ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 262-2 แม่ลูกคู่หนึ่ง
เสิ่นเซ่าจวิ้นมาเร็วอย่างยิ่ง วันรุ่งขึ้นก็มาเยี่ยมถึงหน้าประตูแล้ว หู่โถวกับอาจารย์ซูต้อนรับเขา อาจารย์ซูเคยชี้แนะบทความของเขา นับได้ว่ามีบุญคุณสอนสั่ง ด้วยเหตุนี้เสิ่นเซ่าจวิ้นจึงเคารพอาจารย์ซูมากเป็นพิเศษ ไม่ได้มองข้ามเพราะว่าตนเป็นหลานชายในตระกูลของราชครูเสิ่นอย่างสิ้นเชิง
อาจารย์ซูมองเขาทำความเคารพนิ่งๆ ในใจพยักหน้าเงียบๆ อืม เป็นคนรู้ประสาสำนึกบุญคุณ ความทุ่มเทของจวิ้นจู่ไม่เสียเปล่า
เสิ่นเซ่าจวิ้นเห็นเสิ่นเวยก็คำนับต่ำ “นำภาระมาให้จวิ้นจู่แล้ว”
เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครากล่าว “ยังนับว่าเจ้าไม่ได้เลอะเลือนเกินไป หากเจ้าพาแม่ลูกคู่นั้นเข้าประตูจวนจงอู่โหว เชื่อหรือไม่ว่าท่านปู่สามารถลากเจ้าออกมาได้ทันที”
ใบหน้าของเสิ่นเซ่าจวิ้นเปลี่ยนสีในชั่วขณะ แอบโชคดีในการตัดสินใจของตน เขาเพียงแค่คิดว่าพาแม่ลูกที่ช่วยไว้ระหว่างทางผู้นั้นไปเยี่ยมผู้อาวุโสไม่เหมาะสมเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้คิดว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงเพียงนี้
“ไม่เชื่อหรือ” เสิ่นเวยเลิกคิ้วกล่าว “ไม่คิดดูบ้างว่าเจ้าเข้าเมืองหลวงมาทำอะไร พาแม่ลูกคู่หนึ่งมาด้วยอย่างกับอะไรดี โดยเฉพาะนั่นยังเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม เจ้าจะให้คนอื่นมองอย่างไร พูดอย่างไร เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นความไม่เป็นธรรมจึงชักดาบช่วยเหลือ เจ้าบอกว่าเจ้าบริสุทธิ์ แต่คนอื่นจะเชื่อหรือ ปากคนจำนวนมากย่อมเปลี่ยนถูกให้เป็นผิดได้ ข่าวลือสามารถฆ่าคนได้ เจ้าบอกว่าเจ้าลำบากลำบนสอบเป็นจิ้นซื่อได้ แล้วถูกคนขุดเรื่องเช่นนี้ออกมา ความประพฤติเสียหาย ยังจะมีอนาคตอะไรได้อีก” คำพูดนี้ของเสิ่นเวยไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นเซ่าจวิ้นก็ยิ่งเสียใจ ยิ้มเจื่อนกล่าว “ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดเยอะเพียงนี้จริงๆ เพียงแค่แข็งใจไม่ได้ในชั่วขณะ” แม่ลูกคู่นั้นข้างกายไม่มีบุรุษเคียงข้าง ไม่ปลอดภัยอย่างสิ้นเชิง!
“เพียงแค่แข็งใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเห็นแม่นางผู้นั้นหน้าตาดีหรือไร” เสิ่นเวยชายตามองเสิ่นเซ่าจวิ้น “ยังมี ไม่ต้องเรียกข้าจวิ้นจู่ เรียนน้องเวยเหมือนก่อนเถอะ”
เสิ่นเซ่าจวิ้นหลุดหัวเราะ “น้องเวยคิดไปถึงไหนแล้ว พี่เป็นคนเช่นนั้นหรือไร ในครอบครัวพี่มีภรรยามีบุตรแล้ว ไม่ใช่คนที่ได้ใหม่ลืมเก่ามักมายในตัณหาเช่นนั้นแน่นอน” เขากล่าวด้วยท่าทางจริงจัง
เสิ่นเวยเห็นสีหน้าท่าทางเขาไม่เหมือนเสแสร้ง ก็วางใจลงแล้ว กล่าว “เจ้าพึงรู้ไว้ว่าการแข็งใจไม่ได้ในชั่วขณะของเจ้าเกือบจะทำลายอนาคตของตนแล้ว คิดถึงภรรยาบุตรพ่อแม่ในครอบครัวบ้าง ยังมีปู่ย่าที่ตั้งหน้าตั้งตารอเจ้าสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ใจอ่อนเพื่อคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง คุ้มค่าหรือไร” เสิ่นเวยตักเตือนต่อ ใจดีไม่ผิด แต่ต้องมีขอบเขต มีวิธี คิดเช่นเขา ภายหลังเข้าราชสำนักเป็นขุนนาง จะไม่ถูกคนหลอกตายหรือ
เสิ่นเซ่าจวิ้นถูกเสิ่นเวยพูดจนละอายใจอย่างยิ่ง โค้งตัวต่ำให้เสิ่นเวยอีกครั้ง กล่าวจากใจจริง “น้องเวย พี่ผิดไปแล้ว ผิดเป็นครู หลังจากนี้พี่จะไม่ทำตัวบุ่มบ่ามเช่นนี้แล้ว จะต้องคิดหน้าคิดหลัง เรื่องนี้พี่ต้องขอบคุณน้องเวยยิ่งนัก”
เสิ่นเซ่าจวิ้นกลับไม่รู้สึกเสียหน้าอะไร หนึ่งคือ ท่านปู่กำชับแล้วว่าให้เขาฟังคำของน้องเวย สองคือ เขารู้ดีชั่ว เข้าใจว่าที่สามารถพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้ ก็เพราะหวังดีกับตนเอง
“หากไม่ใช่ว่าเห็นแก่ท่านลุงปู่ที่อายุมากแล้วข้าก็ขี้เกียจจะสนใจเรื่องจุกจิกของเจ้า” เสิ่นเวยแค่นเสียงอีกครา “แม่ลูกคู่นั้นเจ้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร” เสิ่นเวยถามอย่างไม่สนใจ
“ให้น้องเวยตัดสินทั้งหมด” คราวนี้เสิ่นเซ่าจวิ้นกลับตอบอย่างรวดเร็ว “พวกนางกลับเคยบอกว่าจะเป็นบ่าวรับใช้ ข้างกายพี่มีฟู่กุ้ยคนเดียวก็พอแล้ว จึงไม่ได้รับปาก หากน้องเวยยินยอม ก็ให้พวกเขาลงชื่อขายตัวเป็นทาสแบ่งงานในจวนเถิด อย่างไรเสียก็ดีกว่าให้พวกนางถูกคนกลั่นแกล้งอยู่ข้างนอก”
เสิ่นเวยเห็นเขาไม่ได้ใส่ใจแม่ลูกคู่นั้นจริงๆ ก็พยักหน้าแล้วกล่าว “ได้ เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว หน้าที่ของเจ้าก็คือตั้งใจเรียนหนังสือ มีเวลาว่างก็ให้เจวี๋ยเอ๋อร์พาเจ้าออกไปเดินเล่น ผูกมิตรกับสหายที่มีอุดมการณ์เดียวกันไว้ให้มาก ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการสอบคัดเลือกในช่วงสารทฤดูกระทั่งอนาคตในภายหน้า”
คิดครู่หนึ่งจึงกล่าวเสริมต่อหนึ่งประโยค “อาจารย์ซูเป็นผู้มีความสามารถมาก เจ้าเองก็สามารถไปขอคำแนะนำได้บ่อยๆ ช่วงนี้ท่านจวิ้นอ๋องยุ่ง รอเขาว่างแล้วข้าค่อยเตรียมการให้เจ้ามาเยี่ยมแล้วกัน!”
ส่วนการเตรียมการของเสิ่นเวย เสิ่นเซ่าจวิ้นย่อมยินดีรับ
เห็นท่าทีของเสิ่นเซ่าจวิ้นชัดเจนแล้ว เสิ่นเวยก็ไม่ได้รีบพบแม่ลูกคู่นั้นแล้ว แต่ทิ้งพวกนางไว้อีกสองวัน เถาจือเองก็มารายงาน บอกว่าหลายวันมานี้พวกนางอยู่ในห้องทำงานเย็บปักถักร้อยมาโดยตลอด ไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติ เสิ่นเวยจึงสั่งให้คนเรียกพวกนางเข้ามา
เสิ่นเวยมองแม่ลูกคู่นี้นิ่งๆ ต่างก็สวมชุดที่กึ่งเก่าซักจนซีด บนศีรษะก็ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ใช้เพียงปิ่นไม้รวบผมขึ้น สีหน้าท่าทางระแวดระวังและตื่นตระหนกอย่างยิ่ง แต่ว่าลูกสาวผู้นั้นกลับหน้าตาสละสลวยหลายส่วน ทั้งยังสงบนิ่งกว่าแม่ของนางเล็กน้อย
เสิ่นเวยพิงตั่ง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ผู้ที่ช่วยพวกเจ้าเป็นญาติผู้พี่ของตัวข้าจวิ้นจู่ เขาฝากฝังพวกเจ้าให้ข้าแล้ว วันนี้ตัวข้าจวิ้นจู่จะถามเจ้าหนึ่งประโยค หลังจากวันนี้วางแผนไว้ว่าอย่างไร”
บนใบหน้ามารดาตระกูลหวังสับสน ทว่าแม่นางตระกูลหวังกลับรวบรวมความกล้ากล่าวถาม “เรียนถามจวิ้นจู่ผู้มีพระคุณอยู่ที่ใด”
เสิ่นเวยกล่าว “เขาย่อมอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่ เจ้าถามถึงเขาทำไม”
แม่นางตระกูลหวังกล่าว “ชีวิตของพวกข้าแม่ลูกล้วนเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยไว้ ข้าเคยสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะเป็นบ่าวเป็นทาสตอบแทนผู้มีพระคุณ จวิ้นจู่ได้โปรดบอกที่อยู่ของผู้มีพระคุณ ข้ายอมเป็นสาวใช้ยกน้ำชาปรนนิบัติผู้มีพระคุณ” พูดจบก็โค้งคำนับต่ำๆ หนึ่งครา
เสิ่นเวยยิ้มแล้ว “ญาติผู้พี่ของข้าไม่ใช่คนใจร้อนอยู่แล้ว ทำความดีไม่ต้องการผลตอบแทน ไม่ต้องการให้เจ้าเป็นสาวใช้ปรนนิบัติ หากเจ้าอยากเป็นสาวใช้จริงๆ ที่เรือนข้ากลับสามารถรับพวกเจ้าแม่ลูกไว้ได้”
ดวงตาของมารดาตระกูลหวังเป็นประกาย แม้ว่าหลายวันมานี้นางจะไม่ได้ออกจากเรือน แต่ฟู่กุ้ยที่รบกวนจวนจวิ้นอ๋องอะไรนี่นางก็เห็นอยู่ในสายตาแล้ว ดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งงานของเหล่าสตรีเหล่านั้นข้างกายจวิ้นจู่ ดียิ่งกว่าคุณหนูตระกูลในท้องถิ่นข้างนอกเสียอีก หากสามารถอยู่ทำงานในจวนจวิ้นอ๋องได้ ต่อให้จะเป็นบ่าว ก็ถือเป็นวาสนาใหญ่แล้ว
นางกำลังจะตอบรับ ก็ได้ยินลูกสาวตนกล่าวขึ้น “พวกข้าแม่ลูกขอบคุณในความหวังดีของจวิ้นจู่ แต่ผู้ที่ช่วยพวกข้าแม่ลูกไว้คือคุณชายเซ่าจวิ้น ข้าจะต้องทดแทนบุญคุณข้างกายคุณชายเซ่าจวิ้นให้ได้”
เสิ่นเวยหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งครา “แม่นางหวังพูดเล่นแล้ว อย่าว่าแต่ญาติผู้พี่บอกไว้แล้วว่าไม่ต้องการให้พวกเจ้าแม่ลูกทดแทนบุญคุณ ต่อให้ต้องทดแทนบุญคุณ เจ้าจะทำอะไรได้ เทียบกันกับคนหลายคนนี้ข้างกายตัวข้าจวิ้นจู่ดูว่าเป็นอย่างไร คนเช่นนี้ของพวกเรา ผู้ใดบ้างที่รับใช้อยู่ข้างกายเจ้านายไม่ได้เริ่มอบรมตั้งแต่อายุเจ็ดแปดปี เจ้าแม้แต่กฎระเบียบยังไม่เข้าใจ ซ้ำยังไม่เคยรับใช้คนมาก่อน อ้าปากก็จะไปรับใช้ข้างกายเจ้านายแล้ว นี่ไม่ใช่น่าขันยิ่งนักหรือ”
หลีฮวาและคนอื่นๆ เองก็ปิดปากหัวเราะ สายตาที่มองแม่นางตระกูลหวังก็ยิ่งเหยียดหยาม
หน้าของแม่นางตระกูลหวังแดงก่ำในชั่วขณะ มารดาตระกูลหวังเห็นแล้ว ก็ไม่สนใจความกลัว รีบกล่าว “จวิ้นจู่เหนียงเหนียงโปรดระงับความโกรธ เด็กคนนี้ของข้ามีนิสัยดื้อรั้น คุณชายเซ่าจวิ้นช่วยพวกเราแม่ลูกไว้ จึงจดจำไว้ว่าอยากจะทดแทนบุญคุณ”
“ไม่โกรธ ไม่โกรธ” เสิ่นเวยโบกมือ “สิ่งสำคัญก็คือญาติผู้พี่ของข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าทดแทนบุญคุณอย่างไรเล่า พวกเจ้าไม่อาจบีบบังคับให้คนลำบากใจได้ใช่หรือไม่ ตัวข้าจวิ้นจู่ฟังว่าพวกเจ้าเองก็อยู่ที่บ้านเกิดไม่ได้แล้ว อยู่ในเมืองหลวงก็ไร้ญาติขาดมิตร มิหนำซ้ำฟังที่แม่นางตระกูลหวังพูดยังไม่ถือสาจะขายตัวเป็นทาส เช่นนั้นก็อยู่ที่จวนจวิ้นอ๋องของข้าเถอะ ไม่เสียเปล่าที่ญาติผู้พี่ข้าช่วยพวกเจ้าไว้”
“ขอบคุณจวิ้นจู่เพคะ!” มารดาตระกูลหวังดีใจอย่างไม่คาดคิด
ทว่าแม่นางตระกูลหวังกลับไม่เห็นด้วย “ข้าขอบคุณความหวังดีของจวิ้นจู่ ในเมื่อคุณชายเซ่าจวิ้นไม่ต้องการให้ข้าทดแทนบุญคุณ เช่นนั้นพวกข้าแม่ลูกก็ออกจากจวนไปเสียดีกว่า พวกข้าแม่ลูกยังมีเงินติดตัวอยู่เล็กน้อย เช่าห้องได้หนึ่งห้อง ทำงานเย็บปักถักร้อย จะต้องเลี้ยงตัวเองได้แน่นอน” ท่าทางคาดไม่ถึงว่าไม่ประจบไม่วางก้าม
“ลูกสาวเจ้า?” มารดาตระกูลหวังร้อนใจแล้ว จับมือของลูกสาวดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนใจ เด็กโง่เอ๋ย มีชีวิตดีๆ ให้ใช้เหตุใดถึงรั้นจะออกไปมีชีวิตลำบากเช่นนั้นเล่า สังคมนี้ พวกนางสองแม่ลูกตัวลำพังไปที่ใดก็ไม่ปลอดภัย ไหนเลยจะสบายใจเท่าอยู่ในจวนจวิ้นอ๋องแห่งนี้
ทว่าแม่นางตระกูลหวังกลับห้ามแม่ของนาง “ท่านแม่ ท่านลืมคำพูดของท่านพ่อแล้วหรือ พวกเราเป็นสุจริตชน จะขายตัวเป็นทาสได้อย่างไร”
มารดาตระกูลหวังกำลังจะพูดว่าพ่อเจ้าพูดประโยคนี้เมื่อไร ก็ได้ยินลูกสาวกล่าวกับจวิ้นจู่แล้ว “ขอบคุณพระคุณที่จวิ้นจู่จะเก็บพวกข้าไว้ยิ่งนัก พวกข้าแม่ลูกขอตัวออกจากจวน” ทำความเคารพหนึ่งครา ลากมารดาถอยออกไปแล้ว
“จวิ้นจู่ ท่านว่านี่?” เถาจือถาม
เสิ่นเวยยิ้ม โบกมือกล่าว “ช่างเถอะ ในเมื่อพวกนางไม่รับน้ำใจก็ปล่อยพวกนางไปเถอะ อ้อ จำไว้ว่าส่งคนสองคนตามพวกนางไป ข้าว่าแม่นางตระกูลหวังผู้นี้เป็นคนหวังสูง ไม่ได้เป็นคนซื่อตรงเหมือนอย่างที่นางพูด”
“จวิ้นจู่ เช่นนั้นจะ…?” เถาจือกล่าวเสียงต่ำ มือทำท่าทาง
เสิ่นเวยส่ายหน้า “ไม่ต้อง จับตาดูไว้ก็พอ”
นางเดาว่าแม่นางตระกูลหวังผู้นี้จะต้องไม่ละทิ้งความคิดจะตามหาเสิ่นเซ่าจวิ้นแน่นอน ก็ดี ถือโอกาสนี้สั่งสอนเสิ่นเซ่าจวิ้นให้ลึกซึ้งสักหน่อย ให้เขาเข้าใจว่าการใจดีไปทั่วสามารถทำร้ายตัวเองได้