ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 249-2 เสี่ยงอันตราย
“ข้าจะบอกอะไรให้นะสหาย พวกเราอย่าสู้กันเลยดีกว่า ไม่ยอมไปด้วยกันก็ไม่เป็นไร ข้าขโมยสมบัติของข้า เจ้าก็ทำงานของเจ้า พวกเราต่างคนต่างอยู่ อีกประเดี๋ยวดึงดูดองครักษ์ในจวนขึ้นมา เราสองคนจะแย่กันทั้งคู่” คนผู้นั้นสู้ไปพลางกล่าวไปพลาง
เสิ่นเวยไม่สนใจเขา ออกกระบวนท่าอย่างเงียบๆ ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้มาจากไหน มีเขาอยู่ข้างๆ นางไม่วางใจเลยแม้แต่นิดเดียว หากเป็นตอนที่นางกำลังทำงานอยู่แล้วเขาแทงมีดเข้ามาข้างๆ นางจะหาใครมาเป็นพยาน วิธีที่มั่นใจได้ที่สุดก็คือจัดการคนผู้นี้เสีย
ส่วนจะทำให้องครักษ์ในจวนรู้ตัวหรือไม่ เสิ่นเวยไม่ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว รู้ตัวก็รู้ตัว อย่างมากครั้งหน้านางก็ค่อยมาใหม่ ความสามารถในการหนีนางยังคงมี
คนผู้นั้นถูกเสิ่นเวยกดดันจนลุกลี้ลุกลน ในใจกระอักกระอ่วนจะแย่อยู่แล้ว นี่มันท่อนไม้ที่ไหนกัน เหตุใดถึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เขาสืบมาหลายคืนกว่าจะหลบด่านลับในจวนมาถึงที่นี่ได้ ไม่คิดว่าจะมาเจอท่อนไม้ เหตุใดชีวิตของเขาถึงได้ลำบากเพียงนั้น
เสิ่นเวยไม่สนเสียงร้องโหยหวนในใจเขา การโจมตีดุเดือดยิ่งขึ้น
“หยุดก่อน ดูเร็ว ท่านเสนาบดีฉินผลักประตูออกมาแล้ว” คนผู้นั้นกระโดดไปข้างหลัง พลันกล่าว
เสิ่นเวยเองก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวใหญ่ทันทีเช่นกัน มองคนผู้นั้นปราดหนึ่งอย่างตื่นตัว เหอะ หางจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้วสินะ ยังบอกว่ามาขโมยสมบัติ เหตุใดเขาถึงมั่นใจเช่นนั้นว่าคนที่ออกมาคือท่านเสนาบดีฉิน เกรงวว่าจะจ้องอยู่นานแล้วสิท่า
แต่ว่านี่เองก็ทำให้เสิ่นเวยวางใจลงเล็กน้อย แม้ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีจุดประสงค์อะไร แต่ขอเพียงแค่เขาเป็นศัตรูกับท่านเสนบดีฉิน เช่นนั้นนางก็ดีใจแล้ว เห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนหนูของคนผู้นี้ คาดว่าคงจะไม่ใช่มิตรด้วยเช่นกัน
“ดูสิ ท่านเสนาบดีฉินออกจากเรือนแล้ว” คนผู้นั้นส่งเสียงเตือนอีกครั้ง ราวกับไม่เห็นความตื่นตัวของเสิ่นเวย
เสิ่นเวยจ้องมองตามไป เป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านเสนาบดีฉินกำลังออกมาจากลานบ้าน ข้างกายมีคนถือโคมผู้หนึ่งตามอยู่ ดูจากทิศทางที่เขาเดินไม่ได้ไปยังเรือนใน ดึกเพียงนี้แล้วเขาจะไปไหน
ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ ร่างพุ่งออกไป ตามอยู่ข้างหลังเงียบๆ
คนผู้นั้นที่ประมือกับเสิ่นเวยก่อนหน้านี้ก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เท้าแตะลง ตามเข้าไปเงียบๆ เช่นกัน
เสิ่นเวยหันหน้า ถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่งอย่างดุร้าย หลีกไปข้างๆ หลีกห่างจากเขาให้ไกลเล็กน้อย
คนผู้นี้เห็นท่าทีก็ลูบจมูก กลับไม่ได้เข้าไปใกล้ แขวะในใจ เขาเป็นมีความสามารถยอดเยี่ยม มนุษยสัมพันธ์ก็ดีอย่างถึงที่สุด เหตุใดคืนนี้ถึงถูกรังเกียจเช่นนี้เล่า แต่ว่าวิทยายุทธ์ของคนพวกเดียวกันผู้นี้กลับดีจริงๆ ในดวงตาของเขาปรากฏความสนใจสามส่วน เฮ้อ ช่วงนี้ชีวิตจืดชืดเกินไปแล้ว เขาเองก็ต้องการการกระตุ้นอย่างยิ่ง
“นี่ เจ้าว่าท่านเสนาบดีฉินจะไปไหนหรือ” คนผู้นั้นกล่าวเสียงเบา
เสิ่นเวยไม่สนใจเขา เพียงแค่จ้องมองโคมนั้นตรงหน้านิ่ง ยังต้องแบ่งความสนใจไประวังผู้ร่วมทางข้างๆ อีก นางวิเคราะห์ทิศทางครู่หนึ่ง นางพบว่าท่านเสนาบดีฉินเดินไปยังทิศทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้จวนเสนาบดีฉินคือเรือนใด
เสิ่นเวยกำลังคิด จู่ๆ ก็ได้ยินคนผู้นั้นกล่าวเสียงเบาอีกครั้ง “เจ้าว่าท่านเสนาบดีฉินจะนับพบหญิงงามหรือไม่ เขาแอบเลี้ยงหญิงงามไว้ในเรือนหลังไหนในจวน”
ชั่วขณะก็ขัดจังหวะความคิดของเสิ่นเวยแล้ว นี่มันคนพูดมากที่โผล่ออกมาจากหลืบไหน ไม่พูดจะตายหรือไร จะตายหรือ จะตายหรือ ไม่ดูว่าบ้างตอนนี้เป็นเวลาอะไร ทำให้คนอื่นรู้ตัวขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ ยังจะมาแอบเลี้ยงหญิงงามอะไรอีก ท่านเสนาบดีฉินน้ำเข้าสมองสิถึงจะซ่อนหญิงสาวไว้ในจวน แท้จริงแล้วคนผู้นี้เติบโตอยู่บนเขาลูกไหนกันแน่
“หุบปาก!” เสิ่นเวยกัดฟันอย่างเคียดแค้น ยกปิ่นปักผมที่เป็นเงาวาวในมือนางให้คนผู้นั้นดู หากคนผู้นี้ยังไม่หยุดอีก ก็อย่าหาว่านางช่วยเขาปิดปากไปตลอดชีวิต
คนผู้นั้นทำท่าทางห่อไหล่หวาดกลัว ในใจแสยะปากเงียบๆ โหดจริงๆ โหดเกินไปแล้ว
ร่างกายที่คล่องแคล่วของเสิ่นเวยผุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางแสงในยามราตรี ติดตามแสงไฟข้างหน้าไม่ใกล้ไม่ไกล ทันใดนั้น แสงไฟข้างหน้าก็พลันดับ เสิ่นเวยตระหนักได้ทันที ร่างกายชิงก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว วิ่งหลบออกมา หนีออกไปนอกจวนด้วยความรวดเร็ว
การตอบสนองของอีกคนหนึ่งก็ไม่ช้า แทบจะหนีไปยังทิศทางฝั่งตรงข้ามพร้อมกับเสิ่นเวย ก่อนไปยังทิ้งของบ้างอย่างเอาไว้ด้วย
ในขณะที่เสิ่นเวยกับคนผู้นั้นหนีไป ในความดำมืดก็มีคนหลายคนปรากฏตัวออกมา จู่โจมไม่โดน ก็แยกย้ายกันไล่ตามคนทั้งสองทันที
เสิ่นเวยหยิบเลือกทักษะพิเศษออกมาเล่นซ่อนหากับทหารที่ไล่ตาม หากประลองด้วยดาบจริงทวนจริง เสิ่นเวยอาจจะเสียเปรียบเนื่องจากไม่ชำนาญกำลังภายใน แต่เทียบกับวิทยายุทธ์ในการหนีและซ่อนตัว นั่นยังคงไม่มีใครเทียบนางได้ นางเพียงแค่ซ่อนตัวเองอยู่ใต้ชายคา ทหารที่ไล่ตามเหล่านั้นก็วิ่งผ่านหน้านางไปโดยไม่สังเกตเห็น
“ท่านเสนาบดี ผู้น้อยไร้ฝีมือ คนหายไปแล้วขอรับ” คนสองกลุ่มที่ไล่ตามออกไปถอยทัพด้วยความล้มเหลว
โคมไฟจุดสว่างอีกครั้งแล้ว ท่านเสนาบดีฉินโบกมือกล่าว “ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ” ในเมื่อคนแอบเข้ามาในจวนของเขาได้อย่างเงียบเชียบแล้ว เช่นนั้นก็ย่อมหนีออกไปได้แน่นอน เหล่าองครักษ์ตามคนไม่ทันเขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว เดิมคิดว่าการป้องกันในจวนเข้มงวดพอแล้ว ไม่คิดว่าจะยังไม่ได้!
แม้ท่านเสนาบดีฉินจะไม่ได้ติโทษ แต่ในใจหัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นกลับละอายใจอย่างถึงที่สุด บนใบหน้าร้อนผ่าว หมัดของผู้อื่นต่อยลงมาบนหน้าแล้ว เขาไม่เพียงแค่รู้สึกเจ็บ แต่ยังรู้สึกขายหน้า ตัดสินใจเงียบๆ แล้วว่าจะเพิ่มการแจ้งเตือนในจวน การป้องการในจวนเองก็ต้องปรับเปลี่ยนใหม่ เรื่องที่ตบหน้าเช่นนี้ครั้งเดียวก็เกินพอ
เมื่อทหารที่ไล่ตามเดินไปไกลแล้วเสิ่นเวยก็พลิกตัวออกมาจากใต้ชายคา นางยืนอยู่บนสันหลังคาเงียบๆ ไม่ได้ดีใจ และไม่ได้ผิดหวัง ส่วนท่านเสนาบดีฉินจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น นางไม่ได้หวังว่าสืบคืนเดียวจะพบอะไรได้ ความจริงแล้วกำไรในคืนนี้นางก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว อย่างน้อยนางก็รู้ว่าทิศทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจวนเสนาบดีฉินมีเงื่อนงำ มิเช่นนั้นท่านเสนาบดีฉินก็คงจะไม่ไปทางนั้นในเวลาดึกสงัด อืม พรุ่งนี้ค่อยส่งข่าวให้สายลับในจวนเสนาบดี ให้พวกเขาจับตามองว่าทิศนั้นมีอะไรบ้าง
เงาร่างเงาหนึ่งปรากฏตัวเงียบๆ ห่างออกไปจากเสิ่นเวยห้าก้าว “โห เจ้าวิ่งเร็วจริงๆ!” เป็นคนพวกเดียวกันผู้นั้นก่อนหน้านี้
เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา ชมเขากลับหนึ่งประโยค “เหมือนกันนั่นแหละๆ” จากนั้นจึงหันหลังกลับก้าวขาเดินออกไป นางไม่อยากอยู่กับคนโง่ที่เบาปัญญาผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว นางสงสัยว่าท่านเสนาบดีฉินสังเกตเห็นพวกเขาก็เพราะว่าหมอนี่พูดมากเกินไป
“นี่ สหาย…” คนผู้นั้นเห็นเสิ่นเวยกำลังจะไป ก็รีบเรียก
เสิ่นเวยหันหน้ากลับ กล่าวอย่างเย็นชา “อย่าเรียกข้า อย่าตามข้ามาอีก มิเช่นนั้น หึ!” การข่มขู่ในวาจาน่าสะพรึงกลัว
เท้าที่ยกขึ้นของคนผู้นั้นดึงกลับทันที ช่างเถอะ คนพวกเดียวกันผู้นี้ไม่เพียงแต่โหดเ**้ยม นิสัยยังคล้ายไม่ดีอีกด้วย เขาก็อย่าได้ตามไปหาเรื่องใส่ตัวเลย กลับไปนอนดีกว่า
ตอนที่เสิ่นเวยปีนข้ามเรือนตนไหล่ก็ถูกตบ นางสะดุ้งอย่างแรง วินาทีต่อมาก็ถูกรวมเข้าไปในอ้อมกอดที่คุ้นเคย “ไปเดินเล่นที่ไหนมา” เสียงที่ทุ้มต่ำของสวีโย่วดังขึ้นข้างหูนาง
ร่างที่เกร็งแน่นของเสิ่นเวยอ่อนลงทันที ทุบตีสวีโย่วอย่างไม่พอใจ “ท่านเกือบทำข้าหัวใจวายแล้ว” หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ว่างไม่มีอะไรทำเลยไปเดินเล่นที่จวนเสนาบดีฉินเที่ยวหนึ่ง” ความหวาดกลัวที่ถูกจับได้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย คิดแล้วคิดอีกจึงกล่าวเพิ่มหนึ่งประโยค “เจอคนโง่ผู้หนึ่ง ถูกพบเห็นแล้ว”
คิ้วคู่งามของสวีโย่วขมวดเล็กน้อย กล่าวอย่างเด็ดขาด “คราวหน้าไปอีกข้าจะไปกับเจ้า” ในเมื่อเวยเวยสนใจ ส่วนเขาก็ห้ามไม่ได้ เช่นนั้นก็ไปเสี่ยงอันตรายกับนางแล้วกัน
เสิ่นเวยดีใจดังคาด เขย่งปลายเท้าหอมลงบนหน้าเขา “ดี! ท่านรับปากแล้วนะ” มีสวีโย่วยอดฝีมือผู้นี้ไปด้วย ต่อให้เจอคนโง่อีกนางก็มั่นใจว่าจะจับเขาได้
“จริงสิ ฝ่าบาทเรียกท่านไปทำไมหรือ ดึกเพียงนี้แล้วเหตุใดถึงไม่ให้ท่านค้างในวังเสียเลยเล่า” เสิ่นเวยพลั้งปากถาม ถามเสร็จก็รู้ว่าตนพูดจาโง่ๆ แล้ว แม้แต่องค์ชายที่บรรลุนิติภาวะยังไม่อาจค้างอยู่ในพระราชวังได้ง่ายๆ นับประสาอะไรกับสวีโย่วที่เป็นเพียงหลานชายเล่า
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่อยากให้ข้ารับราชการในราชสำนักเพื่อช่วยเขา” สวีโย่วเลี่ยงหนักเป็นเบากล่าวกับเสิ่นเวย ลังเลครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ฝ่าบาทอยากให้ข้าบัญชาการกองปัญจทิศรักษานคร ข้ารับปากแล้ว” คาดว่าข่าวนี้พรุ่งนี้เช้าราชสำนักก็คงจะประกาศ แม้เขาจะไม่พูด ถึงตอนนั้นเสิ่นเวยก็รู้อยู่ดี
“กองปัญจทิศรักษานครหรือ” หน่วยงานนี้เสิ่นเวยคล้ายรู้มาบ้างเล็กน้อย พูดง่ายๆ ก็คือจัดการความสงบเรียบร้อย ป้องกันขโมยต่างๆ ลาดตระเวนตามถนนต่างๆ นานา ไม่ต่างจากสำนักงานตำรวจในยุคปัจจุบันนัก “เหตุใดฝ่าบาทถึงอยากให้ท่านไปอยู่ในกองปัญจทิศรักษานครเล่า” ให้หัวหน้าสายลับที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นไปดูแลเรื่องจุกจิกที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ใช่ใช้คนไม่เหมาะกับงานหรือไม่
สวีโย่วกอดร่างหอมๆ ของเสิ่นเวย สูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความลุ่มหลง กล่าว “ในกองปัญจทิศรักษานครของราชสำนักส่วนใหญ่เป็นขุนนางผู้สร้างคุณูปการและบุตรหลานราชนิกุล บ้างก็เป็นลูกคุณหนูคุณชาย บ้างก็สร้างบาปกรรมทำชั่ว คนที่ทำงานจริงจังมีอนาคตก็มีไม่มาก คนอื่นควบคุมพวกเขาไม่ได้ ฝ่าบาทปวดหัวเพราะเรื่องนี้มานานแล้ว และฐานะของข้าก็เหมาะสมพอดี” สวีโย่วอธิบาย
“เช่นนั้นทหารเงาเล่า” ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ คิดถึงปัญหาข้อนี้
“ยังคงเป็นข้าที่กุมอยู่” สวีโย่วกล่าว
เสิ่นเวยพยักหน้า วางใจลงไม่น้อย แม้นางจะชอบหยอกเย้าล้อเลียนสวีโย่วว่าเป็นหัวหน้าสายลับ ทว่าในมือกุมอำนาจของทหารเงาอยู่ทำงานส่วนตัวขึ้นมาแล้วก็สะดวกมากนัก