ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 256-2 สวีโย่วหลงภรรยา
สวี่ซื่อปรายตามองนางปราดหนึ่ง กล่าว “ดูน้องสะใภ้พูดเข้า นายท่านผู้เฒ่าโหวไหนเลยจไม่รักซงเอ๋อร์ไป่เอ๋อร์ นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่ใช่ไหว้วานคนให้เขียนจดหมายแนะนำส่งซงเอ๋อร์ไปที่วิทยาลัยชิงซานหรอกหรือ ไป่เอ๋อร์ก็มีพรสวรรค์ด้านภาพวาดอักษร เดือนก่อนนายท่านผู้เฒ่าโหวก็ยังใช้เงินจำนวนมากเชิญปรมาจารย์ด้านภาพวาดอักษรมามิใช่หรือ อย่าร้อนใจไป รอให้จัดการเรื่องของเชียนเอ๋อร์เสร็จก็ถึงตาซงเอ๋อร์ไป่เอ๋อร์แล้วมิใช่หรือ เป็นหลายชายเหมือนกัน นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ต้องห่วงใยเหมือนกัน”
น้องสะใภ้รองผู้นี้ก็จริงๆ เลย นายท่านผู้เฒ่าโหวปฏิบัติต่อเชียนเอ๋อร์ดีกว่าเล็กน้อยก็เป็นเรื่องสมควรมิใช่หรือ เชียนเอ๋อร์เป็นหลานชายคนโตในจวน ซงเอ๋อร์กับไป่เอ๋อร์เป็นเพียงบุตรอนุภรรยาบุตรภรรยาเอกก็เท่านั้น จะเหมือนกันได้หรือไร แม้แต่เจวี๋ยเอ๋อร์บ้านสามก็ยังมีฐานะสูงกว่าพวกเขาเล็กน้อย สำหรับเวยเอ๋อร์ แม้แต่เชียนเอ๋อร์ของนางยังเทียบไม่ได้ นางจ้าวซื่อยังคิดจะเทียบเคียง ช่างไม่รู้อะไรจริงๆ นายท่านผู้เฒ่าโหววางแผนเพื่อพวกเขามากแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังไม่พอ ใจคนโลภไม่สิ้นสุดดั่งงูจะกลืนช้างจริงๆ! นี่ทำให้สวี่ซื่อไม่พอใจอย่างมาก
จ้าวซื่อถูกพี่สะใภ้ใหญ่พูดใส่หน้าโครมๆ สีหน้าก็เจื่อนอย่างอดไม่ได้ “ใช่แล้ว นายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นผู้มีเมตตาอย่างหาได้ยาก ปฏิบัติต่อลูกหลานดียิ่งนัก” ทว่าในใจกลับวิจารณ์ ก็แค่ส่งจดหมายแนะนำเชิญอาจารย์มิใช่หรือไร ยังอยู่ห่างเชียนเอ๋อร์กับเวยเอ๋อร์อีกไกล
มีคนดีใจและมีคนโกรธา
บุตรสาวคนอื่นๆ เพียงแค่อิจฉา บ้างก็ริษยาความโชคดีของเสิ่นเวยก็เท่านั้น ส่วนเสิ่นเสวี่ยกลับโมโหอย่างประจักษ์แจ้ง มิหนำซ้ำจ้าวเฟยเฟยยังกล่าวกับนางด้วยความใส่ซื่อไร้เดียงสา “พี่สะใภ้ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ทำให้คนอิจฉาจริงๆ! ท่านเป็นพี่น้องกับนาง มีโอกาสก็แนะนำข้าบ้างได้หรือไม่”
ชั่วขณะเสิ่นเสวี่ยก็โมโหเดือดดาล รู้อยู่แกใจว่านางแย่งคู่หมั้นของเสิ่นเวยแต่งเข้าจวนหย่งหนิงโหว ความสัมพันธ์ของพวกนางพี่น้องจะดีได้อย่างไร ยังจะให้นางแนะนำอีก นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้านางหรอกหรือ
“แม้จะบอกว่าเป็นพี่น้อง แต่ต่างคนต่างก็แต่งงานแล้ว ธรณีประตูจวนผิงจวิ้นอ๋องสูง ข้าเกรงว่าจะไม่มีความสามารถแนะนำให้ญาติผู้น้องได้” เสิ่นเสวี่ยตอบปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
จ้าวเฟยเฟยผิดหวังทั้งใบหน้า “มิใช่พูดกันหรือว่าผิงจวิ้นอ๋องมักจะกลับบ้านฝั่งมารดาเป็นเพื่อนจยาฮุ่ยจวิ้นจู่บ่อยครั้ง ถึงตอนนั้นพี่สะใภ้ก็กลับไป พาข้าไปด้วยก็ได้แล้วมิใช่หรือ” นางยังคงกล่าวอย่างไม่ตายใจ
อวี้ซื่อฮูหยินหย่งหนิงโหวเองก็ใจเต้น นางมองหลานสาวตาที่น่ารักน่าเอ็นดู รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดีจริงๆ นั่นเป็นถึงผิงจวิ้นอ๋อง ลูกชายของท่านจิ้นอ๋อง หลานชายของฝ่าบาท ซ้ำยังดูแลกองปัญจทิศรักษานคร หากเฟยเฟยเข้าตาของเขา ความร่ำรวยมีเกียรติก็อยู่ไม่ไกลแล้ว แม้จะไม่เข้าตาผิงจวิ้นอ๋อง แต่สามารถผูกมิตรกับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ได้ นี่เองก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน! มีจยาฮุ่ยจวิ้นจู่พาเฟยเฟยออกไปคบค้าสมาคม ฮูหยินเหล่านั้นก็ต้องให้ความสำคัญสักหน่อยมิใช่หรือ
นึกถึงตรงนี้อวี้ซื่อก็กล่าว “เฟยเฟยพูดถูก แม้จะบอกว่าต่างคนต่างแต่งงานแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องยังคงต้องเดินต่อไป ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงจะถูกต้อง เอาเช่นนี้แล้วกัน จยาฮุ่ยจวิ้นจู่กลับจวนจงอู่โหวเมื่อไร เสิ่นซื่อเจ้าก็พาเฟยเฟยกลับไปด้วย”
เสิ่นเสวี่ยมองจ้าวเฟยเฟยอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ญาติผู้น้องคิดจะผูกมิตรกับพี่สาวของข้า หรือว่าผิงจวิ้นอ๋องกันแน่” จากนั้นจึงละสายตามองอวี้ซื่อ “จะเข้าหาผู้มีอำนาจ ลูกยังไม่มีความสามารถนั้นจริงๆ ยังต้องขอให้ท่านแม่ไปหาผู้ปราดเปรื่องคนอื่นแทน” จับมือของสาวใช้บิดเอวกลับเรือนไปแล้ว
ทำอวี้ซื่อโมโหเดือดดาล เฮ้อ ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว
จ้าวเฟยเฟยเข้าไปเกลี้ยกล่อมท่านน้านางอย่างว่าง่าย “ท่านน้าอย่าได้โมโห เฟยเฟยผิดเอง หากไม่ใช่เฟยเฟยอยากผูกมิตรกับจวิ้นจู่ พี่สะใภ้คงจะไม่โกรธ”
อวี้ซื่อกล่าวด้วยความโมโห “ไม่เกี่ยวกับเจ้า พี่สะใภ้เจ้าก็ไม่ใช่สตรีมีคุณธรรมอยู่แล้ว เหอะ ก็แค่อาศัยอำนาจบ้านฝั่งมารดา หากรู้ว่านางมีนิสัยเช่นนี้ คงไม่สู้…” ดวงตาของนางกะพริบวาบ ไม่ได้พูดต่อ หากจะบอกว่าเสียดายนางก็เสียดายตั้งนานแล้ว ใครจะรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่เติบโตในชนบทผู้นั้นจะเปลี่ยนไปมากเพียงนี้
จ้าวเฟยเฟยเองก็ดวงตากะพริบวาบ กล่าวด้วยสีหน้าลังเล “ท่านน้า หากตอนนั้นญาติผู้พี่แต่งงานกับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้นก็คงดี ฟังว่านายท่านผู้เฒ่าโหวในจวนนั้นรักนางที่สุด มิเช่นนั้นจะให้นางนำสินเดิมมากมายเพียงนั้นไปด้วยได้อย่างไร หากสินเดิมมากมายเพียงนี้เข้ามาในจวนพวกเราก็คงจะดียิ่งนัก! ภายหลังอนาคตของญาติผู้พี่ก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้ว” เรื่องในจวนหย่งหนิงโหวจ้าวเฟยเฟยสืบถามมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว รวมถึงรู้ว่าคู่หมั้นเดิมของญาติผู้พี่นางคือจยาฮุ่ยจวิ้นจู่
“ใครว่าไม่ใช่เล่า ยังคงเป็นจวนหย่งหนิงโหวของพวกเราที่ขาดวาสนาเล็กน้อย” อวี้ซื่อตบขาอ่อนด้วยสีหน้าเสียดาย จวนหย่งหนิงโหวขาดวาสนาอะไร ชัดเจนว่าเป็นฝีมือนางมิใช่หรือ เป็นนางที่รังเกียจเสิ่นเวยไม่คู่ควรกับลูกชายของนาง กระโดดโลดเต้นขัดขวางการหมั้นหมาย ดังนั้นก็สมน้ำหน้าแล้วที่นางได้ลูกสะใภ้เช่นเสิ่นเสวี่ยมาแทน
คิดถึงสินเดิมที่ยาวสิบลี้นั่นของเสิ่นเวย จิตใจของอวี้ซื่อก็เจ็บปวกอย่างถึงที่สุด เนื้อที่มาถึงปากวิ่งหนีไปเช่นนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงนางก็เจ็บใจจนนอนไม่หลับ
จ้าวเฟยเฟยย่อมมองเห็นความเสียดายบนใบหน้าของท่านน้านางแล้ว อดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้ นางไม่หวังให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่แต่งงานกับญาติผู้พี่อยู่แล้ว ท่านน้าไม่รู้ แต่นางรู้ดีว่าญาติผู้พี่ชอบจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้นมากเพียงใด ในตู้ลับห้องหนังสือของญาติผู้พี่ซ่อนภาพไว้หนึ่งภาพ คนในภาพวาดก็คือจยาฮุ่ยจวิ้นจู่
ยังคงเป็นพี่สะใภ้ผู้นี้ที่ดีกว่า นางยิ่งกำแหงยิ่งใช้อำนาจบาตรใหญ่ โอกาสของตนก็จะยิ่งสูงมิใช่หรือ หากเป็นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ บุคคลที่สามารถกุมใจได้แม้กระทั่งผิงจวิ้นอ๋องจะเป็นคนไร้ฝีมือได้อย่างไร อีกทั้งญาติผู้พี่เดิมก็ชอบนางอยู่แล้ว เช่นนั้นตนจะยังทำอะไรได้อีก
เมื่อจ้าวเฟยเฟยคิดเช่นนี้ คิ้วก็พลันขมวดมุ่น วางแผนในใจ กล่าวกับอวี้ซื่อ “ท่านน้า ญาติผู้น้องแต่งงานเข้ามาได้ครึ่งปีกว่าแล้ว ยังไม่มีข่าวเลย ญาติผู้พี่ก็อายุไม่น้อยแล้ว” ท่าทางกังวลยิ่งนัก
เสิ่นเสวี่ยยังไม่ตั้งครรภ์เสียที นี่เองก็ทำให้อวี้ซื่อหงุดหงิดใจ “เฮ้อ ใครให้นางตั้งครรภ์ยากเล่า คิดดูสิว่าตอนนั้นที่น้าเจ้าเข้ามาไม่ถึงสามเดือนก็ตั้งท้องญาติผู้พี่เจ้าแล้ว เสิ่นซื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้คนร้อนใจแทบแย่จริงๆ”
อวี้ซื่อไม่พอใจเสิ่นเสวี่ยยิ่งขึ้น นางกำเริบเสิบสานไม่เห็นแม่สามีอยู่ในสายตายังไม่พอ อย่างไรเสียนางให้ทายาทแก่อวี้เอ๋อร์บ้างก็ยังดี แต่นางกลับไม่ แต่งเข้ามากว่าครึ่งปีแล้วยังไม่มีข่าวแม้แต่นิดเดียว วันทั้งวันเอาแต่หึงหวง ปรนนิบัติอยู่ข้างกายอวี้เอ๋อร์ไม่ไปไหน ตนไม่มีความสามารถจะตั้งครรภ์ ก็ยังไม่อนุญาตให้อวี้เอ๋อร์เข้าใกล้ผู้อื่น หากชั่วชีวิตนี้นางไม่ตั้งครรภ์ จวนหย่งหนิงโหวใช่จะไร้ผู้สืบสกุลแล้วหรือไม่
จ้าวเฟยเฟยเห็นไฟร้อนกำลังได้ที่ ก็ออกความคิดเห็นเสียงเบา “ท่านน้า ข้าว่าเทียนเซียงผู้นั้นข้างกายญาติผู้พี่ก็ไม่เลว ทั้งรอบคอบทั้งมีความสามารถ จงรักภัคดีต่อญาติผู้พี่อย่างถึงที่สุด ท่านคิดจะเลื่อนขั้นนางเป็นอี๋เหนียงหรือไม่”
“เทียนเซียงเป็นคนที่เหมาะสมมาโดยตลอด” เทียนเซียงก็คือคนที่ออกไปจากข้างกายอวี้ซื่อ นางยกเทียนเซียงให้ลูกชายก็เพื่อเจตนานี้ “ข้ากลับคิดเหมือนกัน แต่พี่สะใภ้เจ้าจะยอมหรือ”
จ้าวเฟยเฟยกกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ก็แค่อี๋เหนียงเท่านั้นเอง พี่สะใภ้จะไม่ยอมเชียวหรือ อีกอย่าง ผู้อาวุโสมอบให้ไม่อาจปฏิเสธ ท่านเป็นแม่สามี ให้คนปรนนิบัติลูกชายจะเป็นอะไรไป ต่อให้พี่สะใภ้จะโวยวายก็ไม่มีเหตุผล แม้แต่จวนจงอู่โหวก็ก้าวก่ายเรื่องนี้ไม่ได้”
ถูกหลานสาวตาพูดเช่นนี้ อวี้ซื่อยังคงสนใจจริงๆ “อืม มีเหตุผล ยังคงเป็นเฟยเฟยที่สมองไว” อวี้ซื่อกล่าวชม
จ้าวเฟยเฟยยิ้มอย่างเขินอาย “ท่านน้า ข้าก็แค่แบ่งเบาภาระให้ท่านมิใช่หรือ” ท่าทางราวกับไม่เห็นแก่ตัวเลยสักนิดเดียว
ทั่วทั้งเมืองหลวงกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผิงจวิ้นอ๋องกลัวภรรยาหลงภรรยา สวีโย่วกับเสิ่นเวยผู้เป็นคนต้นเรื่อง สองสามีภรรยาคู่นี้กลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว ใครอยากพูดก็พูดไป ศักดิ์ศรีอะไร กินได้หรือ มีผลประโยชน์อยู่ข้างในก็พอแล้ว
แม้แต่อาจารย์ซูหยอกล้อต่อหน้าเสิ่นเวยยังไม่สนใจ กลอกตาทั้งคู่กล่าว “มีอะไรให้เสียประโยชน์หรือ” คนเหล่านี้ต่างก็ไม่มีงานทำ คุณชายใหญ่ของนางเต็มใจจะกลัวภรรยา เต็มใจจะหลงนาง ไปขัดขาใครหรือ ไม่น่าเลื่อมใสหรือ มากัดข้าสิ! เจ้ากล้าหรือไม่ ข้าจะโบยเจ้าให้ตายภายในไม่กี่นาที
ไม่นานนักทุกคนก็เลิกถกเถียงเรื่องนี้ เพราะว่าในราชสำนักมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว
ผู้ตรวจการราชสำนักโจวรับพระราชโองการไปสืบคดีแม่ทัพอันทุจริตเงินเดือนทหารลับลอบขายม้าที่ด่านชายแดนตอนเหนือมิใช่หรือ ผ่านการลอบสังหารตลอดเส้นทาง ภายใต้การคุ้มกันของทหารเงาที่สวีโย่วส่งไปในที่สุดก็ไปถึงด่านชายแดน ตอนนี้ส่งข่าวกลับมาแล้ว
ฮ่องเต้ยงเซวียนทอดพระเนตรอ่านสาส์นลับของผู้ตรวจการโจวห้ารอบเต็มๆ ตบโต๊ะบันดาลโทสะทันที “ดี ดี เจ้าแต่ละคนเป็นขุนนางดีของเราจริงๆ!”
บอกว่าอันอี้ทุจริตเงินเดือนทหาร ผู้ตรวจการโจวสืบหาตรวจสอบ เงินเดือนที่ถูกทุจริตจำนวนนั้นไม่ถึงมือกองทัพตอนเหนืออย่างสิ้นเชิง ถูกคนเก็บเอาไว้กลางทาง บังอาจจริงๆ!
ในสาส์นลับยังบอกว่ากำลังสืบเรื่องลักลอบขายม้า ในเมื่อทุกจริตเงินเดือนทหารเป็นการใส่ร้ายป้ายสี เช่นนั้นลักลอบขายม้าก็ยิ่งไม่มีทางเป็นฝีมือของอันอี้
ในพระตำหนักจินหลวน ฮ่องเต้ยงเซวียนโยนสาส์นของผู้ตรวจการโจวทิ้ง ที่โยนทิ้งไปด้วยยังมีหลักฐานที่ผู้ตรวจการโจวสืบหาได้ “สืบ กรมอาญา กรมพระคลัง ศาลต้าหลี่ สำนักตรวจตรา ไปสืบให้หมด เราจะดูว่าใครที่มันบังอาจฆ่าใส่ความแม่ทัพใหญ่อันของเรา”
ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เพียงแต่ทรงพิโรธ แต่ยังรู้สึกไม่เป็นธรรม สีปีก่อน แต่ละคนๆ บอกเขาว่าหลักฐานมัดตัว บอกว่าอันอี้กลัวความผิดจึงฆ่าตัวตาย แต่ความจริงเล่า
ฮ่องเต้ยงเซวียนน้อยนักที่จะบันดาลโทสะเช่นนี้ ขุนนางทั้งหมดข่างล่างต่างก็อกสั่นขวัญหาย
แม่ทัพอันอี้ถูกฆ่าใส่ความ เรื่องนี้เร็วอย่างยิ่งก็ดังไปถึงหูคนทุกระดับชั้นทั้งในภาคราชสำนักและภาคประชาชน มีพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ยงเซวียน คดีเมื่อสี่ปีก่อนถูกรื้อออกมาอีกครั้ง ใครเป็นผู้พิพากษา ผู้ใดเป็นพยาน ใครเป็นผู้กล่าวหา รื้อออกมาทั้งหมด
ประชาชนชาวบ้านในเมืองหลวง ที่ค่อนข้างมีอายุต่างก็หวนนึกถึงปีนั้น ตอนนั้นแม่ทัพเล็กอันนำทัพออกจากเมือง ไอหยา แม่ทัพเล็กชุดเงิน ขี่อยู่บนม้าตัวสูงใหญ่ มีกำลังวังชามากเป็นพิเศษ มีราศีมากเป็นพิเศษ เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดียิ่งนัก!
ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกฆ่าใส่ความ เฮ้อ ประหารทั้งตระกูล แม้แต่ทายาทยังไม่เหลือไว้ น่าสงสารยิ่งนัก!