ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 267-1 พายุปกคลุมนครหลวง
ประกาศผลการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูของเซี่ยหมิงผู่ถูกส่งกลับมานานแล้ว เขาเองก็สอบได้เจี้ยหยวนอันดับหนึ่งของท้องถิ่นเช่นกัน เพียงแต่คนยังต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงในท้องที่ ยังไม่มา คาดว่าก่อนปีใหม่น่าจะมาถึงเมืองหลวง
เสิ่นเวยได้รับข่าวแล้วก็กำลังคิด เซี่ยหมิงผู่กับเว่ยจิ่นอวี้ที่เป็นเจี้ยหยวนเหมือนกันการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในช่วงวสันตฤดูปีหน้าผู้ใดจะเป็นที่หนึ่ง นางหวังให้เป็นเซี่ยหมิงผู่ แม้ว่าเว่ยจิ่นอวี้จะเป็นน้องเขยนาง แต่ส่วนลึกภายในใจนางกลับไม่ชอบหมอนี่แม้แต่นิดเดียว
ฝั่งเสิ่นเวยสร้างมิตรภาพกับเซี่ยเฟยแล้ว ฝั่งนายท่านผู้เฒ่าโหวปู่นางก็ถูกลอบสังหาร อ้อไม่ อันที่จริงต้องบอกว่าฮ่องเต้ยงเซวียนถูกลอบสังหาร ส่วนราชครูเสิ่นนายท่าผู้เฒ่าเสิ่นโหวที่เป็นผู้ติดตามจึงรับหน้าแทนเขา
ฮ่องเต้ยงเซวียนถูกลอบสังหาร นี่คือเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนฝ่ายราชสำนักและประชาชนมากเพียงใด ไม่ถึงครึ่งชั่วยามทั่วทั้งเมืองหลวงก็ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว สวีโย่วผู้ที่เบื้องหน้าเป็นผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครเบื้องลับเป็นหัวหน้าสายลับก็รีบไปคุ้มกันพระองค์ข้างกายฮ่องเต้ยงเซวียนในทันที
เพราะว่าสถานที่ที่ถูกลอบสังหารห่างจากพระราชวังไม่ไกล ฮ่องเต้ยงเซวียนที่ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง จึงพานายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวที่ได้รับบาดเจ็บเข้าพระราชวังไปพร้อมกัน แม้ว่าเสิ่นเวยจะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านปู่นางเพียงใดก็ต้องอดทนรอ ช่วงเวลาคับขันเช่นนี้นางไม่อาจบุกเข้าพระราชวังได้กระมัง อย่าว่าแต่พระราชวัง ทุกหนทุกแห่งบนถนนข้างนอกล้วนเต็มไปด้วยทหารองครักษ์ลาดตระเวน ทุกคนต่างก็เก็บตัวอยู่ในจวน ใครจะกล้าโผล่หน้าออกมา
ทั้งคืนสวีโย่วไม่ได้กลับมา แม้แต่ข่าวก็ไม่ได้ส่งมา เสิ่นเวยแทบจะไม่ได้หลับทั้งคืน หัวใจจมดิ่งลงเรื่อยๆ
สวีโย่วรู้ถึงความผูกพันของนางกับท่านปู่ เขาไม่อาจลืมส่งข่าวมาให้นางได้ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีข่าวแม้แต่นิดเดียว เช่นนั้นก็แปลว่าเขาแยกร่างไม่ได้ สถานการณ์ใดที่สามารถทำให้เขาลืมสนใจแม้แต่การส่งข่าว ฝ่าบาทแย่แล้ว หรือว่าปู่ของนางบาดเจ็บสาหัสเกินไป ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด เสิ่นเวยก็ไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาทั้งสิ้น
หากฮ่องเต้ยงเซวียนแย่ ไท่จื่อก็สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างง่ายดายหรือ พรรคพวกองค์ชายรองกับท่านเสนาบดีฉินจะปล่อยโอกาสดีที่พันปียากจะพบนี้ไปได้หรือ ไม่ พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยแน่! ถึงตอนนั้นเมืองหลวงจะต้องนองเลือด!
เสิ่นเวยคิดแล้วก็อกสั่นขวัญหาย โดยเฉพาะสวีโย่วที่ยังอยู่ในวัง หากองค์ชายรองจะยึดอำนาจ คนที่รับมือคนแรกก็คือสวีโย่วที่คุ้มกันอยู่ข้างกายฮ่องเต้ยงเซวียน! ต่อให้เขาจะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศแต่จะสู้กองทหารพันหมื่นได้หรือไร แม้จะโชคดีหนีเอาตัวรอดได้ ขอเพียงแค่ผู้ที่ขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์ชายรอง เขาก็จะเป็นขุนนางกบฏอย่างแท้จริง! ชั่วชีวิตหลบหนีไปทั่ว ชีวิตเช่นนั้นนางยอมตายอย่างเกริกก้องยังดีกว่า อีกทั้งข้างหลังนางยังกระทบไปถึงครอบครัวใหญ่
หากท่านปู่แย่แล้ว แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าเท่าไรนัก หากท่านปู่มีอันเป็นไป จวนจงอู่โหวใครจะแบกธงใหญ่ได้ ต่อให้มีบุณคุณช่วยชีวิตพระองค์ของท่านปู่ ฝ่าบาทดูแลมากขึ้น แต่จะดูแลไปได้อีกกี่ปี
เสิ่นเวยว้าวุ่นใจ ถือโอกาสเรียกอาจารย์ซูกับโอวหยางไน่เข้ามาปรึกษา
อาจารย์ซูท่าทางเคร่งขรึมมากเป็นพิเศษ “จวิ้นจู่ พวกเราต้องวางแผนไว้สองทางแต่เนิ่นๆ” สิ่งที่เขารู้ก็มีไม่มาก แต่จากข่าวที่ไม่มากนี้เขาเองก็สัมผัสได้แล้วว่าบรรยากาศที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าเมืองหลวงไม่เหมือนเดิม
เสิ่นเวยเข้าใจความหมายของอาจารย์ซูทันที พยักหน้ากล่าว “ก็ใช่ กันไว้ดีกว่าแก้” จากนั้นจึงหันหน้าสั่งโอวหยางไน่ “เพิ่มการเตรียมป้องกันลาดตระเวนภายในจวนให้เข้มงวด ทหารคุ้มกันจวนกับกองทหารเด็กทั้งหมดสับเปลี่ยนเวรพักผ่อน ทั้งหมดเข้าสู่สถานะพร้อมรบขึ้นสูงสุด”
คิดครู่หนึ่งจึงกล่าวอีกหนึ่งประโยค “สั่งคนไปดูที่จวนจงอู่โหว เตือนให้ท่านลุงใหญ่ดูแลประตูให้ดี”
อาจารย์ซูมองเสิ่นเวย กล่าวปลอบ “ไม่มีข่าวก็คือข่าวที่ดีที่สุดแล้ว จวิ้นจู่เองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปนัก ไปพักสักครู่เถิด ในจวนผู้ชราจะดูแลแทนท่านเอง”
“เช่นนั้นก็ลำบากอาจารย์ซูแล้ว” เสิ่นเวยตอบรับอย่างตรงไปตรงมา นางต้องดูแลกำลังวังชาให้เพียงพอเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่อาจรู้ในวันพรุ่งนี้
ตอนนี้ภายในพระตำหนักใหญ่ที่ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงจัดการกิจธุระจุดไฟสว่างไสว เขาเม้มปากแน่นยืนอยู่ หลังตรงเป็นแนว มีความเคร่งขรึมราวกับเขาสูงริมเหวชนิดหนึ่ง ขันทีใหญ่จางเฉวียนโค้งตัวยืนอยู่ข้างๆ ในใจก็เต้นรัวเช่นกัน
ให้ตายเถอะ นี่คือการลอบสังการ! การลอบสังหารที่ใช้ดาบจริงหอกจริง! ฝ่าบาทเองก็เกิดความคิดจะไปเยี่ยมดูบ้านเมืองได้ทุกเมื่อ เหตุใดข่าวถึงรั่วไหลออกไปได้ หากไม่มีราชครูเสิ่นสละชีพกันไว้เช่นนั้น กระบี่เล่มนั้นก็คงจะแทงเข้าสู่ขั้วหัวใจของฝ่าบาทแล้ว หากฝ่าบาทมีอันเป็นไป เขาที่เป็นคนข้างกายฝ่าบาทจะตายดีได้อย่างไร เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจจางเฉวียนก็ซาบซึ้งราชครูเสิ่นอย่างถึงที่สุด
นอกตำหนักมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ฮ่องเต้ยงเซวียนที่ยืนหันหลังก็หันกลับมาทันที เพ่งมองสวีโย่วที่ก้าวเท้าเดินเข้ามา
“ฝ่าบาท ขันทีน้อยหน้าพระพักตร์หายไปผู้หนึ่ง นามว่าจางอิง” สวีโย่วกล่าวรายงาน หากมองดูให้ดียังสามารถสังเกตเห็นได้ว่าชายเสื้อมุมหนึ่งของเขาเปื้อนคราบเลือดสีแดงคล้ำอยู่
ความเย็นเยียบหนึ่งสายแวบผ่านดวงตาฮ่องเต้ยงเซวียน เขาโกรธอย่างถึงที่สุดแต่กลับยิ้ม “ดี ดี ดี ยื่นมือมาถึงข้างกายเราแล้ว สืบ เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ เรากลับอยากดูว่าใครกันที่คิดจะเอาชีวิตเรา!”
“น้อมรับพระราชโองการ!” สวีโย่วตอบรับเสียงเย็นเยียบ จากนั้นจึงออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาเพิ่งจะกุมกองปัญจทิศรักษานคร คนข้างในย่อมไม่กล้าใช้ ทหารมังกร นั่นคือมรดกที่เสด็จปู่ทิ้งไว้รักษาชีวิตเขา ย่อมไม่อาจใช้ได้ ที่เขาใช้ได้ก็มีเพียงทหารเงา นอกพระตำหนักเจาเต๋อทหารรักษาพระองค์และทหารเงาคุ้มกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง คุ้มกันพระตำหนักใหญ่ทั้งหลังไม่ให้แม้แต่ลมเข้าได้
“ผิงจวิ้นอ๋อง เสด็จพ่อไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ราชครูเสิ่นเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อสวีโย่วออกมาจากพระตำหนักเจาเต๋อก็เห็นไท่จื่อและองค์ชายหลายพระองค์ที่เฝ้าอยู่ข้างนอก บนใบหน้าแต่ละคนมีสีหน้ากังวล
สวีโย่วทำความเคาพ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฝ่าบาทไม่เป็นไร ไท่จื่อและองค์ชายทุกท่านกลับไปเถิด”
เห็นคนหลายคนถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน ไท่จื่อส่ายหน้ากล่าว “กลับไปก็ยังไม่วางใจ ไม่สู้เฝ้าอยู่นอกตำหนักนี้ เช่นนี้จึงจะได้อยู่ใกล้เสด็จพ่อหน่อย”
เพราะว่าฮ่องเต้ยงเซวียนมีพระราชโองการ ไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่ผ่านพระราชโองการให้เข้าเฝ้าก็ห้ามก้าวเข้ามาในพระตำหนักเจาเต๋อแม้แต่ครึ่งก้าว ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาองค์ชายเหล่านี้อยากจะรู้สถานการณ์ของฮ่องเต้ยงเซวียน ก็ไม่กล้าบุกเข้าไป ไท่จื่ออิจฉาริษยาผิงจวิ้นอ๋องที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระยิ่งนัก
องค์ชายรองเองก็กล่าว “ไท่จื่อพูดถูก พวกเรารออยู่ข้างนอกคุ้มกันเสด็จพ่อ สบายใจกว่าเล็กน้อย”
ไท่จื่อกับองค์ชายรองต่างก็พูดเช่นนี้ องค์ชายสามและองค์ชายที่อายุน้อยคนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยได้รับความสำคัญย่อมไม่ควรกลับไป ส่วนองค์ชายใหญ่ สายข่าวของเขาช้าเกินไป กว่าเขาจะทราบข่าว พระราชวังกระทั่งเมืองหลวงทั้งเมืองก็ประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว
สวีโย่วตีหน้าตาย “กระหม่อมยังมีงาน ไม่รบกวนไท่จื่อและองค์ชายทั้งหลายแล้ว” ประสานมือคารวะนำคนจากไป
มีองค์ชายอายุน้อยผู้นั้นจ้องมองแผ่นหลังที่เดินออกไปไกลของสวีโย่วแล้วกล่าวเสียงเบา “ผิงจวิ้นอ๋องน่าเกรงขามยิ่งนัก” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉา ไท่จื่อกับองค์ชายรององค์ชายสามที่อายุมากกว่าก็คล้ายคิดใคร่ครวญ ก้มหน้าหลุบตาพร้อมกัน
จางเฉวียนในพระตำหนักเจาเต๋อได้ยินผิงจวิ้นอ๋องบอกว่าขันทีน้อยหน้าพระพักตร์จางอิงหายตัวไป ขาก็อ่อนลงทันที คุกเข่าลงเสียงดังตุบ “ฝ่าบาท บ่าวผิดไปแล้ว” ขันทีหน้าพระพักตร์ล้วนแต่เป็นคนที่เขาดูแล อีกทั้งขันทีน้อยนามว่าจางอิงผู้นี้ยังเป็นคนที่เขาเลือกไปอยู่หน้าพระพักตร์เองกับมือ ใครจะรู้ว่าเขาเป็นถึงไส้ศึก โทษที่ไม่รู้จักคนดูแลไม่ดีเขาหนีไม่พ้นแน่นอน
ฮ่องเต้ยงเซวียนโบกพระหัตถ์ กลับไม่ได้บัลดาลโทสะ “ลุกขึ้นเถิด! กลับไปเจ้าก็ตรวจสอบคนที่อยู่ข้างกายเราอีกรอบ” ไม่ใช่ว่าเขาเองก็ชอบขันทีน้อยจางอิงที่ปราดเปรียวเอาใจเก่งผู้นั้นเช่นกันหรอกหรือ
“พะยะค่ะ บ่าวน้อมรับพระราชโองการ” จางเฉวียนซาบซึ้งจนน้ำตาไหลลงมา เขาปาดน้ำตาตรงหางตา ตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะต้องตรวจสอบขันทีหน้าพระพักตร์รวมถึงศิษย์ของเขาอย่างละเอียด จักต้องรับรองได้ว่าข้างกายฝ่าบาทขาวสะอาดและปลอดภัย
ฮ่องเต้ยงเซวียนพยักหน้า ถาม “อาการบาดเจ็บของราชครูเป็นอย่างไรบ้าง ฟื้นแล้วหรือยัง” ตอนนั้นเสิ่นผิงยวนเลือดไหลมาก สถานการณ์คับขัน เขาจึงพาเสิ่นผิงยวนเข้าวัง จัดเตรียมให้อยู่ที่ตำหนักข้าง
จางเฉวียนกล่าว “ก่อนหน้านี้บ่าวไปดูแล้วรอบหนึ่ง ใต้เท้าย่วนพั่นกำลังนำคนมาวินิจฉัยโรคและล้างพิษ บอกว่าบนกระบี่เล่มนั้นชุบยาพิษ แต่ราชครูเสิ่นกลับยังไม่ฟื้น”
“ตอนนี้เจ้าไปดูอีก บอกเจี่ยงย่วนพั่นว่า จักต้องรักษาชีวิตของราชครูให้ได้ ต้องการยาอะไรไม่ต้องกลับมารายงานเรา ไปเอาที่ท้องพระคลังได้เลย” ฮ่องเต้ยงเซวียนตรัสสั่ง เขานึกถึงการลอบสังหารก่อนหน้านี้ในใจก็ยังคงหวาดกลัว ตอนที่กระบี่ล้ำค่าที่แหลมคมสองเล่มพุ่งเข้ามาจะทำร้ายเขา เขาก็คิดว่าชีวิตของตนจะดับสิ้นแล้วจริงๆ
เป็นเสิ่นผิงยวนข้างกายเขาที่ตอบสนองไว เท้าถีบมือสังหารผู้หนึ่ง จากนั้นจึงผลักเขา ชั่วพริบตาก็หลบกระบี่ล้ำค่าหนึ่งเล่มไปแต่กลับหลบไม่พ้นอีกหนึ่งเล่ม เสิ่นผิงยวนใช้ร่างบังไว้ข้างหน้าเขาอย่างไม่มีแม้แต่ความลังเล ตะโกนเสียงดัง “มีมือสังหาร รีบปกป้องพระองค์!”
เสิ่นผิงยวนได้รับบาดเจ็บเจียนตายจากมือสังหารที่พยายามจะทำร้ายเขาสองคน ตั้งแต่ต้นจนจบคุมกันอยู่ข้างหลังเขาอย่างแน่นหนา เมื่อทหารรักษาพระองค์ทหารคุ้มกันวิ่งเข้ามาปกป้องพระองค์แล้ว โลหิตตรงหน้าอกของเสิ่นผิงยวนก็เปื้อนเสื้อผ้าจนเป็นสีแดง ระหว่างทางกลับวังเขาก็หมดสติไป
เมื่อนึกถึงเสิ่นผิงยวนที่นอนไม่รู้เป็นตายร้ายดีอยู่ในตำหนักข้าง มือข้างลำตัวของฮ่องเต้ยงเซวียนก็กำแน่นทันที วันนี้หากไม่มีราชครู หรือว่าราชครูไม่มีความสามารถที่กล้าหาญ เช่นนั้นตอนนี้คนที่นอนหมดสติไม่ฟื้นอยู่บนเตียงตอนนี้คงจะเป็นเขา
จางเฉวียนขานรับหนึ่งคราจากนั้นก็ไปยังตำหนักข้าง “เจี่ยงย่วนพั่น ใต้เท้าราชครูดีขึ้นแล้วหรือยัง ฝ่าบาททรงห่วงพระทัย” เขามองราชครูเสิ่นที่หน้าขาวซีดนอนอยู่บนเตียง ในใจก็เป็นกังวลอย่างถึงที่สุด
เจี่ยงพั่นย่วนกำลังจับชีพจรให้ราชครูเสิ่นอยู่ ได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นกล่าว “บนกระบี่นี้ชุดพิษงูหายากชนิดหนึ่งทางตอนใต้ โชคดีที่ท้องพระคลังยังเก็บบัวหิมะเขาเทียนซานไว้หลายดอก ใช้ยาชั้นยอดอีกหลายตัวกลับช่วยถอนพิษได้แล้ว เพียงแต่ใต้เท้าราชครูอายุมากแล้ว บาดแผลก็ลึกอย่างยิ่ง บวกกับเสียเลือดไปมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทนผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่” บนใบหน้าเขามีความเป็นกังวล
ใต้เท้าราชครูช่วยชีวิตฝ่าบาทมีคุณูปการ หากช่วยชีวิตเขากลับมาไม่ได้ ฝ่าบาทบัลดาลโทสะขึ้นมา เช่นนั้นสำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ต้องถูกฝังลงไปพร้อมกันทั้งหมด! มิหนำซ้ำยังอาจจะลามไปถึงภรรยาและลูกในตระกูลอีกด้วย เพราะเหตุนี้เจี่ยงย่วนพั่นและหมอหลวงคนอื่นๆ จึงใส่ใจอาการบาดเจ็บของใต้เท้าราชครูเป็นอย่างยิ่ง
จางเฉวียนพยักหน้าเบาๆ “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเจี่ยงย่วนพั่นจะต้องรักษาชีวิตของใต้เท้าราชครูให้ได้ ฝ่าบาท…” เขาชี้ไปยังทิศทางพระตำหนักใหญ่เล็กน้อย
คำพูดที่ไม่ได้พูดมีความหมายว่าอย่างไร ในใจเจี่ยงย่วนพั่นเข้าใจดีอย่างถึงที่สุด “หวังว่ากงกงจะกลับไปรายงานฝ่าบาท พวกกระหม่อมจะต้องทุ่มเททั้งกายและใจ” เพื่อชีวิตของครอบครัวตนเองเขาก็ต้องทุ่มเทเช่นกัน!