใจ “เสด็จแม่ เรื่องนี้ก็ผ่านมานานแล้วท่านยังไม่ลืมอีก เมื่อน้าเจ็ดแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ยังคงเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง เรื่องของน้าเล็กก็ยิ่งตำหนินางไม่ได้ ใครให้น้าเล็กไปหยอกเย้าลูกผู้น้องของนางเล่า หากเป็นข้าก็คงไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวเช่นกัน” อีกทั้งคราวก่อนที่จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เข้าวังเคารพ ก็เห็นชัดๆ ว่าเสด็จแม่หาเรื่องก่อน “เสด็จแม่ อย่าอื่นไม่ว่า แต่ท่านหวังดีต่อลูกใช่หรือไม่ ไม่ใช่ความแค้นมากมายอะไร เหตุใดท่านต้องเคืองแค้นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ด้วยเล่า”
“พอแล้ว พอแล้ว แม่รู้แล้ว” ซูเฟยโบกมืออย่างทนไม่ไหว “เพื่อเจ้า แม่ยอมทนพอใจหรือไม่”
องค์ชายรองถอนหายใจหนึ่งครา ปกติเสด็จแม่ก็มีเหตุผลอย่างยิ่ง เหตุใดพอเจอจยาฮุ่ยจวิ้นจู่แล้วถึงได้ใจร้อนเล่า “ลูกไม่ได้ให้เสด็จแม่ทนใคร ท่านวางใจ ลูกจะพยายาม หลังจากนี้มีเพียงคนอื่นที่ต้องอดทนต่อท่าน ไม่ใช่ท่านต้องอดทนต่อใคร” เขามองดวงตาของซูเฟย กล่าวอย่างตั้งใจจริง
ซูเฟยปลื้มใจอย่างถึงที่สุด ตบแขนของลูกชายแล้วกล่าว “เพื่อความตั้งใจนี้ของเจ้า แม่ก็จะไม่เป็นภาระของเจ้า เจ้าวางใจเถิด”
หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “จริงสิ เรื่องน้าเล็กของเจ้าเจ้าเองก็ใส่ใจหน่อย จับน้าเล็กของเจ้าเข้าคุกโดยไม่มีหลักฐานพยานหมายความว่าอย่างไรกัน ตากับยายทวดเจ้าร้องไห้จนตาแทบบอดอยู่แล้ว จ้างเฉิงซวี่ผู้นั้นก็ไม่ได้ความเกินไปแล้ว เห็นจวนเสนาบดีกับวังข้าอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่
พูดถึงเรื่องนี้ซูเฟยก็โมโห เมื่อวานตอนเช้าท่านแม่เข้าวังมาฟ้องร้องตน นางเองก็เดือดดาลอย่างถึงที่สุด อย่าว่าแต่ไม่มีหลักฐาน ต่อให้น้องชายนางฉุดแม่นางเข้าจวนจริงๆ แล้วอย่างไร เพียงแต่เด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง ถูกใจนางถือเป็นวาสนาของนาง ซ้ำยังเล่นตัวกล้าฟ้องร้องหรานเอ๋อร์ บังอาจนัก!
จ้าวเฉิงซวี่เองก็ไม่ใช่คนดี ใครๆ ก็บอกว่าเขาซื่อตรงรักความเป็นธรรม จากที่นางเห็นก็แค่คนคร่ำครึที่ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์ก็เท่านั้นเอง “เจ้าเองก็ไปทักทายผู้แซ่จ้าวเสียหน่อย รีบให้เขาปล่อยน้าเล็กของเจ้าได้แล้ว”
คิ้วขององค์ชายรองขวมดมุ่นทันที “เสด็จแม่ จ้าวเฉิงซวี่เป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ เขาคือผู้ตัดสินคดีความ แม้ลูกจะสูงศักดิ์เป็นองค์ชาย แต่ก็ไม่อาจบิดเบือนกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว! หากรู้ไปถึงหูเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะมองเช่นไร”
องค์ชายรองไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อย่างยิ่ง น้าเล็กของเขาเป็นคนเช่นไรเขายังไม่รู้อีกหรือ เขาที่เป็นองค์ชายรองของราชวงศ์ยังไม่กล้าไปข่มขืนหญิงชาวบ้านเลย แต่คนที่ไม่มีชื่อเสียงผลงานอะไรสักอย่างเช่นเขากลับฉุดอย่างมั่นอกมั่นใจ การงานไม่ทำสักอย่าง วันๆ สร้างแต่เรื่อง นอกจากจะช่วยเขาไม่ได้แล้ว ยังเป็นภาระเขาอีก จะให้ความประทับใจที่ตนมีต่อเขาดีได้อย่างไร
“บิดเบือนกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอะไรกัน น้าเล็กของเจ้าถูกใส่ร้าย” ซูเฟยกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ก็แค่ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ ยังกล้าไม่ไว้หน้าเจ้าอีกหรือ อวี้เอ๋อร์ อย่างไรเสียนั่นก็คือน้าเล็กของเจ้า ลูกหลงของตาเจ้า เจ้าคิดดูสิว่าตากับยายเจ้ารักเจ้าเพียงใด! เรื่องนี้ เจ้าไม่อาจยืนดูอยู่ข้างๆ ได้!” ซูเฟยใช้ความผูกพันมาแสวงหาผลประโยชน์จากลูกชาย
องค์ชายรองแสยะปากในใจ ใส่ร้ายหรือ จากความเข้าใจที่เขามีต่อน้าเล็กผู้นั้นของเขา เรื่องนี้คาดว่าคงเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่น้าเล็กลูกคุณชายผู้นั้นของเขาสามารถทำได้ลง แต่ว่าเมื่อย้อนคิดถึงท่านตาท่านเสนาบดีฉินกับน้าใหญ่ที่มากความสามารถของเขา เรื่องนี้เขาก็ไม่อาจไม่สนใจได้จริงๆ คราวก่อนเขาให้จางจ่างสื่อออกหน้าก็เพียงเพื่อปิดปากเสด็จแม่ เช่นนั้นพรุ่งนี้เขาจะไปพูดกับจ้าวเฉิงซวี่ด้วยตัวเองสักหน่อย
“ก็ได้ๆๆ ลูกรับปากท่านพอใจแล้วหรือยัง” องค์ชายรองแสร้งประนีประนอมอย่างจนใจ “พรุ่งนี้ลูกจะไปหาใต้เท้าจ้าว ให้เขาปล่อยน้าเล็กออกมา แต่เสด็จแม่ท่านเองก็ต้องบอกท่านย่าด้วยว่า ให้นางดูแลน้าเล็ก อย่าทำเรื่องเหลวไหลเช่นจูงหมาชนไก่ไปวันๆ พลอยให้ลูกไร้เกียรติไปด้วย”
ซูเฟยจึงเผยสีหน้าพอใจออกมา “ได้ พรุ่งนี้แม่จะไปพูดกับย่าเจ้า ให้นางดูแลหรานเอ๋อร์ให้ดี”
เป็นอีกคืนที่ไร้แสงจันทร์ เสิ่นเวยใส่ชุดท่องราตรีสวมหน้ากากจิ้งจอกแอบเข้าไปในจวนเสนาบดีฉิน บอกเหตุผลอะไรไม่ได้ เบื้องลึกในใจเสิ่นเวยมักจะมีความรู้สึกชนิดหนึ่ง เรียกให้นางมาที่นี่ คล้ายกับว่าที่นี่มีอะไรบางอย่างรอนางอยู่ ความรู้สึกชนิดนี้ทำให้นางไม่สบายใจและร้อนรน หลายปีมาแล้วที่ไม่เคยปรากฏขึ้น ดังนั้นจึงฉวยโอกาสตอนที่สวีโย่วถูกฝ่าบาทเรียกเข้าวังไปอภิปรายงานนางจึงมา
นึกย้อนถึงเส้นทางที่สวีโย่วพานางมาวันนั้น บวกกับการวิเคราะห์คาดการณ์ของตัวนางเอง เสิ่นเวยก็เข้าใกล้ห้องหนังสือของท่านเสนาบดีฉินทีละนิดทีละน้อย ตอนที่ยังห่างอยู่อีกระยะหนึ่งเสิ่นเวยก็ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าต่อแล้ว เพราะนางพบว่าการป้องกันที่นี่เข้มงวดยิ่งกว่าที่อื่น นางไม่มั่นใจว่าจะเข้าใกล้ห้องหนังสือของท่านเสนาบดีฉินได้โดยไม่ทำให้คนที่อยู่ในความมืดรู้ตัว
โชคดีที่เสิ่นเวยมีความอดทน นางมองซ้ายมองขวาเล็กน้อยไม่เห็นว่ามีที่ที่เหมาะสมกับการซ่อนตัวใดๆ เมื่อเงยหนาขึ้นชั่วขณะก็เกิดความคิด สูดหายใจเข้าลึกแล้วจึงวิ่งขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็ว นางหมอบตัวลง ร่างทั้งร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสันหลังคา เคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ ช้าๆ
มองเห็นแสงไฟที่ส่องออกมาจากห้องหนังสือท่านเสนาบดีฉินได้แต่ไกลๆ ดูท่าแล้วท่านเสนาบดีฉินคงจะยุ่งอยู่ยังไม่ได้นอน มุมปากเสิ่นเวยเผยรอยยิ้มหยัน ก็ใช่ ลูกชายยังอยู่ในคุกศาลต้าหลี่ คนเป็นพ่อจะหลับลงได้อย่างไร
คดีของฉินมู่หรานเสิ่นเวยสั่งคนไปเฝ้าดูมาโดยตลอด นางไม่เพียงแต่รู้ว่าจ้าวเฉิงซวี่ไม่ไว้หน้าท่านเสนาบดีฉิน แม้แต่หน้าองค์ชายรองก็ยังไม่ไว้ นี่ทำให้ในใจนางเกิดวามเลื่อมใสต่อจ้าวเฉิงซวี่คนผู้นี้หลายส่วน ขุนนางที่สามารถแบกรักความกดดันที่มากเพียงนี้ยืนหยัดตัดสินใจไม่ละทิ้งความชอบธรรมเพื่อประชาชนมีไม่เยอะจริงๆ มิน่าเล่าต่อให้สาส์นที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจเขาจะปลิวว่อนทั่วฟ้า ฝ่าบาทก็ไม่สะทกสะท้าน ยังคงให้เขานั่งอยู่ในตำแห่งผู้พิพากษาศาลต้าหลี่อย่างมั่นคง
ในขณะที่เลื่อมใส เสิ่นเวยก็ยังคงเป็นกังวลเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นท่านเสนาบดีฉินหรือว่าองค์ชายรองต่างก็ไม่ใช่คนดี โดยเฉพาะองค์ชายรอง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายในราชสำนักใครบ้างที่ไม่ไว้หน้าเขาหลายส่วน จ้าวเฉิงซวี่ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แม้จะบอกว่าเป็นหน้าที่ แต่ใครจะรับรองได้ว่าองค์ชายรองจะไม่อับอายจนโมโหแล้วโจมตีแก้แค้นต่อ
การปัดแข้งปัดขาระหว่างขุนนาง ฝ่าบาทยังสามารถตัดสินอย่าเป็นธรรมได้ หากว่าองค์ชายเกิดความขัดแย้งกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ต้องปกป้องลูกตัวเองหลายส่วน แม้หลังเรื่องจบจะตำหนิองค์ชายรองแล้วอย่างไร ไม่เจ็บไม่ปวด ส่วนขุนนางก็ต้องโชคร้ายมิใช่หรือ
ความคิดเหล่านี้ค่อยๆ ผ่านเข้ามาในสมองเสิ่นเวย นางกระทั่งใคร่ครวญว่าจะคิดหาวิธีจากจางย่วนเหนียงได้หรือไม่
สมองของเสิ่นเวยไตร่ตรองด้วยความรวดเร็ว ทว่าการเคลื่อนไหวของร่างกายก็ไม่ได้หยุดลง จู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามือคล้ายกดลงบนของบางอย่างที่อ่อนนุ่ม คล้ายเป็น คล้ายเป็นขาของคน เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะคิดก็ชักปิ่นปักผมบนศีรษะแทงลงไป
คนผู้นั้นก็ตอบสนองรวดเร็ว กลิ้งไปข้างๆ ปิ่นปักผมของเสิ่นเวยก็แทงอากาศ เสิ่นเวยเขยิบตัวขึ้นไปอีก ถูกคนผู้นั้นจับมือทั้งคู่ไว้อย่างแน่นหนา คนผู้นี้เองก็สวมหน้ากากหนึ่งอัน สวมชุดท่องราตรีสีดำเช่นกัน ส่วนสูงสูงกว่าเสิ่นเวยประมาณครึ่งศีรษะ
ดวงตาเสิ่นเวยเย็นยะเยือก กำลังจะออกกระบวนท่าที่รุนแรง ก็เห็นคนผู้นั้นหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา “ฟู่ว์ สหายก็ได้ยินมาเหมือนกันหรือว่าจวนเสนาบดีซ่อนสมบัติไว้ เป็นพวกเดียวกัน ไปด้วยกันเป็นอย่างไร”
สมบัติหรือ มาขโมยสมบัติจวนเสนาบดีฉินที่ป้องกันเข้มงวดหรือ เหตุผลนี้จะหลอกใครได้ เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา “ไม่สนใจ!” เท้าเตะออกไป
ทั้งสองประมือกันอยู่บนสันหลังคา เพราะกลัวว่าการเคลื่อนไหวจะดังเกินไปจนดึงดูดองครักษ์ในจวน ทั้งสองต่างก็ไม่กล้าปล่อยกลอุบายออกไป ชั่วขณะไม่ว่าใครก็ไม่ยอมใคร