ยอดหญิงสกุลเสิ่น - ตอนที่ 268-2 หย่งกั๋วกง
ราชครูเสิ่นมองหลานสาวที่กินอย่างเอร็ดอร่อย บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ เจ้าเองก็กินให้น้อยหน่อย กินมากจะเป็นร้อนใน หากเจ้าชอบกิน ฝ่าบาทพระราชทานให้หนึ่งตะกร้าใหญ่ กลับไปเจ้าก็เอากลับไปให้หมด”
เสิ่นเวยส่ายหน้า “ยุ่งยากเกินไป วางไว้ที่เรือนท่านปู่เถอะ อย่างไรเสียหลานก็มาทุกวัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของราชครูเสิ่นกว้างยิ่งขึ้น “ดูเจ้าสิเกียจคร้าน! วันทั้งวันเจ้าวิ่งมาที่บ้านฝั่งมารดา สามีของเจ้าไม่ว่าหรือไร” ตั้งแต่ที่เขากลับจวนรักษาตัว เด็กคนนี้ก็อยู่ตรงหน้าเขาไม่ไปไหน ในขณะที่เขาชื่นชมและดีใจก็เป็นกังวลอย่างไม่อาจเลี่ยง ไหนเลยจะมีบุตรสาวที่ออกเรือนแล้วแต่กลับบ้านฝั่งมารดาทุกวัน
เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ “เขายุ่ง ข้าแทบจะลืมไปแล้วว่าเขาหน้าตาอย่างไร ข้าอยู่ในจวนหรือไม่เขาก็ไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่เพราะท่านปู่ได้รับบาดเจ็บหรือ ความกตัญญูมาก่อน ข้าเป็นหลานกตัญญู แม้ว่าจะเป็นฝ่าบาทก็ไม่อาจบอกว่าข้าผิดได้!” เสิ่นเวยคุยโวอย่างไม่ละอายใจ มั่นอกมั่นใจยิ่งนัก
หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “หลานไม่ใช่เคยบอกท่านแล้วหรือ บนโลกนี้มีผู้หญิงอยู่สองประเภทที่น่ากลัวที่สุด หนึ่งคือผู้หญิงที่บ้านฝั่งมารดามีเงิน สองคือตนเองมีเงิน”
หากไม่ใช่ว่าเป็นห่วงบาดแผล ราชครูเสิ่นก็อยากจะหัวเราะร่าฮ่าๆ จริงๆ มองหลานสาวของเขาด้วยความชื่นชม กล่าว “สมกับที่เป็นหลานสาวของข้าเสิ่นผิงยวน” กล่าวต่อ “เป็นเพราะสามีเจ้าตามใจเจ้า เด็กนั่นยังนับว่าใช้ได้ เจ้าต้องใช้ชีวิตกับเขาให้ดี มีหลานชายตัวขาวจ้ำม่ำให้ข้าหนึ่งคน”
เสิ่นเวยกลอกตา กล่าวอย่างไม่ยินยอม “เหตุใดถึงจะต้องเป็นหลานชายเล่า หลานสาวไม่ได้หรือ ท่านปู่ ท่านให้ความสำคัญกับชายมากกว่าหญิง ความคิดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“ได้ๆๆ หลานสาวก็ได้ ออกดอกก่อนแล้วค่อยออกผลก็เป็นลางที่ดี ว่ากันว่าลูกสาวเหมือนพ่อ ได้หน้าตาเช่นสามีเจ้ามาก็ไม่เลวเหมือนกัน” ราชครูเสิ่นรีบกล่าวปลอบ
เสิ่นเวยแสยะปากไม่พอใจยิ่งขึ้น จ้องมองปู่นางปราดหนึ่งด้วยความแค้นใจ กล่าวเสียงเบา “หน้าเหมือนข้าแล้วจะแต่งไม่ออกหรือไร ไม่ใช่ว่าหลานคุยโวโอ้อวด ด้วยใบหน้านี้ของหลาน เป็นที่หนึ่งในเมืองหลวงไม่ได้ แต่สามอันกับแรกห้าอันดับแรกก็ยังเป็นได้มิใช่หรือ”
ท่าทางขี้อวดเช่นนั้นทำให้ราชครูเสิ่นหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง แทบจะกระเทือนบาดแผล เสิ่นเวยสะดุ้งจนรีบก้าวเข้าไป “ท่านปู่ แม้หลานจะพูดความจริง แต่ท่านก็ต้องเก็บอาการหน่อย! ร่างท่านยังบาดเจ็บ ยังบาดเจ็บอยู่!” อย่างไรเสียก็ไม่กล้าหลอกให้ปู่นางหัวเราะอีก
ในดวงตาทหารคนสนิทที่รับใช้อยู่ในห้องก็มีรอยยิ้มแวบผ่าน ยังคงเป็นคุณหนูสี่ที่ใส่ใจนายท่านผู้เฒ่าโหว ขอเพียงแค่นางมา นายท่านผู้เฒ่าโหวก็สามารถมีความสุขไปได้ทั้งวัน ดื่มยากินข้าวอย่างว่าง่าย ไม่เรื่องมากแม้แต่นิดเดียว
ส่วนเด็กนั่นที่ราชครูเสิ่นพูดข้างนอกห้องได้ยินบทสนทนาของสองปู่หลาน ใบหน้าก็ดำทะมึน แต่เมื่อคิดถึงคำพูดภรรยาของเขาอย่างละเอียด ยังคงถูกต้องจริงๆ ราชครูเสิ่นเป็นคนมีเงิน ภรรยาของเขาก็ยิ่งเป็นคนมีเงิน มิน่าเล่าความมั่นใจถึงได้มากเพียงนั้น หรือว่าเขาควรจะไปขอเงินส่วนตัวที่ฝ่าบาทมาบ้าง
เสิ่นเวยพูดคุยเป็นเพื่อนปู่นางอยู่สักพัก เห็นสีหน้าเขาเหนื่อยล้า ก็ปรนนิบัติให้ปู่นางนอนลงพักผ่อน เสิ่นเวยถอยออกมาจากประตูห้องแวบแรกก็เห็นสวีโย่วที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานบ้าน
“เอ๋ แขกพิเศษนี่นา!” เสิ่นเวยกระโดดเข้าไปอย่างดีใจ ยิ้มพลางหยอกเย้าเขาหนึ่งประโยค
ช่วงนี้สวีโย่วยุ่งมากจริงๆ เช้าตรู่นางยังไม่ตื่นเขาก็ไปออกว่าราชการแล้ว กลางคืนนางหลับไปแล้วเขาก็เพิ่งจะกลับมา
“เวยเวยจะบอกว่า น้อยใจงั้นหรือ” สวีโย่วอมยิ้มมองนาง มุมปากยกสูง เขาชอบเห็นภรรยาของเขามีชีวิตชีวาเช่นนี้ที่สุด
น้อยใจงั้นหรือ เสิ่นเวยสะดุ้ง! นั่นมันอะไรกัน นางน้อยใจได้ด้วยหรือ นางเองก็ยุ่งมากรู้หรือไม่ เสิ่นเวยแยกเขี้ยวเล็กๆ ให้สวีโย่ว แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ
สวีโย่วก็หัวเราะเสียงเบาขึ้นมา เสียงหัวเราะนั้นทุ้มต่ำแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ทำให้เสิ่นเวยหลงใหลอย่างอดไม่ได้ หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ดวงตาทั้งคู่ราวกับจันทร์เสี้ยวสองดวง งดงามยิ่งนัก!
ราชครูเสิ่นมองคนงามหนึ่งคู่ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่นั่นในลานบ้านผ่านช่องหน้าต่าง มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มชื่นชม หลับตาลงจมสู่ห้วงความฝันช้าๆ ราวกับว่าบาดแผลบนร่างกายไม่เจ็บเพียงนั้นแล้ว
อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ชีวิตไม่ง่าย คำพูดนี้ไม่เป็นเท็จเลยแม้แต้น้อย ผ่านไปแค่เพียงหนึ่งเดือน หวังหลานเอ๋อร์สองแม่ลูกก็สัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของชีวิตในเมืองหลวงแล้ว พวกนางแม่ลูกมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อย ยังพอสามารถหารายได้ได้ แต่ค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงก็สูงอย่างยิ่ง แทบจะเป็นเงินหลายเท่าของเมืองอินหู แม้แต่น้ำดื่มยังต้องเสียเงินซื้อ ดังนั้นงานเย็บปักถักร้อยที่หวังหลานเอ๋อร์แม่ลูกทำงานหาเช้ากินค่ำก็ทำได้เพียงพอให้เลี้ยงชีพ คิดอยากจะเก็บเงิน เช่นนั้นก็ได้แต่ฝันเท่านั้น
นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่ยากที่สุด สิ่งที่ทำให้พวกนางแม่ลูกอกสั่นขวัญแขวนที่สุดก็คือ แม้ว่าลานบ้านรวมขนาดใหญ่แห่งนี้จะถูก แต่กลับมีคนดีคนเลวอยู่ปะปนกัน ข้างกายหวังหลานเอ๋อร์แม่ลูกไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย สายตาที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำหลายคนนั้นในลานบ้านจ้องมองหวังหลานเอ๋อร์ก็เพียงพอจะทำให้สองแม่ลูกหวาดกลัวจนตัวสั่น ทุกคืนนอนหลับต้องใช้โต๊ะดันประตูไว้ให้แนบแน่น แม้เป็นเช่นนี้ก็ไม่กล้านอนหลับสนิท ความเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียวก็กลายเป็นวิหคตื่นเกาทัณฑ์แล้ว
มารดาตระกูลหวังบ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ “หลานเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วหรือยัง สังคมนี้อยู่ที่ใดก็เหมือนกัน ไหนเลยจะมีหนทางชีวิตให้สตรี ตอนแรกพวกเราอยู่ที่จวนอ๋องอะไรนั่นก็ดีอยู่แล้ว ทำงานเหมือนกัน เสื้อผ้าอาหารความสงบสุขไม่ต้องพูดถึง ซ้ำยังไม่ต้องวิตกกังวลอย่างเช่นตอนนี้”
มือที่สนเข็มของหวังหลันเอ๋อร์หยุดชะงัก เม้มปากไม่พูด
มารดาตระกูลหวังเห็นท่าที ก็ถอนหายใจหนึ่งครากล่าวต่อ “หลานเอ๋อร์เอ๋ย แม่เห็นว่าต้าหู่ผู้นั้นไม่เลว ประพฤติตนซื่อตรง ใส่ใจเจ้า ทั้งยังมีเรี่ยวแรงกำลัง เจ้าแต่งงานกับเขาดีหรือไม่ เช่นนี้แม่ก็จะได้วางใจเสียที”
ต้าหู่คือผู้เช่าผู้หนึ่งในลานบ้านแห่งนี้ ทำงานขายแป้งทอดกับพ่อแม่และน้องสาว รูปร่างสูงใหญ่กำยำ คนเองก็ซื่อสัตย์ มักจะเข้ามาช่วยพวกนางแม่ลูกทำงานหนักเช่นการหาบน้ำตัดฟืน ทุกครั้งที่มา เห็นบุตรสาวของนางก็จะมองจนตะลึงงัน
มารดาตระกูลหวังอาบน้ำร้อนมาก่อน ไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาของเขา ในใจนางเองก็ยินดี ต้าหู่เด็กชายผู้นี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนซื่อสัตย์ที่ใช้ชีวิตอย่างสุจริต นิสัยพ่อแม่ในครอบครัวก็ดี ยังมีฝีมือในการขายแป้งทอด ลูกสาวแต่งเข้าไปแม้ว่าจะไม่อาจมีชีวิตที่ดีมากได้ แต่ก็ไม่อาจได้รับความทุกข์ยากอะไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องวิตกกังวลอีกต่อไป
มือของหวังหลานเอ๋อร์หยุดชะงักอีกครั้ง กัดริมฝีปาก กล่าว “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ลูกไม่อยากฟัง”
ต้าหู่ คนโง่ผู้นั้น ชายฉกรรจ์ที่ไม่รู้หนังสือ เห็นนางก็เอาแต่ยิ้มโง่ๆ แม้แต่พูดยังพูดไม่คล่อง ไหนเลยจะคู่ควรกับนาง
มารดาตระกูลหวังย่อมรู้ความคิดของลูกสาว ถอนหายใจหนึ่งครา “หลานเอ๋อร์เอ๋ย คุณชายเซ่าจวิ้นตระกูลเสิ่นผู้นั้นเจ้าอย่าได้คิดเลย ตั้งแต่อดีตบุพเพสันนิวาสให้ความสำคัญกับคู่ครองที่มีฐานะเหมาะสม พวกเราปีนป่ายไม่ถึง! เป็นมนุษย์ต้องอยู่กับความเป็นจริง แม่เห็นว่าต้าหู่ไม่เลว เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้มีนิสัยทะนงตนเช่นนี้เล่า ชีวิตนี้ข้ากับพ่อเจ้ามีเจ้าเพียงคนเดียว พ่อเจ้าจากไปเร็ว ชีวิตนี้ของแม่ก็มีเพียงเจ้า จะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร”
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว!” หวังหลานเอ๋อร์โยนงานปักในมือออกไปทันที “ท่านแม่ หลังจากนี้ท่านไม่ต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ต้าหู่เสี่ยวหู่อะไร ไม่ว่าอย่างไรลูกก็ไม่ยินดี” ลุกขึ้นยืนเดินออกไปข้างนอกแล้ว
“หลานเอ๋อร์เจ้าจะไปไหน” มารดาตระกูลหวังร้อนใจแล้ว
“ข้าจะออกไปซื้อด้ายสักหน่อย” ฝีเท้าหวังหลานเอ๋อร์หยุดชะงัก กล่าวอย่างไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
มองแผ่นหลังของลูกสาวที่เดินออกไปไกล มารดาตระกูลหวังก็ถอนหายใจหนึ่งครา ดึงแขนเสื้อมาเช็ดน้ำตาตรงหางตา “ตาเฒ่า ลูกสาวของพวกเราเป็นอะไรไป นางเอาแต่คิดถึงชีวิตที่ร่ำรวย สามีที่มีหน้ามีตา แต่พวกเราไม่ใช่ตระกูลแบบนั้น! ตาเฒ่า ข้าโน้มน้าวลูกสาวไม่ได้ ขอโทษท่านด้วย!”
มารดาตระกูลหวังนึกถึงสามีที่จากไปแล้ว เจ็บปวดหัวใจจริงๆ สะอึกสะอื้นไห้ขึ้นมา นางไม่เพียงแต่เป็นห่วง ซ้ำยังเป็นกังวล ชีวิตครึ่งหลังของนางขึ้นอยู่กับลูกสาวคนนี้แล้ว แต่ลูกสาว…ตระกูลใหญ่ตระกูลโตนั่นน่าเข้าเพียงนั้นหรือไร อย่าว่าแต่เมืองหลวง แม้แต่คหบดีท้องถิ่นแซ่หวังในเมืองอินหูของพวกนาง ทุกปียังต้องหามออกไปจากประตูข้างตั้งกี่คน
มารดาตระกูลหวังยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว น้ำตานั่นประหนึ่งไข่มุกที่ขาดตอน ไหลลงมาอย่างไร้ค่า
หวังหลานเอ๋อร์เร่งฝีเท้าออกจากประตูใหญ่ลานบ้านรวมขนาดใหญ่แล้วจึงค่อยๆ ถอนหายใจออกมาหนึ่งครา นางหันหน้ากลับไปมองลานบ้านรวมขนาดใหญ่ที่สกปรก ในดวงตามีความรังเกียจแวบผ่าน ใคร่ครวญว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องย้ายออกจากสถานที่โสมมแห่งนี้ให้ได้ก่อน สถานที่สกปรกเช่นนี้นางไม่อยากอยู่แม้แต่วันเดียวหรือแม้กระทั่งครู่เดียว