ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 263-2 จวี่เหรินอันดับหนึ่ง
วันที่สามหลังจากประกาศผลสอบ เสิ่นอิงกับเสิ่นเสวี่ยก็จูงสามีกลับบ้านฝั่งมารดา เสิ่นเวยเองก็กลับมาเช่นกัน นางกลับมาคนเดียว ช่วงนี้สวีโย่วค่อนข้างยุ่ง เดิมเขาจะลางานกลับมาเป็นเพื่อนนาง เสิ่นเวยไม่อนุญาต ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงตกลงกันดีแล้ว รอสวีโย่วเลิกงานแล้วค่อยไปรับนางที่จวนจงอู่โหวกลับจวน
กลับมาครั้งนี้เสิ่นเสวี่ยสลัดความสุขุมออกไป เปิดเผยอย่างยิ่ง ห่างออกไปไกลก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของนาง เสิ่นเวยยกมุมปากรู้สึกน่าขันยิ่งนัก ก็แค่เว่ยจิ่นอวี้สอบได้หนึ่งไม่ใช่หรือ ต้องขนาดนี้เลยหรือ ระยะทางยาวไกลเพิ่งจะก้าวเท้าก้าวแรกเอง ต่อให้สอบขั้นฮุ่ยซื่อเตี้ยนซื่อปีหน้าได้เป็นจอหงวนแล้วอย่างไร จอหงวนมากน้อยเพียงใดที่ตลอดชีวิตก็เป็นได้เพียงคนไร้ค่าในตำแหน่งขุนนางขั้นหกขั้นเจ็ด ผู้ที่เลื่อนขั้นเป็นอำมาตย์เก้าขุนส่วนใหญ่กลับเป็นกลุ่มที่ได้อันดับกลางๆ ในการสอบคัดเลือกขุนนาง
ทว่าเสิ่นเสวี่ยกลับไม่ได้คิดเช่นนี้ นางคิดว่าตนเองถือว่าเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว ถือว่ากดหัวพี่สาวได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเสิ่นเวยกลับมาคนเดียว ในใจนางก็รู้สึกยินดีบนความทุกข์ของผู้อื่น กล่าวอย่างเสแสร้ง “ท่านพี่สี่ เหตุใดพี่เขยสี่ถึงไม่กลับมาพร้อมท่านเล่า” ท่าทางเป็นห่วงเสิ่นเวยอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยไม่อยากสนใจนางจริงๆ จัดการไปหลายรอบเพียงนั้นแล้ว เหตุใดถึงจำบทเรียนไม่ได้เล่า
“อ้อ พี่สี่เจ้ายุ่งน่ะ ข้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ทาง กลับบ้านฝั่งมารดายังต้องให้เขาบอกก็ไม่ไหวหรอกกระมัง” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ
สวี่ซื่อรีบกล่าว “นั่นน่ะสิ หลานเขยสี่มีหน้าที่การงานแล้ว กิจธุระในที่ว่าการย่อมสำคัญที่สุด เชียนเอ๋อร์ก็ยุ่งเหมือนกันมิใช่หรือ ยุ่งจนแม้แต่งานสมรสยังต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก”
เสิ่นเวยกล่าวถาม “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ งานสมรสของญาติผู้พี่ใหญ่กำหนดแล้วหรือ”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ใบหน้าสวี่ซื่อก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “กำหนดแล้ว กำหนดไว้เป็นวันที่ยี่สิบหกเดือนล่า ถึงตอนนั้นเชียนเอ๋อร์กลับมาแต่งงานก็ยังสามารถฉลองปีใหม่ในบ้านได้พอดี พอถึงเดือนเจิงก็ให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปซีเจียงพร้อมกัน”
“ฤกษ์ดี” เสิ่นเวยชมหนึ่งครา ทันใดนั้นก็กล่าวต่อ “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ถึงตอนนั้นญาติผู้พี่ใหญ่กลับมาท่านก็ส่งจดหมายมาให้หลานบ้าง ไม่เจอกันนานแล้ว คิดถึงญาติผู้พี่ใหญ่นัก”
“ได้ๆๆ ไม่ลืมแน่นอน” สวี่ซื่อย่อมยินดีที่ได้เห็นลูกชายสนิทกับหลานสาว
เสิ่นเสวี่ยมองเห็นพี่สาวกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่คุยกันอย่างถูกคอ ในดวงตาก็มีความริษยาแวบผ่าน ทันใดนั้นก็กลับคืนสู่ปกติ กล่าวคล้อยตาม “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ยังมีหลานด้วยคน ท่านซื่อจื่อของพวกเราเลื่อมใสญาติผู้พี่ใหญ่ยิ่งนัก ถึงตอนนั้นก็ให้เขาเรียนรู้วรยุทธ์กับญาติผู้พี่ใหญ่เสียหน่อย เขาน่ะวันทั้งวันเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอ่านหนังสือ ข้าเป็นห่วงว่าร่างกายเขาจะรับไหวได้อย่างไร” เสิ่นเสวี่ยพูดไปพูดมาก็โอ้อวดอย่างอดไม่ได้
เสิ่นเวยหลุบตาไม่พูด ทว่าสวี่ซื่อกลับกล่าว “นี่ก็เพราะว่าหลานเขยห้ารู้ประสา เรียนหนังสือก็ต้องมุมานะมิใช่หรือ ดูสิหลานเขยห้าของพวกเราได้เป็นเจี้ยหยวนแล้วมิใช่หรือ ข้างนอกใครบ้างไม่อิจฉา”
คำพูดหลายประโยคพูดจนเสิ่นเสวี่ยหัวเราะคิกคัก ยิ้มพลางกะพริบตาเขยิบเข้ามาพูดกับเสิ่นเวย “ท่านพี่สี่ ฟังว่าไม่กี่วันก่อนพี่เขยสี่ถูกฝ่าบาทขังไว้ในศาลราชวงศ์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ พี่เขยสี่ทำเรื่องอันใดยั่วโมโหฝ่าบาทเข้าเสียแล้ว” ท่าทางกระวนกระวายใจ
เสิ่นเวยยิ้มแล้ว เจ้าว่าเจ้าเสิ่นเสวี่ยโอ้อวดเรื่องตัวเองยังไม่พอ ทำไมจะต้องเหยียบเท้านางให้ได้จึงจะพอใจ นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หากเจ้าเป็นห่วงจริงๆ เหตุใดตอนนั้นถึงไม่มาดูที่บ้านเล่า
“ไม่รู้ผ่านไปนานโขเท่าไรแล้ว น้องเสวี่ยยังจำได้อยู่อีกหรือ คุณชายใหญ่ของข้าถูกขังอยู่ในศาลราชวงศ์จริง แต่ว่าวันนั้นก็ถูกปล่อยตัวแล้ว รู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงถูกปล่อยตัว พี่สี่ของเจ้าเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไปทะเลาะกับฝ่าบาทอย่างไรเล่า!” เสิ่นเวยพูดอย่างเรียบง่าย
ปรายตามองเสิ่นเสวี่ยปราดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “น้องเสวี่ย ตั้งแต่เล็กเจ้าก็ลำดับความสำคัญไม่ได้ อย่าหาว่าพี่ว่าเจ้า มีเจ้าเป็นห่วงข้าเช่นนี้ เจ้าเองก็ควรใส่ใจน้องเขยให้มากสักหน่อย เหตุใดพี่ถึงได้ยินว่าน้องเขยจะแต่งอนุภรรยาแล้วเล่า อีกทั้งยังเป็นคุณหนูญาติผู้น้องแซ่จ้าวผู้นั้นในจวนพวกเจ้าอีกด้วย เจ้าน่ะ เหตุใดถึงปล่อยให้ปีศาจน้อยตัวนั้นฉวยโอกาสเล่า” บนใบหน้าเสิ่นเวยจริงใจยิ่งนัก!
เมื่อคำพูดนี้ออกไป หน้าของเสิ่นเสวี่ยก็เปลี่ยนในชั่วพริบตา แม้แต่นายหญิงผู้เฒ่ากับสวี่ซื่อก็ประหลาดใจ “เสวี่ยเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน แม่สามีเจ้าไม่ใช่ดูคู่หมั้นให้คุณหนูญาติผู้น้องผู้นั้นในจวนพวกเจ้าอยู่หรือ”
สีหน้าเสิ่นเสวี่ยลำบากใจอย่างยิ่ง นิ้วมือที่กำผ้าเช็ดหน้าขาวซีด อธิบายด้วยความอึดอัดใจ “ไม่ใช่เพราะว่าหลานไม่ตั้งครรภ์หรอกหรือ แม่สามีเห็นว่าลูกผู้น้องให้กำเนิดได้ จึงตัดสินใจให้ท่านพี่รับลูกผู้น้องเป็นอนุภรรยา”
ความจริงเป็นเช่นไร ความจริงก็คือจ้าวเฟยเฟยแพศยาน้อยผู้นั้นฉวยโอกาสตอนที่สามีของนางดีใจจนดื่มสุราไปสองแก้วปีนขึ้นเตียงของเขา เห็นชัดๆ ว่านางเป็นหญิงชั่วหน้าไม่อายเอง แต่ยังร้องห่มร้องไห้ตำหนิว่าสามีของนางทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ไม่เคยเห็นคนที่หน้าหนาเช่นนี้มาก่อน
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเลอะเลือนแล้วหรือ” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าแต่งงานเข้าไปยังไม่ครบปีเลย ไม่ตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องปกติ รีบไปทำไมกัน ต่อให้จะยกคนให้หลานเขย ข้างกายเจ้าไม่ใช่มีสาวใช้ที่ติดตามออกเรือนไปหรือไร คุณหนูญาติผู้น้องอะไรนั่น ไม่ต้องดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร เรื่องใหญ่เช่นนี้เหตุใดเจ้าถึงไม่บอก” นายหญิงผู้เฒ่าเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
สวี่ซื่อเองก็กล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ ย่าเจ้าพูดถูก หลานเขยจะแต่งอนุต้องเลือกจากสาวใช้ที่ติดตามออกเรือนของเจ้า สัญญาทาสของพวกนางอยู่ในมือเจ้า ไม่ต้องกลัวนางจะทรยศต่อเจ้า หากคุณหนูญาติผู้น้องคนนั้นกลายเป็นอนุภรรยาของหลานเขย พวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้อง ย่อมต้องมีความผูกพัน ถึงตอนนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรก็ลำบาก!”
สีหน้าของเสิ่นเสวี่ยดำทะมึนแล้ว ไม่โอ้อวดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว กล่าวอย่างอึกอัก “ท่านย่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ข้าเองก็ไม่อยาก แต่แม่สามีผู้นั้นของข้าเป็นคนตัดสินใจ ท่านพี่เองก็มีความสุข ข้ายังมีหนทางใดอีก”
นางห้ามไม่ให้เจ้าเฟยเฟยหญิงชั่วผู้นั้นเข้าเรือนไม่ได้แล้ว แต่นางเองก็โวยวายอย่างหนักไปหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังโวยวายต่อหน้าหย่งหนิงโหวพ่อสามี ดังนั้นความคิดที่จ้าวเฟยเฟยอยากใช้ฐานะเป็นอนุภรรยาสูงศักดิ์กระทั่งเป็นภรรยารองจึงคว้าน้ำเหลว อยากเข้าเรือน ได้ ทำได้เพียงเป็นอี๋เหนียงทั่วไปเท่านั้น นางอยากจะดูว่าเจ้าจ้าวเฟยเฟยเป็นคุณหนูญาติผู้น้องอยู่ดีๆ ไม่เป็น ดันจะเป็นอี๋เหนียงกึ่งบ่าวรับใช้ให้ได้ หวังว่าเจ้าจะไม่ต้องเสียใจภายหลัง ความเคียดแค้นแวบผ่านใบหน้าของเสิ่นเสวี่ยไป
“เจ้านะเจ้า แม่สามีผู้นั้นของเจ้าก็สติเลอะเลือน” นายหญิงผู้เฒ่าชี้เสิ้นเสวี่ย กล่าวอย่างคับแค้นใจ แต่ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว เห็นแก่หลานเขยห้าที่สอบได้เป็นเจี้ยหยวนกลับไม่ได้พูดอะไรอีก
เสิ่นเวยมองเสิ่นเสวี่ยที่เศร้าสลดใจนิ่งๆ กลอกตาไปมาก็หันไปคุยกับเสิ่นอิงพี่สามของนาง ไม่ใช่แผลเป็นที่นางใจดำต้องการจะเปิดโปงเสิ่นเสวี่ยจริงๆ สมน้ำหน้าเสิ่นเสวี่ยจริงๆ หากนางไม่วางแผนคิดจะเหยียบย่ำตน คนก็ขี้เกียจจะยุ่งเรื่องของนางอยู่แล้ว
แต่ว่าเสิ่นเสวี่ยเองก็โง่จริงๆ เป็นคุณหนูที่แต่งงานออกจากจวนจงอู่โหวเหมือนกัน พี่สามยังเป็นบุตรอนุภรรยา ออกเรือนเร็วกว่านางด้วยซ้ำ ก็ไม่ตั้งครรภ์เหมือนกันมิใช่หรือ แต่ดูข้างกายพี่เขยสามสิ สะอาดสะอ้าน อย่าว่าแต่อนุภรรยา แม้แต่สาวใช้อนุภรรยายังไม่มี มิหนำซ้ำความสัมพันธ์ของพวกเขาสองสามีภรรยายังดีอย่างยิ่ง
นางเสิ่นเสวี่ยกลับเก่งนัก วันทั้งวันแยกเขี้ยวยิงฟัน พอเจอเรื่องจริงจังก็ขี้ขลาด เป็นคนโง่ที่เก่งแต่ในบ้าน!
ผ่านการสอบคัดเลือกในช่วงสารทฤดูไป บุคคลที่ยุ่งที่สุดในเมืองหลวงก็คือแม่สื่อ ปัจจุบันแม้ว่าการหาเขยหน้าป้ายผู้สอบได้ไม่ได้นิยมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ตระกูลที่ในครอบครัวมีลูกสาวหลานสาวที่อายุเหมาะสมเหล่านั้นก็แอบเลือกคนไว้แล้ว คิดอยากจะฉวยโอกาสนำผู้มีความสามารถมาสู่วงศ์ตระกูล
ส่วนจวี่จื่อที่สดใหม่จากเตาเหล่านั้นเล่า ไม่เพียงแต่ได้แต่งงานกับหญิงงาม แต่ยังสามารถได้รับความช่วยเหลือจากบ้านพ่อตาอย่างง่ายดาย มีประโยชน์ต่อการสอบคัดเลือกในช่วงวสันตฤดูปีหน้าด้วยเช่นกัน ย่อมต้องยินดีอย่างถึงที่สุด ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ ก็เกิดบุพเพสันนิวาสหลายต่อหลายคู่
มีคนกำลังจะถาม เหตุใดถึงหมั้นหมายเร็วเพียงนี้ รอให้ถึงการสอบคัดเลือกในช่วงวสันตฤดูปีหน้า กระทั่งรายชื่อการสอบขั้นเตี้ยนซื่อออกมาก่อนแล้วค่อยหมั้นหมายจะไม่ดีกว่าหรือ หึ รอถึงตอนนั้น กับข้าวก็เย็นชืดหมดแล้ว วงศ์ตระกูลที่มีอิทธิพลทั่วไปเจ้าจะแย่งผู้มีอำนาจได้หรือ
เรื่องที่ทำให้เสิ่นเวยประหลาดใจก็คือเจียงเฉินคาดไม่ถึงว่าหมั้นหมายแล้ว คนที่หมั้นหมายไม่คิดว่ายังคงเป็นคนในตระกูลท่านเสนาบดีฉิน พ่อของหญิงสาวเป็นขุนนางขั้นหกในกรมพระคลัง
เสิ่นเวยไม่ค่อยถูกกับท่านเสนาบดีฉินเล็กน้อยเจียงเฉินเองก็ทราบดี นางกลับไม่คิดว่าเจียงเฉินจะหักหลังนาง เพียงแต่แปลกใจเล็กน้อยว่าแท้จริงแล้วเจียงเฉินคิดจะทำอะไร แต่ก็เพียงแค่คิดเช่นนี้ เจียงเฉินเป็นนายท่านราชบัณฑิตแล้ว ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้ย่อมต้องมีวิธีคิดของเขา นางยุ่งมากเพียงนั้นไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเพียงสตรีแซ่ฉินคนหนึ่ง น้องสะใภ้ของคุณชายใหญ่นางยังเป็นหลานสาวของท่านเสนาบดีฉินมิใช่หรือ หากคิดดูให้ดี จวนตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนมีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนกันอยู่แล้ว